#ปกติไม่ได้เล่นพันทิป แต่มีคนแนะนำให้เอาบทความมาลงที่นี่ด้วย กระทู้นี้เลยยืมล็อกอินเพื่อนมาใช้ ขอขอบคุณเจ้าของล็อกอินด้วย#
เพิ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นรอบที่ 2 มา (ครั้งแรกคือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นไปแถวภาคกลาง โตเกียว-เกียวโต-โอซาก้า) ครั้งนี้ไปกันที่เกาะที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นคือ ฮอกไกโด นั่นเอง
สไตล์การเที่ยวแบบเราคือชอบไปกับทัวร์ เพราะสบายและถูกกว่าไปเอง ที่เลือกๆ มามีหลายเจ้าแต่ที่รายการ+เวลาโอเคสุดคือของ Go Holiday ที่ต้องจองผ่าน Quality Express Tour (Qetour) อีกทีนึง
ตารางการท่องเที่ยวแบ่งเป็น 7 วัน แต่วันแรกกับวันสุดท้ายอยู่บนเครื่องบินดังนั้นไม่นับละกัน นับ day#1 จริงๆ คือวันที่ 2 ตามรายการทัวร์ ถ้าดูจากแผนที่ข้างล่างก็จัดว่าคุ้มเพราะไปรอบเกาะเลย ขาดจุดสำคัญบางที่เช่น ฮาโกดาเตะ ฟุราโนะ และ วักกะไน แต่โดยรวมก็จัดว่าค่อนข้างครบ (ราคาทัวร์ 59,000 บาท)
พอดีเราถ่ายรูปมาเยอะมาก แต่พอเอามาเขียนเป็นบล๊อกแล้วจึงต้องมีการคัดเลือกรูป
สามารดูบทความต้นฉบับและอัลบัมรูปทั้งหมดได้ที่เพจเรานะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทความต้นฉบับ: http://www.tamemo.com/post/119/trip-hokkaido-2016/
อัลบัมรวมทุกรูป: https://www.facebook.com/tamemocom/photos/?tab=album&album_id=1572567783043160
มารู้ประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่จะไปเที่ยวกันก่อนนะ
สำหรับฮอกไกโด (ตามสำเนียงจริงๆ น่าจะออกว่า "ฮก-ไก-โด" มากกว่า) เนื่องจากเป็นเกาะเหนือสุดของแดนอาทิตย์อุทัย สมัยก่อนมีชื่อเรียกว่า "เอโซะ" ไม่มีคนญี่ปุ่นอยู่อาศัย มีแต่ชาวพื้นเมืองที่ชื่อว่า "ชาวไอนุ" จนเมื่อญี่ปุ่นเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายจักรพรรดิกับฝ่ายโชกุน ปรากฎว่าฝ่ายโชกุนพ่ายแพ้ต้องหนีมายังเกาะเอโซะนี้ แต่ในที่สุดก็โดนรัฐบาลส่งกำลังมาปราบ ภายหลังรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าเกาะก็ขนาดตั้งใหญ่ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ รีบๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ดีกว่าก่อนที่รัสเซียที่อยู่ใกล้ๆ กันจะมาเทคโอเวอร์ไปซะก่อน จึงส่งคณะผู้บุกเบิกเข้ามา และสร้างเมืองหลวงที่ ซัปโปโร (Sapporo) ดังนั้นเมืองของที่นี่จะเป็นเมืองใหม่ สร้างมาประมาณ 100 ปี เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแล้ว บ้านเมืองทั้งหมดเลยสร้างแบบฝรั่ง ถ้าคิดจะมาดูตึก วัด หรือสิ่งก่อสร้างที่ดูเป็นญี่ปุ่นๆ จะหาไม่ค่อยได้ในเกาะนี้นะ
คำแนะนำสำหรับการแต่งตัว
- อากาศมักจะหนาวเย็นกว่าเมืองทางใต้อยู่ราวๆ 10 องศา ฤดูหนาวก็ยาวกว่ากินเวลาเกือบครึ่งปี โดยทริปนี้ไปช่วงปลายเดือนพฤษภา-ต้นมิถุนา อากาศกำลังดี
- อุณหภูมิเฉลี่ย 15 องศา ตอนเที่ยงจะอยู่ประมาณ 20 องศากว่าๆ ส่วนถ้าพระอาทิตย์ตกไปแล้วถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะเหลือเลขหลักเดียว (ประมาณ 5-9 องศา) ใครขี้ร้อนเสื้อหนาวไม่ต้องหนามากตัวเดียวก็เอาอยู่ แต่ถ้าขี้หนาว เอาไปสัก 2-3 ตัวจะดีกว่า
- ถ้าออกชนบทลมค่อนข้างแรง เสื้อควรจะกันลมได้ด้วย เพราะลมนี่แหละตัวดีเลย
- นอกจากกันลมแล้ว ถ้าเสื้อหนาวกันฝนได้จะดีมาก ไม่งั้นต้องพกร่มไป (ถ้าไปกับทัวร์สามารถยืมร่มใหญ่จากคนรถได้ แต่มีไม่เยอะนะ)
- รองเท้าผ้าใบถ้ากันน้ำได้จะดีมาก ไม่งั้นตอนฝนตกจะเย็นเท้านะ มีวันนึงเดินในเมืองก็ใส่รองเท้าแตะ ได้อยู่เหมือนกัน
คุณไกด์ประจำทริป
ปกติแล้วเวลาไปทัวร์ มักจะมีไกด์ประจำทริปแค่คนเดียว แต่เพราะสมาชิกทัวร์ครั้งนี้ มีผู้สูงอายุเยอะหน่อย ทางบริษัทเลยจัดมาให้ช่วยกัน 2 คนเลย คือไกด์คุณรัตน์ และ ไกด์คุณวี ส่วนคนขับรถเป็นคนญี่ปุ่นชื่อ ยาสุอิ อายุ 46ปี ได้ไปลองคุยกับเขาเพื่อทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียนเมื่อหลายปีที่แล้ว สรุปคือพูดอังกฤษแทนละกัน
โดยไกด์รัตน์จะเป็นไกด์หลักประจำทริป ดูแลดี เล่าเรื่องสนุก เป็นกันเอง ส่วนไกด์วีปกติจะอยู่รูทโตเกียว ครั้งนี้มาเป็นผู้ช่วย ... เอาจริงๆ เราว่าไกด์เนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้มาทัวร์แล้วสนุกนะ นั่งในรถก่อนลงไปเที่ยว ถ้าไกด์ดี เล่าอะไรให้ฟังพวกประวัติเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังจะไปจะทำให้เที่ยวสนุกขึ้น
กล้องประจำตัว
รูปทั้งหมดที่ถ่ายในทริปนี้คือ กล้องมิเรอร์เลส Sony NET-5T (ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น a5100 เรียบร้อยแล้ว) พร้อมเลนส์ที่ใช้ประจำ 18-200mm. แต่ที่เพิ่มเติมคือเลนส์ถ่ายมุมกว้าง (เลนส์ไวด์) 10-18mm. ที่ตัดสินใจซื้อมาเพราะได้ไปทริปนี้โดยเฉพาะเลยล่ะ เอามาถ่ายวิว
พร้อมแล้ว! โอเค ... ไปได้!
เหมือนการเดินทางไปต่างประเทศโดยทั่วไปคือเริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินไปญี่ปุ่นครั้งนี้ของเราคือ การบินไทย TG-670 (เป็นเครื่องโบอิ้ง 747 เครื่องใหญ่ นั่งสบาย บินนิ่ง) ออกเดินทางห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืน ใช้เวลาบินทั้งหมด 6 ชั่วโมง (ถ้าเป็นขากลับจะใช้ 7 ชั่วโมงเพราะบินทวนลม) เครื่องเทคออฟเสร็จก็นอนกันเลย หรือจริงๆ ต้องบอกว่าเริ่มนอนตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
ที่รีบนอนก็เพราะว่าเรามีเวลานอนจริงๆ แค่ 4 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนเครื่องลงแอร์จะเริ่มเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟแล้ว วันแรกที่ไปถึงเลยมึนไปครึ่งวันเพราะนอนน้อย
ปกติ ถ้าใครไปญี่ปุ่นสนามบินที่น่าจะนึกถึงคือฮาเนดะและนาริตะ แต่สำหรับฮอกไกโดแล้วจะมีสนามบินหลักชื่อ “นิว จิโตเสะ” (New Chitose) ซึ่งเป็นสนามบินใหญ่ที่เล็กๆ (ฮา) ขนาดทีว่าจุดเช็กอิน ตรวจคนเข้าเมือง และเกตขึ้น/ลงเครื่องแทบจะอยู่ติดกันอยู่แล้ว แต่ที่เด็ดสำหรับสนามบินแห่งนี้คือ มันมีห้างอยู่ในสนามบินล่ะ!
รายการวันที่ 1
- โดราเอม่อน วาคุวาคุ สกายปาร์ค
- ทุ่งดอกไม้สีเหลือง นาโนะฮานะ (เรพซีด)
- Ice Pavilion
- น้ำตกกิงกะ+ริวเซย์
และจุดแรกที่เราไปเที่ยวกันก็อยู่ในสนามบินนี่ล่ะ (ประสบการณ์แปลกใหม่ เริ่มโปรแกรมแรกอยู่ในสนามบิน) นั่นคือ Doraemon WakuWaku Sky Park ซึ่งอยู่ชั้น 3 ในสนามบิน ชั้นเดียวกับจุดเช็กอินกระเป๋า ห่างกันแค่ 100 เมตร โดยไกด์ให้เราเอากระเป๋าไปเก็บในรถที่จอดอยู่ข้างล่างกันก่อน แล้วหลังจากเอากระเป๋าขึ้นรถและจับจองที่นั่งเรียบร้อยก็กลับขึ้นไปชั้น 3 ในสนามบินใหม่
#Doraemon WakuWaku Sky Park
โดราเอม่อน (ที่คนไทยชอบอ่านย่อเป็นโดเรม่อน) ของที่นี่จะต่างจาก Doraemon Museum ที่เมืองคาวาซากิที่การจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์โชว์ผลงานและเบื้องหลังการสร้างโดราเอม่อน แต่ที่นี่จะเหมือนกับ Art in Paradise ที่พัทยา คือเป็นฉากให้คนมาถ่ายรูปมุมแปลกตาๆ ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดน่ะเป็นธีมโดราเอม่อน
นอกจากพวกฉากให้ถ่ายรูปสวยๆ แล้วก็จะมีการแสดงโชว์ (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) จะใช้เทคนิคประกอบกับฉากหลังที่เป็นโปรเจคเตอร์ นักแสดงเอคทีฟมากๆ สมกับเป็นคนญี่ปุ่น (ฮา)
ส่วนข้างนอกจะมีพวกร้านของที่ระลึกขาย มีร้านอาหารและขนมลายโดราเอม่อนด้วยล่ะ
#ทุ่งดอกไม้เหลืองนาโนะฮานะ (เรพซีด)
หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่เมืองทาคิคาวะไปยังทุ่งดอกไม้สีเหลือง นาโนะฮานะ หรือ เรพซีด (บางประเทศก็เรียกว่า Canola)
ทุ่งดอกไม้นี่จริงๆ เป็นอีเวนท์หนึ่งของเมืองทาคิคาวะ ถ้าไปช่วงอื่นที่เลยเดือนมิถุนาไปแล้วก็อาจจะเจอได้อยู่ แต่อาจจะไม่เยอะขนาดนี้ ทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่คนญี่ปุ่นเรียกนาโนะฮานะนั้นมีหลายแปลงกระจายไปทั่วเมือง
ตอนแรกเนื่องจากหาที่จอดรถไม่ได้เลยได้ไปแปลงที่เล็ก แต่ไกด์ก็บอกให้คนขับรถขับมาดรอปที่แปลงนี้ให้ เลยได้รูปสวยๆ มา ... แปลงดอกไม้ที่แวะอยู่ริมทาง ถนนไม่กว้างนัก แต่ก็มีรถจอดกันเยอะเพราะคนลงมาถ่ายรูปกัน
วันนี้แดดค่อนข้างดี แต่อากาศที่นี่เย็นเลยไม่ร้อน แถมฟ้าเปิดอีกตั้งหาก เลยได้รูปเป็นฉากหลังสีฟ้าสดใสไม่มีเมฆเลย
#Ice Pavilion กับห้องเยือกแข็ง -41 องศา
เสร็จแล้วเราก็ไปกันต่อที่เมืองคามิคาวะซึ่งมี พิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง Ice Pavilion ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะจากหิมะ ซึ่งข้างในก็หนาวมาก อุณหภูมิระดับ -20 องศา ทางพิพิธภัณฑ์มีเสื้อหนาวให้ยืมใส่แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขนาดนั้น ใครเคยไปต่างประเทศ ตอนหิมะตกน่าจะรู้ดี ในจำนวนนี้มีห้องหนึ่งเป็นโซนเยือกแข็งอุณหภูมิ -41 องศา เพื่อจำลองฮอกไกโดในปีหนึ่งที่อุณหภูมิลดต่ำขนาดนั้น เข้าไปนี่กลัวกล้องและเลนส์พังมากๆ (ฮา)
สำหรับที่นี่ก็มีของขายเป็นปากกาที่สีจะจางหายไปเมื่อโดยความร้อน และตัวสีจะกลับมาใหม่เมื่อเจอความเย็น ก่อนเข้าไปเขาก็ให้เราระบายสีรูปที่มีแจกให้กันก่อนจะเอาไปอังเตาไฟ แล้วพกเข้าไปในห้องน้ำแข็งด้วย สีที่ระบายไว้จะกลับมา
#น้ำตก Ginga และ Ryusei
ความจริงรายการนี้เป็นของวันที่สอง แต่เลื่อนเวลามาเป็นวันนี้แทน พรุ่งนี้จะได้มีเวลาเดินทางนานขึ้น
สองน้ำตกที่อยู่ในเขตของอุทยานไดเซ็ตสึซัง อุทานที่ใหญ่ที่สุดของฮอกไกโด โดยน้ำตกทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จะชมวิวจากจุดแวะพักริมทางหรือเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อดูน้ำตกใกล้ๆ ก็ได้
น้ำตกริวเซย์ - จะอยู่ทางขวา (รูปใหญ่ข้างบน) ฉายาน้ำตกดาวตก ลักษณะการไหลจะออกมาจากซอกผา เป็นเส้นตรงและกระแสน้ำจะแรงกว่า ดูแข็งแรง เลยได้เป็นน้ำตกผู้ชาย
น้ำตกกิงกะ - จะอยู่ทางด้านซ้าย (รูปใหญ่ข้างล่าง) ฉายาน้ำตกแม่น้ำสีเงิน ลักษณะการไหลเป็นเส้นไขว้ไปมาคล้ายเส้นด้าย ดูอ่อนช้อยกว่า เลยได้เป็นน้ำตกผู้หญิง
ไกด์เล่าให้ฟังว่าอะไรก็ตามในธรรมชาติของญี่ปุ่นถ้ามันมี 2 อันอยู่คู่กันมักจะถูกจับคู่ให้เป็นผู้หญิงอันนึง ผู้ชายอันนึง โดยส่วนใหญ่อันทางทางซ้ายหรืออันที่ใหญ่กว่าจะได้เป็นผู้หญิง เพราะสำหรับประเทศนี้ ตำนานและความเชื่อจะถือว่าเทพผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย (เช่นเทพดวงอาทิตย์ อามาเทราสึ คือเทพที่ใหญ่ที่สุดในตำนานก็เป็นผู้หญิง)
ระหว่างน้ำตกทั้งสองอัน จะมีทางเดินเลียบถนนเล็กๆ ที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มสองข้างทาง (อีกด้านฝั่งที่ไม่ใช่ถนนจะเป็นแม่น้ำ สีสวยมาก)
คำแนะนำสำหรับคนที่ไม่มีเลนส์มุมกว้างแต่อยากเห็นภาพน้ำตกให้ได้ครบทั้งอัน ให้มาถ่ายรูปจากจุดแวะพักที่อยู่อีกด้านของถนน จะมีเนินขึ้นไปถ่ายรูปจากมุมนั้นได้
[CR] @Hokkaido ~ ตะลุยเที่ยวสายธรรมชาติรอบเกาะฮอกไกโด (ฤดูใบไม้ผลิ 2016)
เพิ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นรอบที่ 2 มา (ครั้งแรกคือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นไปแถวภาคกลาง โตเกียว-เกียวโต-โอซาก้า) ครั้งนี้ไปกันที่เกาะที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นคือ ฮอกไกโด นั่นเอง
สไตล์การเที่ยวแบบเราคือชอบไปกับทัวร์ เพราะสบายและถูกกว่าไปเอง ที่เลือกๆ มามีหลายเจ้าแต่ที่รายการ+เวลาโอเคสุดคือของ Go Holiday ที่ต้องจองผ่าน Quality Express Tour (Qetour) อีกทีนึง
ตารางการท่องเที่ยวแบ่งเป็น 7 วัน แต่วันแรกกับวันสุดท้ายอยู่บนเครื่องบินดังนั้นไม่นับละกัน นับ day#1 จริงๆ คือวันที่ 2 ตามรายการทัวร์ ถ้าดูจากแผนที่ข้างล่างก็จัดว่าคุ้มเพราะไปรอบเกาะเลย ขาดจุดสำคัญบางที่เช่น ฮาโกดาเตะ ฟุราโนะ และ วักกะไน แต่โดยรวมก็จัดว่าค่อนข้างครบ (ราคาทัวร์ 59,000 บาท)
พอดีเราถ่ายรูปมาเยอะมาก แต่พอเอามาเขียนเป็นบล๊อกแล้วจึงต้องมีการคัดเลือกรูป
สามารดูบทความต้นฉบับและอัลบัมรูปทั้งหมดได้ที่เพจเรานะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มารู้ประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่จะไปเที่ยวกันก่อนนะ
สำหรับฮอกไกโด (ตามสำเนียงจริงๆ น่าจะออกว่า "ฮก-ไก-โด" มากกว่า) เนื่องจากเป็นเกาะเหนือสุดของแดนอาทิตย์อุทัย สมัยก่อนมีชื่อเรียกว่า "เอโซะ" ไม่มีคนญี่ปุ่นอยู่อาศัย มีแต่ชาวพื้นเมืองที่ชื่อว่า "ชาวไอนุ" จนเมื่อญี่ปุ่นเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายจักรพรรดิกับฝ่ายโชกุน ปรากฎว่าฝ่ายโชกุนพ่ายแพ้ต้องหนีมายังเกาะเอโซะนี้ แต่ในที่สุดก็โดนรัฐบาลส่งกำลังมาปราบ ภายหลังรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าเกาะก็ขนาดตั้งใหญ่ พื้นที่อุดมสมบูรณ์ รีบๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ดีกว่าก่อนที่รัสเซียที่อยู่ใกล้ๆ กันจะมาเทคโอเวอร์ไปซะก่อน จึงส่งคณะผู้บุกเบิกเข้ามา และสร้างเมืองหลวงที่ ซัปโปโร (Sapporo) ดังนั้นเมืองของที่นี่จะเป็นเมืองใหม่ สร้างมาประมาณ 100 ปี เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแล้ว บ้านเมืองทั้งหมดเลยสร้างแบบฝรั่ง ถ้าคิดจะมาดูตึก วัด หรือสิ่งก่อสร้างที่ดูเป็นญี่ปุ่นๆ จะหาไม่ค่อยได้ในเกาะนี้นะ
คำแนะนำสำหรับการแต่งตัว
- อากาศมักจะหนาวเย็นกว่าเมืองทางใต้อยู่ราวๆ 10 องศา ฤดูหนาวก็ยาวกว่ากินเวลาเกือบครึ่งปี โดยทริปนี้ไปช่วงปลายเดือนพฤษภา-ต้นมิถุนา อากาศกำลังดี
- อุณหภูมิเฉลี่ย 15 องศา ตอนเที่ยงจะอยู่ประมาณ 20 องศากว่าๆ ส่วนถ้าพระอาทิตย์ตกไปแล้วถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะเหลือเลขหลักเดียว (ประมาณ 5-9 องศา) ใครขี้ร้อนเสื้อหนาวไม่ต้องหนามากตัวเดียวก็เอาอยู่ แต่ถ้าขี้หนาว เอาไปสัก 2-3 ตัวจะดีกว่า
- ถ้าออกชนบทลมค่อนข้างแรง เสื้อควรจะกันลมได้ด้วย เพราะลมนี่แหละตัวดีเลย
- นอกจากกันลมแล้ว ถ้าเสื้อหนาวกันฝนได้จะดีมาก ไม่งั้นต้องพกร่มไป (ถ้าไปกับทัวร์สามารถยืมร่มใหญ่จากคนรถได้ แต่มีไม่เยอะนะ)
- รองเท้าผ้าใบถ้ากันน้ำได้จะดีมาก ไม่งั้นตอนฝนตกจะเย็นเท้านะ มีวันนึงเดินในเมืองก็ใส่รองเท้าแตะ ได้อยู่เหมือนกัน
คุณไกด์ประจำทริป
ปกติแล้วเวลาไปทัวร์ มักจะมีไกด์ประจำทริปแค่คนเดียว แต่เพราะสมาชิกทัวร์ครั้งนี้ มีผู้สูงอายุเยอะหน่อย ทางบริษัทเลยจัดมาให้ช่วยกัน 2 คนเลย คือไกด์คุณรัตน์ และ ไกด์คุณวี ส่วนคนขับรถเป็นคนญี่ปุ่นชื่อ ยาสุอิ อายุ 46ปี ได้ไปลองคุยกับเขาเพื่อทดสอบภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียนเมื่อหลายปีที่แล้ว สรุปคือพูดอังกฤษแทนละกัน
โดยไกด์รัตน์จะเป็นไกด์หลักประจำทริป ดูแลดี เล่าเรื่องสนุก เป็นกันเอง ส่วนไกด์วีปกติจะอยู่รูทโตเกียว ครั้งนี้มาเป็นผู้ช่วย ... เอาจริงๆ เราว่าไกด์เนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้มาทัวร์แล้วสนุกนะ นั่งในรถก่อนลงไปเที่ยว ถ้าไกด์ดี เล่าอะไรให้ฟังพวกประวัติเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังจะไปจะทำให้เที่ยวสนุกขึ้น
กล้องประจำตัว
รูปทั้งหมดที่ถ่ายในทริปนี้คือ กล้องมิเรอร์เลส Sony NET-5T (ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น a5100 เรียบร้อยแล้ว) พร้อมเลนส์ที่ใช้ประจำ 18-200mm. แต่ที่เพิ่มเติมคือเลนส์ถ่ายมุมกว้าง (เลนส์ไวด์) 10-18mm. ที่ตัดสินใจซื้อมาเพราะได้ไปทริปนี้โดยเฉพาะเลยล่ะ เอามาถ่ายวิว
พร้อมแล้ว! โอเค ... ไปได้!
เหมือนการเดินทางไปต่างประเทศโดยทั่วไปคือเริ่มต้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินไปญี่ปุ่นครั้งนี้ของเราคือ การบินไทย TG-670 (เป็นเครื่องโบอิ้ง 747 เครื่องใหญ่ นั่งสบาย บินนิ่ง) ออกเดินทางห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืน ใช้เวลาบินทั้งหมด 6 ชั่วโมง (ถ้าเป็นขากลับจะใช้ 7 ชั่วโมงเพราะบินทวนลม) เครื่องเทคออฟเสร็จก็นอนกันเลย หรือจริงๆ ต้องบอกว่าเริ่มนอนตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ
ที่รีบนอนก็เพราะว่าเรามีเวลานอนจริงๆ แค่ 4 ชั่วโมง เนื่องจากก่อนเครื่องลงแอร์จะเริ่มเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟแล้ว วันแรกที่ไปถึงเลยมึนไปครึ่งวันเพราะนอนน้อย
ปกติ ถ้าใครไปญี่ปุ่นสนามบินที่น่าจะนึกถึงคือฮาเนดะและนาริตะ แต่สำหรับฮอกไกโดแล้วจะมีสนามบินหลักชื่อ “นิว จิโตเสะ” (New Chitose) ซึ่งเป็นสนามบินใหญ่ที่เล็กๆ (ฮา) ขนาดทีว่าจุดเช็กอิน ตรวจคนเข้าเมือง และเกตขึ้น/ลงเครื่องแทบจะอยู่ติดกันอยู่แล้ว แต่ที่เด็ดสำหรับสนามบินแห่งนี้คือ มันมีห้างอยู่ในสนามบินล่ะ!
รายการวันที่ 1
- โดราเอม่อน วาคุวาคุ สกายปาร์ค
- ทุ่งดอกไม้สีเหลือง นาโนะฮานะ (เรพซีด)
- Ice Pavilion
- น้ำตกกิงกะ+ริวเซย์
และจุดแรกที่เราไปเที่ยวกันก็อยู่ในสนามบินนี่ล่ะ (ประสบการณ์แปลกใหม่ เริ่มโปรแกรมแรกอยู่ในสนามบิน) นั่นคือ Doraemon WakuWaku Sky Park ซึ่งอยู่ชั้น 3 ในสนามบิน ชั้นเดียวกับจุดเช็กอินกระเป๋า ห่างกันแค่ 100 เมตร โดยไกด์ให้เราเอากระเป๋าไปเก็บในรถที่จอดอยู่ข้างล่างกันก่อน แล้วหลังจากเอากระเป๋าขึ้นรถและจับจองที่นั่งเรียบร้อยก็กลับขึ้นไปชั้น 3 ในสนามบินใหม่
#Doraemon WakuWaku Sky Park
โดราเอม่อน (ที่คนไทยชอบอ่านย่อเป็นโดเรม่อน) ของที่นี่จะต่างจาก Doraemon Museum ที่เมืองคาวาซากิที่การจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์โชว์ผลงานและเบื้องหลังการสร้างโดราเอม่อน แต่ที่นี่จะเหมือนกับ Art in Paradise ที่พัทยา คือเป็นฉากให้คนมาถ่ายรูปมุมแปลกตาๆ ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดน่ะเป็นธีมโดราเอม่อน
นอกจากพวกฉากให้ถ่ายรูปสวยๆ แล้วก็จะมีการแสดงโชว์ (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นทุกๆ ครึ่งชั่วโมง) จะใช้เทคนิคประกอบกับฉากหลังที่เป็นโปรเจคเตอร์ นักแสดงเอคทีฟมากๆ สมกับเป็นคนญี่ปุ่น (ฮา)
ส่วนข้างนอกจะมีพวกร้านของที่ระลึกขาย มีร้านอาหารและขนมลายโดราเอม่อนด้วยล่ะ
#ทุ่งดอกไม้เหลืองนาโนะฮานะ (เรพซีด)
หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่เมืองทาคิคาวะไปยังทุ่งดอกไม้สีเหลือง นาโนะฮานะ หรือ เรพซีด (บางประเทศก็เรียกว่า Canola)
ทุ่งดอกไม้นี่จริงๆ เป็นอีเวนท์หนึ่งของเมืองทาคิคาวะ ถ้าไปช่วงอื่นที่เลยเดือนมิถุนาไปแล้วก็อาจจะเจอได้อยู่ แต่อาจจะไม่เยอะขนาดนี้ ทุ่งดอกไม้สีเหลืองที่คนญี่ปุ่นเรียกนาโนะฮานะนั้นมีหลายแปลงกระจายไปทั่วเมือง
ตอนแรกเนื่องจากหาที่จอดรถไม่ได้เลยได้ไปแปลงที่เล็ก แต่ไกด์ก็บอกให้คนขับรถขับมาดรอปที่แปลงนี้ให้ เลยได้รูปสวยๆ มา ... แปลงดอกไม้ที่แวะอยู่ริมทาง ถนนไม่กว้างนัก แต่ก็มีรถจอดกันเยอะเพราะคนลงมาถ่ายรูปกัน
วันนี้แดดค่อนข้างดี แต่อากาศที่นี่เย็นเลยไม่ร้อน แถมฟ้าเปิดอีกตั้งหาก เลยได้รูปเป็นฉากหลังสีฟ้าสดใสไม่มีเมฆเลย
#Ice Pavilion กับห้องเยือกแข็ง -41 องศา
เสร็จแล้วเราก็ไปกันต่อที่เมืองคามิคาวะซึ่งมี พิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง Ice Pavilion ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะจากหิมะ ซึ่งข้างในก็หนาวมาก อุณหภูมิระดับ -20 องศา ทางพิพิธภัณฑ์มีเสื้อหนาวให้ยืมใส่แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขนาดนั้น ใครเคยไปต่างประเทศ ตอนหิมะตกน่าจะรู้ดี ในจำนวนนี้มีห้องหนึ่งเป็นโซนเยือกแข็งอุณหภูมิ -41 องศา เพื่อจำลองฮอกไกโดในปีหนึ่งที่อุณหภูมิลดต่ำขนาดนั้น เข้าไปนี่กลัวกล้องและเลนส์พังมากๆ (ฮา)
สำหรับที่นี่ก็มีของขายเป็นปากกาที่สีจะจางหายไปเมื่อโดยความร้อน และตัวสีจะกลับมาใหม่เมื่อเจอความเย็น ก่อนเข้าไปเขาก็ให้เราระบายสีรูปที่มีแจกให้กันก่อนจะเอาไปอังเตาไฟ แล้วพกเข้าไปในห้องน้ำแข็งด้วย สีที่ระบายไว้จะกลับมา
#น้ำตก Ginga และ Ryusei
ความจริงรายการนี้เป็นของวันที่สอง แต่เลื่อนเวลามาเป็นวันนี้แทน พรุ่งนี้จะได้มีเวลาเดินทางนานขึ้น
สองน้ำตกที่อยู่ในเขตของอุทยานไดเซ็ตสึซัง อุทานที่ใหญ่ที่สุดของฮอกไกโด โดยน้ำตกทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จะชมวิวจากจุดแวะพักริมทางหรือเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อดูน้ำตกใกล้ๆ ก็ได้
น้ำตกริวเซย์ - จะอยู่ทางขวา (รูปใหญ่ข้างบน) ฉายาน้ำตกดาวตก ลักษณะการไหลจะออกมาจากซอกผา เป็นเส้นตรงและกระแสน้ำจะแรงกว่า ดูแข็งแรง เลยได้เป็นน้ำตกผู้ชาย
น้ำตกกิงกะ - จะอยู่ทางด้านซ้าย (รูปใหญ่ข้างล่าง) ฉายาน้ำตกแม่น้ำสีเงิน ลักษณะการไหลเป็นเส้นไขว้ไปมาคล้ายเส้นด้าย ดูอ่อนช้อยกว่า เลยได้เป็นน้ำตกผู้หญิง
ไกด์เล่าให้ฟังว่าอะไรก็ตามในธรรมชาติของญี่ปุ่นถ้ามันมี 2 อันอยู่คู่กันมักจะถูกจับคู่ให้เป็นผู้หญิงอันนึง ผู้ชายอันนึง โดยส่วนใหญ่อันทางทางซ้ายหรืออันที่ใหญ่กว่าจะได้เป็นผู้หญิง เพราะสำหรับประเทศนี้ ตำนานและความเชื่อจะถือว่าเทพผู้หญิงใหญ่กว่าผู้ชาย (เช่นเทพดวงอาทิตย์ อามาเทราสึ คือเทพที่ใหญ่ที่สุดในตำนานก็เป็นผู้หญิง)
ระหว่างน้ำตกทั้งสองอัน จะมีทางเดินเลียบถนนเล็กๆ ที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มสองข้างทาง (อีกด้านฝั่งที่ไม่ใช่ถนนจะเป็นแม่น้ำ สีสวยมาก)
คำแนะนำสำหรับคนที่ไม่มีเลนส์มุมกว้างแต่อยากเห็นภาพน้ำตกให้ได้ครบทั้งอัน ให้มาถ่ายรูปจากจุดแวะพักที่อยู่อีกด้านของถนน จะมีเนินขึ้นไปถ่ายรูปจากมุมนั้นได้