สวัสดีค่ะ เราเพิ่งหัดเขียนกระทู้เป็นครั้งแรกและไม่ค่อยได้ติดตามอ่านพันทิปเท่าที่ควร ภาษาที่ใช้พิมพ์อาจจะไม่เหมือนกระทู้อื่นๆ เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลเจ้าของกระทู้ไม่สามารถบังคับให้ใครเชื่อได้ แต่สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าของกระทู้เองจำได้ดีในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะมีเรื่องราวของเพื่อนแทรกบ้างนิดหน่อย (เจ้าของกระทู้ไม่ใช่ผู้ที่สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ จะเห็นก็ต่อเมื่อเค้าปรากฏตัวให้เห็นรึสัมผัสเท่านั้น และวิญญาณเหล่านั้นก็ไม่เคยมาทำร้ายแต่อย่างใด เจ้าของกระทู้เพียงเชื่อว่าวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตในอีกโลกหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนกับเรา แค่มีจังหวะที่โลกของเราและโลกของเค้าจูนเข้าหากัน เราทำให้เราเห็นเค้าเท่านั้น)
เราเป็นคนที่ได้ยินเสียงสวดมนต์จะมีอาการหายใจไม่ออกและไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน เพราะเมื่อไหร่ที่สวดวิญญาณจะมาเต็มในฝันเลยค่ะ เราเกิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในจังหวัดเล็กของภาคกลาง บ้านอยู่ตรงโครงการชลประทาน ในสมัยก่อนมีเรือสินค้าผ่านไปผ่านมา วันหนึ่งเกิดเหตุเรือล่ม มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก โดยทุกศพจากเหตุการณ์นั้นได้ทำการขนย้ายผ่านแพท่าของบ้านเรา ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าตรงที่บ้านเราเป็นทางผีผ่าน และบ้านเราก็ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนแล้วดุที่คนแถวนั้นรู้กันดี บ้านเราก่อนสร้างใหม่นั้นเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ คือมีชั้นบนเป็นไม้และข้างล่างเป็นปูน ซึ่งข้างล่างจะเป็นที่เก็บของอุปกรณ์โต๊ะจีน (บ้านเรารับจัดโต๊ะจีน)
เหตุการณ์ที่ 1 จุดเริ่มต้น...เราใช้ชีวิตปกติเรื่อยมาจนกระทั่งวันเริ่มต้นของการเห็นวิญญาณก็เริ่มขึ้น น่าจะราวๆชั้น ป.1 เราลงบันไดจากบ้านเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างล่าง เราก็เจอโครงกระดูก เป็นโครงกระดูกจริงๆ นั่งอยู่บนลังอุปกรณ์หน้าห้องน้ำ เรามองแบบนั้นอยู่เป็นนาทีเพื่อความแน่ใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบนบ้านเพื่อเรียกแม่ แต่พอหันกลับไปอีกทีโครงกระดูกนั้นก็หายไปแล้ว ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัววิญญาณและคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดเราก็เลยเดินเข้าห้องน้ำไปปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
เหตุการณ์ที่ 2 เล่นกับใคร...เค้าว่ากันว่าเมื่อคนเราเห็นแล้วก็จะเห็นไปตลอดชีวิต เรามีพี่ชายขอแทนว่าพี่ซี เรากับพี่เราอายุห่างกัน 3 ปี เย็นวันหนึ่งของการกลับมาจากโรงเรียน เรากับพี่ก็วิ่งเล่นกันปกติ แต่กิจกรรมโปรดของเราเลยคือซ่อนหา เรากับพี่ก็เล่นซ่อนหากันโดยที่เราเป็นคนปิดตาและพี่ซีเป็นคนแอบ เมื่อเราเปิดตาออกมาเราก็เริ่มภารกิจตามหาพี่ซี แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไม่ว่าจะบนบ้าน ในสวน เราเลยตัดสินใจเดินไปถามแม่ว่าเห็นพี่ซีบ้างไหม เพราะเราหามานานมากแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่ได้รับคำตอบมาจากแม่คือ พี่ซีอยู่ที่เรียนพิเศษยังไม่ได้กลับบ้าน เราตกใจมากแล้วเล่าให้แม่ฟังว่า เมื่อกี้ยังเล่นกับพี่ซีอยู่เลย แต่แม่ก็หาว่าเราคิดไปเอง และเมื่อถึงเวลาพ่อก็ไปรับพี่ซี เราสับสนมาก เราแน่ใจจริงๆว่าเมื่อกี้เราเล่นกับพี่ซีแน่ๆ แต่เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจจนถึงทุกวันนี้ ว่าวันนั้นเราเล่นกับใคร??
เหตุการณ์ที่ 3 ปู่กลับบ้าน...เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านเราอีกเช่นเคย บ้านเรานั้นอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ พี่ซี และก็เรา บ้านของเราจะมีห้องคอมที่เป็นห้องกระจกอยู่บนบ้าน คอมในยุคนั้นเป็นคอม PC ตั้งกับโต๊ะ เรานั่งเล่นคอมอยู่ที่โต๊ะก็มีความรู้สึกว่ามีคนอยู่หน้าประตู หลายๆคนคงเคยเป็นที่มีความรู้สึกว่ามีสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่ตรงที่เราไม่ได้มอง เราเลยหันไปดูก็เจอผู้ชายสูงอายุคนนึง ตัดผมคนสมัยโบราณทรงมหาดไทยสวมเสื้อสีขาวนุ่งโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าพาดที่บ่าด้านซ้าย มือขวาใช้ไม้เท่าคล้ำเดินผ่านหน้าห้องไป แล้วเราก็หันกลับมาเล่นคอมต่อ (หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราไม่ตกใจหรืออะไรเลยหรอ ณ จุดๆ นั้นด้วยความที่เป็นเด็กเราบอกตรงๆ ว่า งง มากกว่าตกใจ บวกกับเป็นคนไม่กลัวด้วยแล้ว) ณ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวเราไปแล้วไม่มีคนเชื่อ แต่ภายหลังเราเล่าให้คนที่บ้านฟัง ทั้ง พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ พ่อ แม่ ป้าและน้า ทุกคนลงความเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นตรงกับปู่เจ้าของบ้านก่อนที่แม่จะซื้อต่อบ้านมา แต่แม่ก็แย้งว่าปู่จะมาได้ไงในเมื่อปู่ไม่ได้เสียที่บ้านหลังนี้ บางทีเราคิดว่าปู่อาจจะคิดถึงบ้านเลยแวะกลับมาดูละมั้ง
เหตุการณ์ที่ 4 ซออู้ยันต์แดง...เหตุการณ์นี้ขอเปลี่ยนที่เจอบ้าง เราโตขึ้นมาอีกหน่อย จำได้ว่าเรียนอยู่ ป.5 เรามีกลุ่มเพื่อนกลุ่มนึง เป็นกลุ่มที่เล่นดนตรีไทยทั้งกลุ่มยกเว้นเรา เพื่อนก็ชอบมาเล่าว่า ชอบได้ยินเสียงซออู้ในห้องดนตรีไทยตอนเช้าๆ แล้วเป็นที่รู้กันว่า ในห้องดนตรีไทยนั้นมีซออู้อยู่คันที่มียันต์แดงแปะไว้ เราเป็นคนที่ไปโรงเรียนเช้ามากอยู่แล้วถึงโรงเรียนก่อน 7 โมง ก็เลยขอทดสอบสักหน่อย เราเดินผ่านหน้าห้องดนตรีไทย เราจำได้ดีว่าประตูห้องดนตรีไทยเป็นประตูเหล็กแบบเลื่อนขึ้นลง ตอนเราไปประตูมันแง้มจากพื้นขึ้นมาหน่อย เห้ย!! มันจริง คือมีเสียงซออู้ดังมาจริงๆ และมันมีสิ่งที่ตามมากับเสียงซอด้วยคือกลิ่นธูปแล้วก็กลิ่นน้ำอบ คือมันอบอวลลอยออกมากจากห้องดนตรีไทย จำได้ว่าจู่ๆอุณหภูมิในร่างการเราตอนนั้นลดฮวบมาก คือมันเย็นมาก เรารีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย เราเล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง แต่แทนที่ทุกคนจะกลัว ทุกคนต่างลงความเห็นว่าของอย่างนี้ต้องพิสูจน์ พักกลางวันวันนั้นเลย เราทั้งหมด 5 คน ไปที่ห้องดนตรีไทยซึ่งตอนนั้นไม่มีครูอยู่ เราเอาซออู้ยันต์แดงอันนั้นมาวางแล้วนั่งล้อมวงกัน เพื่อนคนนึงขอแทนว่าวี วีก็พูดขึ้นเลย ถ้ามีจริงอ่ะ แสดงให้ดูหน่อยสิ พอวีพูดจบเพื่อนอีกคนที่ชื่อบีก็พูดขึ้นมา เป็นพ่อแก่ภาษาอะไรว่ะหลอกเด็ก พอสิ้นเสียงบีเท่านั้นแหละ มีเสียงซอครูดกัน ฟรี๊บบ… ดังมากด้วยความตกใจวงแตกค่ะ ทุกคนวิ่งไม่คิดชีวิต แต่วิญญาณที่ว่าน่ากลัวแล้ว มนุษย์ครูมักน่ากลัวกว่า พวกเราเลยต้องจำใจกลับไปที่ห้องดนตรีไทยเพื่อเอาซอเก็บ แล้วขอขมาต่อพ่อแก่เป็นการใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เป็นคนกลัวห้องดนตรีไทยเป็นพิเศษ
เหตุการณ์ที่ 5อย่าลบหลู่… เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ติดตาเรามากที่สุด เพราะเป็นเหตุการณ์เดียวในชีวิตที่วิญญาณมาให้เห็นในสภาพที่ไม่น่าพิสมัยนัก เหตุการณ์นี้ยังคงอยู่ในโรงเรียน เราเรียนโรงเรียนประถมประจำจังหวัด (โรงเรียนทุกโรงเรียนคงมีเรื่องเล่าและเหตุการณ์อยู่ทุกโรงเรียน) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องน้ำหญิงของตึกที่เราเรียนอยู่ กลุ่มเราเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างชอบความท้าทาย เราเลยตกลงกันว่าเราจะพิสูจน์กันในห้องน้ำหญิงนี่แหละ เราก็เดินกันเข้าไป ห้องน้ำของตึกนี้ค่อนข้างเก่า เพื่อนคนเดิมคือวิ ก็พูดขึ้นมาอีก ไหนๆ ผีอ่ะออกมาให้เห็นหน่อย เราเดินวนไปวนมาในห้องน้ำ อยู่สักพักก็คิดว่าในนี้คงไม่มีเลยตัดสินใจที่จะออกกัน เราเดินออกเป็นคนสุดท้าย และก็เป็นอีกครั้งที่สัญชาตญาณของเราทำงาน ในขณะที่เราเดินผ่านห้องน้ำห้องที่ 3 ซึ่งประตูเป็นประตูไม้ ประตูห้องนี้มันพังคือไม้ตรงกลางมันแหว่งไป เรารู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง เราเลยหันไปดู เราเจอเหมือนวิญญาณแบบในหนังเลย ผู้หญิง ผมยาว ตาสีขาว สวมเสื้อสีขาวยืนจ้องมาที่เรา สีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ เราใช้เวลาในการตั้งสติแล้วก็วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต และตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าเราจะไม่มีวันลองของอีก!!
เหตุการณ์ที่ 6 เตียงโบราณ… เหตุการณ์นี้เรากลับมาที่บ้านกันค่ะ เกิดขึ้นตอน ป.6 พ่อกับแม่เห็นว่าเราโตแล้ว ควรจะแยกนอนกับพี่ซีได้สักที เลยเคลียห้องเก็บของให้ เป็นห้องขนาดเล็กๆ พร้อมเตียงโบราณเตียงนึง และเตียงโบราณเนี่ยแหละก็จัดหนักกันตั้งแต่คืนแรกเลย เราจะย้ำเสมอว่าเราเป็นคนไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้หรืออาจจะเห็นจนชิน แต่กับเตียงโบราณขอบอกเลยว่าครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่จะนอนเตียงนี้ เข้าเรื่องต่อนะคะเนื่องจากมันเป็นคืนแรกที่ได้มีห้องนอนใหม่ นอนคนเดียวเป็นครั้งแรก และเปลี่ยนเตียงนอน เราเลยรู้สึกตื่นเต้นบวกกับอึดอัด เคยไหมเวลาเปลี่ยนที่นอนแล้วรู้สึกนอนไม่หลับ แต่ความอึดอัดนี้มันประหลาด มันรู้สึกมากกว่านั้น รู้สึกเหมือนไม่อยากนอนอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เราก็พยายามฝืนหลับตาลง จำได้ว่าบรรยากาศมันเงียบมาก และรู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ในห้อง เราไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดูได้แต่ข่มตา แล้วก็มีเสียง แฟร๊บ แฟร๊บ!! เหมือนคนเลียริมฝีปากตัวเอง เรากลัวมากถึงขั้นนอนคลุมโปงเลยทีเดียว แต่สักพักก็มีเสียง จุ๊ จุ๊ มันไม่ใช่เสียงจิ้งจกแน่ๆ เราแยกออกว่าอะไรคือเสียงสัตว์กับเสียงคนทำ แล้วเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า วิญญาณชั่วร้ายนั้นกลัวคำสาปแช่ง เราเลยนึกในใจว่า ถ้าตามมาหลอกหลอนอีกจะแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด เชื่อไหมบรรยากาศรอบตัวมันดูดีขึ้นจริงๆ สภาพแวดล้อมกดดันเมื่อกี้หายไป พอตอนเช้าเราเลยเล่าให้แม่ฟังแล้วบอกว่า จะไม่มีวันนอนเตียงนี้อีก ถ้าจะให้นอนในห้องก็ขอเปลี่ยนเตียง!!
เหตุการณ์ที่ 7เสียงวี๊ดในห้องนอน…จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแน่นอนค่ะพ่อ แม่ เราเปลี่ยนเตียงให้ แล้วเราก็ใช้ชีวิตสงบมา มีเห็นบ้างวับๆ แวมๆ แต่ไม่น่าตกใจเท่าไหร่ จนกระทั้งเกิดเรื่องอีกครั้งในห้องนอนตอน ม.4 คืนนั้นเราก็นอนหลับของเราอยู่ปกติ ก็ตื่นมากลางดึกเพราะ ตู้เสื้อผ้าสั่น ตอนแรกเราคิดว่าห้องเราคงหนูเข้ารึป่าว เลยลุกไปเปิดไฟแล้วสำรวจดู แต่เปล่าเลยมันไม่มีอะไร เราเลยปิดไฟแล้วมานอนต่อ สักพักตู้ก็สั่นอีก เราเลยตะโกนเรียกพ่อ (ตอนนั้นเปิดประตูห้องนอน) พ่อก็เข้ามาสำรวจเพราะคิดว่ามีหนูเหมือนกัน แต่ก็หาไม่เจอ คราวนี้เราเลยตั้งใจว่าจะสั่นก็สั่นคงง่วงจะนอนแล้ว เราก็เคลิ้มหลับไป แต่คราวนี้แล้วถึงขั้นผวาตื่นเพราะมันมีเสียงดัง วี๊ดดด มันไม่ได้เป็นเสียงกรี๊ด แต่มันเหมือนเสียงอะไรสักอย่างที่แหลมมาก แหลมจนที่เราคิดว่าหูของเราแทบพัง เสียงมันไม่ได้มาจากนอกห้องนอน แต่มันเหมือนดังอยู่ในห้องกังวานไปทั่ว เสียงดังราวนาทีก่อนจะเงียบไป (ถ้าสงสัยเสียงเป็นยังไงลองเปิดห้าแพร่ง ตอนหลาวชะโอนดู แต่เสียงมันแหลมและกังวาลกว่านั้นเยอะ) เราง่วงมากตอนนั้นเลยไม่ได้คิดอะไรแล้วนอนต่อ พอตอนเช้าเราเลยเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าคงเป็นเสียงเปรตมาขอส่วนบุญ เราเลยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แล้วภาวนาว่าจะไม่ได้ยินเสียงแบบนั้นอีก!! เราขอข้ามมาเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่เราจะเล่า และเป็นเรื่องราวที่เราจะไม่มีวันลืม เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนที่เอ่ยเสมอว่าไม่กลัวอย่าเราหลั่งน้ำตา และไม่ไหวแล้ว
วิญญาณอยู่รอบตัวเรา!!
เราเป็นคนที่ได้ยินเสียงสวดมนต์จะมีอาการหายใจไม่ออกและไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอน เพราะเมื่อไหร่ที่สวดวิญญาณจะมาเต็มในฝันเลยค่ะ เราเกิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในจังหวัดเล็กของภาคกลาง บ้านอยู่ตรงโครงการชลประทาน ในสมัยก่อนมีเรือสินค้าผ่านไปผ่านมา วันหนึ่งเกิดเหตุเรือล่ม มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก โดยทุกศพจากเหตุการณ์นั้นได้ทำการขนย้ายผ่านแพท่าของบ้านเรา ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าตรงที่บ้านเราเป็นทางผีผ่าน และบ้านเราก็ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนแล้วดุที่คนแถวนั้นรู้กันดี บ้านเราก่อนสร้างใหม่นั้นเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ คือมีชั้นบนเป็นไม้และข้างล่างเป็นปูน ซึ่งข้างล่างจะเป็นที่เก็บของอุปกรณ์โต๊ะจีน (บ้านเรารับจัดโต๊ะจีน)
เหตุการณ์ที่ 1 จุดเริ่มต้น...เราใช้ชีวิตปกติเรื่อยมาจนกระทั่งวันเริ่มต้นของการเห็นวิญญาณก็เริ่มขึ้น น่าจะราวๆชั้น ป.1 เราลงบันไดจากบ้านเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างล่าง เราก็เจอโครงกระดูก เป็นโครงกระดูกจริงๆ นั่งอยู่บนลังอุปกรณ์หน้าห้องน้ำ เรามองแบบนั้นอยู่เป็นนาทีเพื่อความแน่ใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบนบ้านเพื่อเรียกแม่ แต่พอหันกลับไปอีกทีโครงกระดูกนั้นก็หายไปแล้ว ด้วยความที่เป็นคนไม่กลัววิญญาณและคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดเราก็เลยเดินเข้าห้องน้ำไปปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
เหตุการณ์ที่ 2 เล่นกับใคร...เค้าว่ากันว่าเมื่อคนเราเห็นแล้วก็จะเห็นไปตลอดชีวิต เรามีพี่ชายขอแทนว่าพี่ซี เรากับพี่เราอายุห่างกัน 3 ปี เย็นวันหนึ่งของการกลับมาจากโรงเรียน เรากับพี่ก็วิ่งเล่นกันปกติ แต่กิจกรรมโปรดของเราเลยคือซ่อนหา เรากับพี่ก็เล่นซ่อนหากันโดยที่เราเป็นคนปิดตาและพี่ซีเป็นคนแอบ เมื่อเราเปิดตาออกมาเราก็เริ่มภารกิจตามหาพี่ซี แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไม่ว่าจะบนบ้าน ในสวน เราเลยตัดสินใจเดินไปถามแม่ว่าเห็นพี่ซีบ้างไหม เพราะเราหามานานมากแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่ได้รับคำตอบมาจากแม่คือ พี่ซีอยู่ที่เรียนพิเศษยังไม่ได้กลับบ้าน เราตกใจมากแล้วเล่าให้แม่ฟังว่า เมื่อกี้ยังเล่นกับพี่ซีอยู่เลย แต่แม่ก็หาว่าเราคิดไปเอง และเมื่อถึงเวลาพ่อก็ไปรับพี่ซี เราสับสนมาก เราแน่ใจจริงๆว่าเมื่อกี้เราเล่นกับพี่ซีแน่ๆ แต่เราก็ได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจจนถึงทุกวันนี้ ว่าวันนั้นเราเล่นกับใคร??
เหตุการณ์ที่ 3 ปู่กลับบ้าน...เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านเราอีกเช่นเคย บ้านเรานั้นอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ พี่ซี และก็เรา บ้านของเราจะมีห้องคอมที่เป็นห้องกระจกอยู่บนบ้าน คอมในยุคนั้นเป็นคอม PC ตั้งกับโต๊ะ เรานั่งเล่นคอมอยู่ที่โต๊ะก็มีความรู้สึกว่ามีคนอยู่หน้าประตู หลายๆคนคงเคยเป็นที่มีความรู้สึกว่ามีสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่ตรงที่เราไม่ได้มอง เราเลยหันไปดูก็เจอผู้ชายสูงอายุคนนึง ตัดผมคนสมัยโบราณทรงมหาดไทยสวมเสื้อสีขาวนุ่งโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าพาดที่บ่าด้านซ้าย มือขวาใช้ไม้เท่าคล้ำเดินผ่านหน้าห้องไป แล้วเราก็หันกลับมาเล่นคอมต่อ (หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราไม่ตกใจหรืออะไรเลยหรอ ณ จุดๆ นั้นด้วยความที่เป็นเด็กเราบอกตรงๆ ว่า งง มากกว่าตกใจ บวกกับเป็นคนไม่กลัวด้วยแล้ว) ณ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวเราไปแล้วไม่มีคนเชื่อ แต่ภายหลังเราเล่าให้คนที่บ้านฟัง ทั้ง พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ พ่อ แม่ ป้าและน้า ทุกคนลงความเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นตรงกับปู่เจ้าของบ้านก่อนที่แม่จะซื้อต่อบ้านมา แต่แม่ก็แย้งว่าปู่จะมาได้ไงในเมื่อปู่ไม่ได้เสียที่บ้านหลังนี้ บางทีเราคิดว่าปู่อาจจะคิดถึงบ้านเลยแวะกลับมาดูละมั้ง
เหตุการณ์ที่ 4 ซออู้ยันต์แดง...เหตุการณ์นี้ขอเปลี่ยนที่เจอบ้าง เราโตขึ้นมาอีกหน่อย จำได้ว่าเรียนอยู่ ป.5 เรามีกลุ่มเพื่อนกลุ่มนึง เป็นกลุ่มที่เล่นดนตรีไทยทั้งกลุ่มยกเว้นเรา เพื่อนก็ชอบมาเล่าว่า ชอบได้ยินเสียงซออู้ในห้องดนตรีไทยตอนเช้าๆ แล้วเป็นที่รู้กันว่า ในห้องดนตรีไทยนั้นมีซออู้อยู่คันที่มียันต์แดงแปะไว้ เราเป็นคนที่ไปโรงเรียนเช้ามากอยู่แล้วถึงโรงเรียนก่อน 7 โมง ก็เลยขอทดสอบสักหน่อย เราเดินผ่านหน้าห้องดนตรีไทย เราจำได้ดีว่าประตูห้องดนตรีไทยเป็นประตูเหล็กแบบเลื่อนขึ้นลง ตอนเราไปประตูมันแง้มจากพื้นขึ้นมาหน่อย เห้ย!! มันจริง คือมีเสียงซออู้ดังมาจริงๆ และมันมีสิ่งที่ตามมากับเสียงซอด้วยคือกลิ่นธูปแล้วก็กลิ่นน้ำอบ คือมันอบอวลลอยออกมากจากห้องดนตรีไทย จำได้ว่าจู่ๆอุณหภูมิในร่างการเราตอนนั้นลดฮวบมาก คือมันเย็นมาก เรารีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นเลย เราเล่าให้เพื่อนในกลุ่มฟัง แต่แทนที่ทุกคนจะกลัว ทุกคนต่างลงความเห็นว่าของอย่างนี้ต้องพิสูจน์ พักกลางวันวันนั้นเลย เราทั้งหมด 5 คน ไปที่ห้องดนตรีไทยซึ่งตอนนั้นไม่มีครูอยู่ เราเอาซออู้ยันต์แดงอันนั้นมาวางแล้วนั่งล้อมวงกัน เพื่อนคนนึงขอแทนว่าวี วีก็พูดขึ้นเลย ถ้ามีจริงอ่ะ แสดงให้ดูหน่อยสิ พอวีพูดจบเพื่อนอีกคนที่ชื่อบีก็พูดขึ้นมา เป็นพ่อแก่ภาษาอะไรว่ะหลอกเด็ก พอสิ้นเสียงบีเท่านั้นแหละ มีเสียงซอครูดกัน ฟรี๊บบ… ดังมากด้วยความตกใจวงแตกค่ะ ทุกคนวิ่งไม่คิดชีวิต แต่วิญญาณที่ว่าน่ากลัวแล้ว มนุษย์ครูมักน่ากลัวกว่า พวกเราเลยต้องจำใจกลับไปที่ห้องดนตรีไทยเพื่อเอาซอเก็บ แล้วขอขมาต่อพ่อแก่เป็นการใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เป็นคนกลัวห้องดนตรีไทยเป็นพิเศษ
เหตุการณ์ที่ 5อย่าลบหลู่… เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ติดตาเรามากที่สุด เพราะเป็นเหตุการณ์เดียวในชีวิตที่วิญญาณมาให้เห็นในสภาพที่ไม่น่าพิสมัยนัก เหตุการณ์นี้ยังคงอยู่ในโรงเรียน เราเรียนโรงเรียนประถมประจำจังหวัด (โรงเรียนทุกโรงเรียนคงมีเรื่องเล่าและเหตุการณ์อยู่ทุกโรงเรียน) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องน้ำหญิงของตึกที่เราเรียนอยู่ กลุ่มเราเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างชอบความท้าทาย เราเลยตกลงกันว่าเราจะพิสูจน์กันในห้องน้ำหญิงนี่แหละ เราก็เดินกันเข้าไป ห้องน้ำของตึกนี้ค่อนข้างเก่า เพื่อนคนเดิมคือวิ ก็พูดขึ้นมาอีก ไหนๆ ผีอ่ะออกมาให้เห็นหน่อย เราเดินวนไปวนมาในห้องน้ำ อยู่สักพักก็คิดว่าในนี้คงไม่มีเลยตัดสินใจที่จะออกกัน เราเดินออกเป็นคนสุดท้าย และก็เป็นอีกครั้งที่สัญชาตญาณของเราทำงาน ในขณะที่เราเดินผ่านห้องน้ำห้องที่ 3 ซึ่งประตูเป็นประตูไม้ ประตูห้องนี้มันพังคือไม้ตรงกลางมันแหว่งไป เรารู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง เราเลยหันไปดู เราเจอเหมือนวิญญาณแบบในหนังเลย ผู้หญิง ผมยาว ตาสีขาว สวมเสื้อสีขาวยืนจ้องมาที่เรา สีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ เราใช้เวลาในการตั้งสติแล้วก็วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต และตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าเราจะไม่มีวันลองของอีก!!
เหตุการณ์ที่ 6 เตียงโบราณ… เหตุการณ์นี้เรากลับมาที่บ้านกันค่ะ เกิดขึ้นตอน ป.6 พ่อกับแม่เห็นว่าเราโตแล้ว ควรจะแยกนอนกับพี่ซีได้สักที เลยเคลียห้องเก็บของให้ เป็นห้องขนาดเล็กๆ พร้อมเตียงโบราณเตียงนึง และเตียงโบราณเนี่ยแหละก็จัดหนักกันตั้งแต่คืนแรกเลย เราจะย้ำเสมอว่าเราเป็นคนไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้หรืออาจจะเห็นจนชิน แต่กับเตียงโบราณขอบอกเลยว่าครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่จะนอนเตียงนี้ เข้าเรื่องต่อนะคะเนื่องจากมันเป็นคืนแรกที่ได้มีห้องนอนใหม่ นอนคนเดียวเป็นครั้งแรก และเปลี่ยนเตียงนอน เราเลยรู้สึกตื่นเต้นบวกกับอึดอัด เคยไหมเวลาเปลี่ยนที่นอนแล้วรู้สึกนอนไม่หลับ แต่ความอึดอัดนี้มันประหลาด มันรู้สึกมากกว่านั้น รู้สึกเหมือนไม่อยากนอนอยู่ตรงนี้แล้ว แต่เราก็พยายามฝืนหลับตาลง จำได้ว่าบรรยากาศมันเงียบมาก และรู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ในห้อง เราไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดูได้แต่ข่มตา แล้วก็มีเสียง แฟร๊บ แฟร๊บ!! เหมือนคนเลียริมฝีปากตัวเอง เรากลัวมากถึงขั้นนอนคลุมโปงเลยทีเดียว แต่สักพักก็มีเสียง จุ๊ จุ๊ มันไม่ใช่เสียงจิ้งจกแน่ๆ เราแยกออกว่าอะไรคือเสียงสัตว์กับเสียงคนทำ แล้วเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า วิญญาณชั่วร้ายนั้นกลัวคำสาปแช่ง เราเลยนึกในใจว่า ถ้าตามมาหลอกหลอนอีกจะแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด เชื่อไหมบรรยากาศรอบตัวมันดูดีขึ้นจริงๆ สภาพแวดล้อมกดดันเมื่อกี้หายไป พอตอนเช้าเราเลยเล่าให้แม่ฟังแล้วบอกว่า จะไม่มีวันนอนเตียงนี้อีก ถ้าจะให้นอนในห้องก็ขอเปลี่ยนเตียง!!
เหตุการณ์ที่ 7เสียงวี๊ดในห้องนอน…จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแน่นอนค่ะพ่อ แม่ เราเปลี่ยนเตียงให้ แล้วเราก็ใช้ชีวิตสงบมา มีเห็นบ้างวับๆ แวมๆ แต่ไม่น่าตกใจเท่าไหร่ จนกระทั้งเกิดเรื่องอีกครั้งในห้องนอนตอน ม.4 คืนนั้นเราก็นอนหลับของเราอยู่ปกติ ก็ตื่นมากลางดึกเพราะ ตู้เสื้อผ้าสั่น ตอนแรกเราคิดว่าห้องเราคงหนูเข้ารึป่าว เลยลุกไปเปิดไฟแล้วสำรวจดู แต่เปล่าเลยมันไม่มีอะไร เราเลยปิดไฟแล้วมานอนต่อ สักพักตู้ก็สั่นอีก เราเลยตะโกนเรียกพ่อ (ตอนนั้นเปิดประตูห้องนอน) พ่อก็เข้ามาสำรวจเพราะคิดว่ามีหนูเหมือนกัน แต่ก็หาไม่เจอ คราวนี้เราเลยตั้งใจว่าจะสั่นก็สั่นคงง่วงจะนอนแล้ว เราก็เคลิ้มหลับไป แต่คราวนี้แล้วถึงขั้นผวาตื่นเพราะมันมีเสียงดัง วี๊ดดด มันไม่ได้เป็นเสียงกรี๊ด แต่มันเหมือนเสียงอะไรสักอย่างที่แหลมมาก แหลมจนที่เราคิดว่าหูของเราแทบพัง เสียงมันไม่ได้มาจากนอกห้องนอน แต่มันเหมือนดังอยู่ในห้องกังวานไปทั่ว เสียงดังราวนาทีก่อนจะเงียบไป (ถ้าสงสัยเสียงเป็นยังไงลองเปิดห้าแพร่ง ตอนหลาวชะโอนดู แต่เสียงมันแหลมและกังวาลกว่านั้นเยอะ) เราง่วงมากตอนนั้นเลยไม่ได้คิดอะไรแล้วนอนต่อ พอตอนเช้าเราเลยเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าคงเป็นเสียงเปรตมาขอส่วนบุญ เราเลยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แล้วภาวนาว่าจะไม่ได้ยินเสียงแบบนั้นอีก!! เราขอข้ามมาเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายที่เราจะเล่า และเป็นเรื่องราวที่เราจะไม่มีวันลืม เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนที่เอ่ยเสมอว่าไม่กลัวอย่าเราหลั่งน้ำตา และไม่ไหวแล้ว