มีกระทู้ "เปลือยปอด(2)" ข้างล่าง ผมก็อยากจะแชร์แนวความคิดการลงทุนไว้พูดคุย หรือเพื่อเป็นแนวทางให้กับนักลงทุนช่วงนี้กันครับ
ผมอยู่ในตลาดมาสี่ปีกว่าแล้ว:
ต้นปี 2012: ลงทุนครั้งแรก
2013: มีทั้ง หุ้น และ TFEX (โลภเกินความรู้ที่มี) ผลคือขาดทุนมากกว่าสามแสนบาท
2014: หยุดซื้อหุ้น แต่เน้นศึกษาวิธีลงทุนจาก internet หลายๆ รูปแบบ ศึกษาแนวคิดของนักลงทุนฝรั่งเจ๋งๆ กับ กองทุนฝรั่งดังๆ จนคิดว่าหาวิธีลงทุนที่เหมาะกับจริตของเราเองได้
2015: กลับเข้ามาลงทุนด้วยเงินเริ่มต้น 50,000 บาท
2016: ยึดแนวทางลงทุนแบบจริตเรา ถ้า Port ถึง 8 หลักเมื่อไรจะกลับมาแชร์แนวคิดอีกครั้ง
วิธีการสร้างและบริหาร Port หุ้นตามจริตของผม มี 3 หลักง่ายๆ เพื่อให้เข้ากับหลักการแบบ Dynamic & High Conviction Portfolio ซึ่งเป้าหมายการสร้าง Port แบบนี้เพื่อทำให้ได้ Alpha เพิ่มมากขึ้นได้เรื่อยๆ
1. เข้าใจหุ้นที่เรา (จะ) ถือทั้งทางพื้นฐานและทางเทคนิค: เกี่ยวกับ Factor Investing
2. รู้วิธีปกป้องเงินต้น: เกี่ยวกับ Protective Stops + จุด Stop Loss
3. รู้วิธีทำให้เงินต้นเติบโตแบบมีนัยยะสำคัญ: เกี่ยวกับ Weighting & Rebalancing + Leverage/Gearing
หลักการที่ 1: เลือกหุ้นแบบ Factor Investing: วิธีนี้ไม่ใช่ของใหม่ ทุกคนเลือกหุ้นกันตาม Factors กันอยู่แล้ว เช่น VI ก็เลือกหุ้นที่มี Value Factors เทคนิคก็ซื้อหุ้นที่มี Technial Factors ที่ดี หุ้นที่จะเลือกมาเข้า Port ของผมจะเน้นไปที่ 4 Factors บางตัวมีครบทั้ง 4 Factors ก็ถือนาน + เอากำไรมาซื้อเพิ่มขึ้น บางตัวมีไม่ถึง 4 Factors ก็ถือสั้น ขายเป็น Cash Flow มาใช้หรือมาลงทุนต่อ
1.1. Quality Factors: มีการเติบโตของ EPS, รายได้, กำไรจากการดำเนินงาน และ ROE ดีต่อเนื่อง, มี D/E ต่ำ มองอนาคตธุรกิจให้ออกใน 2-3 ปีข้างหน้า ว่ากำไรและรายได้ยังโตได้ดีเรื่อยๆ (สังเกตจากกำไรปรกติจะดีกว่า (Surprise) นักวิเคราะห์คิดไว้ ทำให้มีการปรับราคาเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ)
1.2. Momentum Factors: ทั้งราคาหุ้น (3, 6 หรือ 12 เดือน) กับ รายได้กำไรของบริษัท เป็นรอบแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน PE สูงไม่เป็นไรตราบใดที่ Momentum พวกนี้ยังเป็นขาขึ้น
1.3. Size Factors: เน้นเลือกหุ้นที่เป็น Small- กับ Mid-Cap เพราะตามที่เข้าใจ พวกนี้จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่าหุ้น Large-Cap อีกอย่างสังเกตหุ้น ที่เป็น Superstock ที่ผ่านๆ มาจะมีแค่ Small- กับ Mid-cap
1.4. Technical Factors: มี Relative Strength, ราคาขึ้นพร้อมมี Volume ซื้ออย่างต่อเนื่อง ราคาเป็นขาขึ้นอยู่เหนือเส้น 50-day EMA มี Pullbacks ได้ แต่ต้องไม่มากกว่า 15% จากยอดที่ตกมา แล้วทำฐานราคาใหม่ (Tight Base) อยู่ ใกล้กับ 50-day EMA หรือ 20-day EMA แต่ 20-day EMA ยังอยู่เหนือ 50-Day EMA ตลอด สุดท้ายมีการ Breakout จากยอดเดิมพร้อม Volume
ปี 2015 ใช้หลัก Factor Investing ก็ซื้อมา 4 หุ้น: BEAUTY, CHG, GL และ MTLS
ปี 2016 ใช้หลักเดิม มีอยู่ 2 หุ้น
แต่รู้วิธีเลือกหุ้นแล้ว ก็จะต้องมีหลักการปกป้องเงินต้นและทำเงินต้นให้ทบต้นแบบ Superformance
หลักการที่ 2: Protective Stops and Stop Loss: หลักการนี้ มีให้อ่านเยอะแยะตาม Internet ลองไปศึกษาเพิ่มนะครับ
หลักการที่ 3: Weighting & Rebalancing, Leverage/Gearing: หลักการนี้สำคัญที่สุดต่อการสร้าง Port ให้โตแบบมีนัยะสำคัญ จะเกี่ยวกับการวางเงินให้ถูกจุด (Weighting), ถูกเวลา (Rebalancing) และใช้ Leverage/Gearing ที่พอเหมาะ
3.1. Weighting & Rebalancing:
3.1.1. Active Risk Taking and Effective Risk Management: ผมเชื่อหลักบริหาร Port แบบนี้ ไม่เคยเชื่อว่าการบริหาร Port แบบวิธี Diversification จะทำให้ Port โตแบบมากมาย เพราะเป้าหมายผมไม่ใช่มากระจายความเสี่ยง แต่เป็นการทำเงินให้มากที่สุด (Big Upside) จากความเสี่ยงที่น้อยที่สุด (Small Downside) จากจุดนี้ทำให้ Port ผมเป็นแบบ Highly-Concentrated Portfolio เน้นการมีหุ้นไม่เกิน 5 ตัว (ตอนนี้ถือแค่ 2 ตัว) และแต่ละตัวที่อยู่ใน Port ควรมีแนวโน้มสามารถสร้าง Alpha ที่ยั่งยืนให้กับ Port ได้
3.1.2. Force Feed The Winners: ถ้าหุ้นบางตัวที่คัดมาแล้ว ผิดคาดคือราคาออก Sideways, ยังขึ้นได้นิดเดียว หรือยังติดลบนิดๆเกิน 3 เดือน หรือมีแนวโน้มใกล้หมดรอบ ผมจะขายให้หมด แล้วเอาเงินไปใส่กับหุ้นที่ขึ้นได้เยอะที่สุดใน Port (Gigantic Winners/or The Best Of The Best Stocks In Portfolio)
3.1.3. Let Profits Run and Run and Run: วิธีนี้เป็นวิธีที่คิดว่าทำให้ได้กินรอบใหญ่ โดยจะคิดผลตอบแทนของหุ้นที่เป็น Winners ที่เกิน 100% ขึ้นไป และไม่ขายหุ้นที่เป็น Winners ให้ได้กำไรแค่ 10% หรือ 20%
3.1.4. Averaging Up: แค่ปล่อยกำไรให้ Run อย่างเดียวคิดว่าไม่สามารถทำให้ Port โตแบบมากๆ ได้ จะต้องมีการซื้อเพิ่มกับหุ้นที่เป็น Winners ด้วย ผมจะซื้อเพิ่มทุกครั้งที่ราคาขึ้นมากกว่า 30% และมักจะคอยเข้าซื้อตอนที่มีการ Pullbacks ของราคาหุ้น อีกอย่างก็จะ Check กับกองทุนนอกทั้งหลายที่ถือหุ้นตัวเดียวกับเราว่ามีการเพิ่ม Positions ขึ้นไหม ถ้ามีก็ทำให้เรามั่นใจในการทำ Averaging Up เพราะมีคนเห็นอย่างที่เราเห็น ถึงซื้อเพิ่มตอนมันขึ้นเรื่อยๆ
3.2. Leverage/Gearing: หลักการข้อนี้จำได้ขึ้นใจ เพราะ ปี 2013 ใช้ Leverage แบบ TFEX ทำให้เสียหายมากมาย ตอนนั้นรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ + ความโลภเยอะ แต่ถ้าได้ศึกษาดีๆ ให้เข้าใจมากๆ Leverage จะเป็นหนึ่งสิ่งที่เยี่ยมที่สุดในการสร้าง Wealth ขึ้นมาและก็เป็นหนึ่งสิ่งที่อันตรายสุดๆ ในการทำให้ Wealth หายวับไปเลย Leverage จะมาในรูปแบบของ 1. การกู้เงินมาเล่น (กู้จากธนาคาร เพื่อน หรือใช้บัตรกดเงินสดออกมา) 2. ใช้ Margin เล่นจากโปรก 3. เล่น DW/หรือ Options 4. เล่น Futures (TFEX) ณ ตอนนี้ Port ที่มีอยู่ยังไม่กล้าใช้ Leverage เพราะคิดว่ายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง + บวกกับใจที่ยังไม่ถึงเหมือนคราวก่อน แต่ก็กำลังศึกษาเรื่อง LEAPS โดยใช้ Deep OTM DW หรือ Deep ITM DW กับจำนวนเงินบางส่วนของกำไรจากหุ้น ที่เรายอมรับให้มันหายวับไปได้
สรุปสั้นๆ : วิธีการเลือกหุ้นสำคัญมาก (Stock Picking) แต่ วิธีการบริหาร Port หุ้น (Position Sizing) จะสำคัญที่สุดที่จะทำให้ Port เติบโตได้แบบมีนัยยะสำคัญยั่งยืนได้ และแต่ละวิธีการก็จะมีข้อปลีกย่อยให้เราได้เลือกใช้ตามแต่จริตของแต่ละคน ผมเชื่อว่าถ้านักลงทุนมีความรู้และความเชื่อที่ถูกต้อง หรือพยายามขวนขวายความรู้และความเชื่อนั้นๆ จะสามารถหยิบเงินในตลาดหุ้นได้เสมอๆ
จาก 5 หลัก ไป 7 หลัก ลงทุนในหุ้นปี 2015-2016
ผมอยู่ในตลาดมาสี่ปีกว่าแล้ว:
ต้นปี 2012: ลงทุนครั้งแรก
2013: มีทั้ง หุ้น และ TFEX (โลภเกินความรู้ที่มี) ผลคือขาดทุนมากกว่าสามแสนบาท
2014: หยุดซื้อหุ้น แต่เน้นศึกษาวิธีลงทุนจาก internet หลายๆ รูปแบบ ศึกษาแนวคิดของนักลงทุนฝรั่งเจ๋งๆ กับ กองทุนฝรั่งดังๆ จนคิดว่าหาวิธีลงทุนที่เหมาะกับจริตของเราเองได้
2015: กลับเข้ามาลงทุนด้วยเงินเริ่มต้น 50,000 บาท
2016: ยึดแนวทางลงทุนแบบจริตเรา ถ้า Port ถึง 8 หลักเมื่อไรจะกลับมาแชร์แนวคิดอีกครั้ง
วิธีการสร้างและบริหาร Port หุ้นตามจริตของผม มี 3 หลักง่ายๆ เพื่อให้เข้ากับหลักการแบบ Dynamic & High Conviction Portfolio ซึ่งเป้าหมายการสร้าง Port แบบนี้เพื่อทำให้ได้ Alpha เพิ่มมากขึ้นได้เรื่อยๆ
1. เข้าใจหุ้นที่เรา (จะ) ถือทั้งทางพื้นฐานและทางเทคนิค: เกี่ยวกับ Factor Investing
2. รู้วิธีปกป้องเงินต้น: เกี่ยวกับ Protective Stops + จุด Stop Loss
3. รู้วิธีทำให้เงินต้นเติบโตแบบมีนัยยะสำคัญ: เกี่ยวกับ Weighting & Rebalancing + Leverage/Gearing
หลักการที่ 1: เลือกหุ้นแบบ Factor Investing: วิธีนี้ไม่ใช่ของใหม่ ทุกคนเลือกหุ้นกันตาม Factors กันอยู่แล้ว เช่น VI ก็เลือกหุ้นที่มี Value Factors เทคนิคก็ซื้อหุ้นที่มี Technial Factors ที่ดี หุ้นที่จะเลือกมาเข้า Port ของผมจะเน้นไปที่ 4 Factors บางตัวมีครบทั้ง 4 Factors ก็ถือนาน + เอากำไรมาซื้อเพิ่มขึ้น บางตัวมีไม่ถึง 4 Factors ก็ถือสั้น ขายเป็น Cash Flow มาใช้หรือมาลงทุนต่อ
1.1. Quality Factors: มีการเติบโตของ EPS, รายได้, กำไรจากการดำเนินงาน และ ROE ดีต่อเนื่อง, มี D/E ต่ำ มองอนาคตธุรกิจให้ออกใน 2-3 ปีข้างหน้า ว่ากำไรและรายได้ยังโตได้ดีเรื่อยๆ (สังเกตจากกำไรปรกติจะดีกว่า (Surprise) นักวิเคราะห์คิดไว้ ทำให้มีการปรับราคาเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ)
1.2. Momentum Factors: ทั้งราคาหุ้น (3, 6 หรือ 12 เดือน) กับ รายได้กำไรของบริษัท เป็นรอบแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน PE สูงไม่เป็นไรตราบใดที่ Momentum พวกนี้ยังเป็นขาขึ้น
1.3. Size Factors: เน้นเลือกหุ้นที่เป็น Small- กับ Mid-Cap เพราะตามที่เข้าใจ พวกนี้จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่าหุ้น Large-Cap อีกอย่างสังเกตหุ้น ที่เป็น Superstock ที่ผ่านๆ มาจะมีแค่ Small- กับ Mid-cap
1.4. Technical Factors: มี Relative Strength, ราคาขึ้นพร้อมมี Volume ซื้ออย่างต่อเนื่อง ราคาเป็นขาขึ้นอยู่เหนือเส้น 50-day EMA มี Pullbacks ได้ แต่ต้องไม่มากกว่า 15% จากยอดที่ตกมา แล้วทำฐานราคาใหม่ (Tight Base) อยู่ ใกล้กับ 50-day EMA หรือ 20-day EMA แต่ 20-day EMA ยังอยู่เหนือ 50-Day EMA ตลอด สุดท้ายมีการ Breakout จากยอดเดิมพร้อม Volume
ปี 2015 ใช้หลัก Factor Investing ก็ซื้อมา 4 หุ้น: BEAUTY, CHG, GL และ MTLS
ปี 2016 ใช้หลักเดิม มีอยู่ 2 หุ้น
แต่รู้วิธีเลือกหุ้นแล้ว ก็จะต้องมีหลักการปกป้องเงินต้นและทำเงินต้นให้ทบต้นแบบ Superformance
หลักการที่ 2: Protective Stops and Stop Loss: หลักการนี้ มีให้อ่านเยอะแยะตาม Internet ลองไปศึกษาเพิ่มนะครับ
หลักการที่ 3: Weighting & Rebalancing, Leverage/Gearing: หลักการนี้สำคัญที่สุดต่อการสร้าง Port ให้โตแบบมีนัยะสำคัญ จะเกี่ยวกับการวางเงินให้ถูกจุด (Weighting), ถูกเวลา (Rebalancing) และใช้ Leverage/Gearing ที่พอเหมาะ
3.1. Weighting & Rebalancing:
3.1.1. Active Risk Taking and Effective Risk Management: ผมเชื่อหลักบริหาร Port แบบนี้ ไม่เคยเชื่อว่าการบริหาร Port แบบวิธี Diversification จะทำให้ Port โตแบบมากมาย เพราะเป้าหมายผมไม่ใช่มากระจายความเสี่ยง แต่เป็นการทำเงินให้มากที่สุด (Big Upside) จากความเสี่ยงที่น้อยที่สุด (Small Downside) จากจุดนี้ทำให้ Port ผมเป็นแบบ Highly-Concentrated Portfolio เน้นการมีหุ้นไม่เกิน 5 ตัว (ตอนนี้ถือแค่ 2 ตัว) และแต่ละตัวที่อยู่ใน Port ควรมีแนวโน้มสามารถสร้าง Alpha ที่ยั่งยืนให้กับ Port ได้
3.1.2. Force Feed The Winners: ถ้าหุ้นบางตัวที่คัดมาแล้ว ผิดคาดคือราคาออก Sideways, ยังขึ้นได้นิดเดียว หรือยังติดลบนิดๆเกิน 3 เดือน หรือมีแนวโน้มใกล้หมดรอบ ผมจะขายให้หมด แล้วเอาเงินไปใส่กับหุ้นที่ขึ้นได้เยอะที่สุดใน Port (Gigantic Winners/or The Best Of The Best Stocks In Portfolio)
3.1.3. Let Profits Run and Run and Run: วิธีนี้เป็นวิธีที่คิดว่าทำให้ได้กินรอบใหญ่ โดยจะคิดผลตอบแทนของหุ้นที่เป็น Winners ที่เกิน 100% ขึ้นไป และไม่ขายหุ้นที่เป็น Winners ให้ได้กำไรแค่ 10% หรือ 20%
3.1.4. Averaging Up: แค่ปล่อยกำไรให้ Run อย่างเดียวคิดว่าไม่สามารถทำให้ Port โตแบบมากๆ ได้ จะต้องมีการซื้อเพิ่มกับหุ้นที่เป็น Winners ด้วย ผมจะซื้อเพิ่มทุกครั้งที่ราคาขึ้นมากกว่า 30% และมักจะคอยเข้าซื้อตอนที่มีการ Pullbacks ของราคาหุ้น อีกอย่างก็จะ Check กับกองทุนนอกทั้งหลายที่ถือหุ้นตัวเดียวกับเราว่ามีการเพิ่ม Positions ขึ้นไหม ถ้ามีก็ทำให้เรามั่นใจในการทำ Averaging Up เพราะมีคนเห็นอย่างที่เราเห็น ถึงซื้อเพิ่มตอนมันขึ้นเรื่อยๆ
3.2. Leverage/Gearing: หลักการข้อนี้จำได้ขึ้นใจ เพราะ ปี 2013 ใช้ Leverage แบบ TFEX ทำให้เสียหายมากมาย ตอนนั้นรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ + ความโลภเยอะ แต่ถ้าได้ศึกษาดีๆ ให้เข้าใจมากๆ Leverage จะเป็นหนึ่งสิ่งที่เยี่ยมที่สุดในการสร้าง Wealth ขึ้นมาและก็เป็นหนึ่งสิ่งที่อันตรายสุดๆ ในการทำให้ Wealth หายวับไปเลย Leverage จะมาในรูปแบบของ 1. การกู้เงินมาเล่น (กู้จากธนาคาร เพื่อน หรือใช้บัตรกดเงินสดออกมา) 2. ใช้ Margin เล่นจากโปรก 3. เล่น DW/หรือ Options 4. เล่น Futures (TFEX) ณ ตอนนี้ Port ที่มีอยู่ยังไม่กล้าใช้ Leverage เพราะคิดว่ายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง + บวกกับใจที่ยังไม่ถึงเหมือนคราวก่อน แต่ก็กำลังศึกษาเรื่อง LEAPS โดยใช้ Deep OTM DW หรือ Deep ITM DW กับจำนวนเงินบางส่วนของกำไรจากหุ้น ที่เรายอมรับให้มันหายวับไปได้
สรุปสั้นๆ : วิธีการเลือกหุ้นสำคัญมาก (Stock Picking) แต่ วิธีการบริหาร Port หุ้น (Position Sizing) จะสำคัญที่สุดที่จะทำให้ Port เติบโตได้แบบมีนัยยะสำคัญยั่งยืนได้ และแต่ละวิธีการก็จะมีข้อปลีกย่อยให้เราได้เลือกใช้ตามแต่จริตของแต่ละคน ผมเชื่อว่าถ้านักลงทุนมีความรู้และความเชื่อที่ถูกต้อง หรือพยายามขวนขวายความรู้และความเชื่อนั้นๆ จะสามารถหยิบเงินในตลาดหุ้นได้เสมอๆ