เข้าวัดแล้วได้บาปหรือได้บุญ?...กรณีวัดพระธรรมกาย โดย สีกาข้างวัด

เข้าวัดแล้วได้บาปหรือได้บุญ?...กรณีวัดพระธรรมกาย โดย สีกาข้างวัด
ที่มา http://www.oknation.net/blog/satu/2016/06/24/entry-1

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
พระธัมมชโยขายค้อน


ในศาสนาพุทธ  สอนเรื่องราวที่เป็นสัจจธรรม   สอนให้ละกิเลสตัณหาเพื่อตัดภพตัดชาติ

เพื่อความหลุดพ้นและไปสู่พระนิพพาน

พฤติกรรมที่ทำให้คนหมกมุ่นแต่ในเรื่องของบุญ   รวย   สวรรค์

โดยบอกว่าทำบุญมาก ๆ แบบปิดบัญชีทางโลก  เปิดบัญชีทางสวรรค์

ทำให้คนหลงเชื่อเกิดกิเลสตัณหา   คนอยากได้บุญมาก ๆ  ก็ทุ่มทำบุญจนตัวเองเดือดร้อน

บางคนก็ไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญ    บางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินมาใช้หนี้

เป็นการกระทำที่เป็นอกุศลกรรมและเป็นบาป


หนทางไปสู่สวรรค์ก็ไม่มีวิธีวิเศษอื่นใดดังที่อวดอ้าง

ในคำสอนของศาสนาพุทธ  หนทางที่จะไปสู่สวรรค์คือทาน  และศีล*


*ในพระไตรปิฎกกล่าวถึง  ทานที่มีอานิสงส์มาก คือ

การทำทานที่ไม่หวังผล แต่ทำเพื่อปรุงแต่งจิต  

มีผลให้ผู้นั้นไปเกิดในชั้นพรหม

เมื่อเขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก


**พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕

อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

ทานสูตร


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
พระธัมมชโยพูดถึงพระพุทธเจ้า


ธัมมชโยพูดถึงพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็แค่บรรลุ   แต่ไม่รู้จักมาร

จึงต้องเข้านิโรธสมาบัติไปถามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ

ซึ่งสีกาข้างวัดเองฟังแล้วไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น


**ในพระไตรปิฎก  เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗

สังยุตตนิกาย สคาถวรรค   

มารสังยุตต์  สุภสูตรที่ ๓

ได้กล่าวถึงเรื่องมารว่า


ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ อุรุเวลาประเทศ ก็โดยสมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้งในราตรีอันมืดทึบ และฝนกำลังตก
ประปรายอยู่ ฯ
             ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม
ขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้ว
แสดงเพศต่างๆ หลากหลาย ทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ในที่ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาค ฯ
             ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้
จึงตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า
                          ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาล
                          อันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะทำการจำแลง
                          เพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัด
                          เสียได้แล้ว ฯ
                          และชนเหล่าใดสำรวมดีแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา และ
                          ด้วยใจ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาร
                          ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้เดินตามหลัง ฯ
             ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ


ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ารู้จักมารตั้งแต่ตอนตรัสรู้ใหม่ๆ

แล้วพระองค์จะไปถามพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ทำไม?

และพระพุทธเจ้าตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เองแล้วจะต้องไปถามใครอีก?


ผู้ก่อกรรมทำเข็ญเช่นไรย่อมได้รับผลกรรมและเป็นทุกข์

ถึงจะพยายามเลี่ยงกฎหมายบ้านเมืองแต่ก็เลี่ยงกฎแห่งกรรมไม่พ้น

ทุกข์ที่เห็นในปัจจุบัน   คือ  จิตเศร้าหมองมีแต่ความหวาดระแวง และความกลัว

ขาดความเป็นอิสระ  ต้องอยู่อย่างหลบซ่อน

ถูกคนในสังคมรังเกียจและติเตียนกันอย่างแพร่หลาย


การมาวัดโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองหรือพิจารณาโดยแยบคาย

หลงเสพในสิ่งหรือเกี่ยวข้องในบุคคลที่นำพาไปสู่บาปกรรมหรืออกุศลกรรม

และการชักชวนกันมาโดยอ้างว่ามาปฏิบัติธรรม

แต่แท้จริงมาขัดขวางเจ้าหน้าที่  คือชักชวนกันมาทำบาป  ทำอกุศล

เกิดศีลวิบัติ  เพราะทำผิดศีลข้อ 4   

จึงเกิดความทุกข์ร้อนทั้งกายและใจในปัจจุบันเข่นนี้


*** โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล ๕ อย่าง

             ๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย คนทุศีลมีศีลวิบัติในโลกนี้ ย่อมเข้าถึงความ

เสื่อมแห่งโภคะใหญ่ ซึ่งมีความประมาทเป็นเหตุ นี้โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล

ข้อที่หนึ่ง ฯ

             ๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก เกียรติศัพท์อันเสียหายของคน

ทุศีลมีศีลวิบัติ ย่อมระบือไป นี้โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีลข้อที่สอง ฯ

             ๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีลมีศีลวิบัติเข้าไปหา

บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท

เป็นผู้ไม่แกล้วกล้า เป็นคนเก้อเขินเข้าไปหา นี้โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล

ข้อที่สาม ฯ

             ๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีลมีศีลวิบัติ ย่อมเป็นคน

หลงทำกาละ นี้โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีลข้อที่สี่ ฯ

             ๕. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก คนทุศีลมีศีลวิบัติ ย่อมเข้าถึง

อบาย ทุคติ วินิบาต นรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก นี้โทษแห่งศีลวิบัติ

ของคนทุศีลข้อที่ห้า ฯ


จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓

ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค


ท้ายสุดนี้สีกาข้างวัดอยากจะให้ข้อคิดว่า

"คนดี ย่อมไม่ชักชวนคนอื่นไปทำผิดศีล

ส่วนคนไม่ดี  คือตรงกันข้าม"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่