ผมเป็นอดีตนักโทษ ม.112 อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ 2 ปี 8 เดือนเต็มจึงอยากเล่าประสบการณ์ตรงของผมให้ฟัง
รจ.พิเศษกรุงเทพ แม้ไม่ใช่เรือนจำที่คุมขังผู้ต้องขังคดียาเสพติด แต่ก็มักมีผู้ต้องขัง "ขับเสพ" หรือก็คือผู้ต้องขังที่ถูกตำรวจตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วงเข้าเรือนจำแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
ผู้ต้องขังเหล่านี้ตรวจไม่พบยาบ้าติดตัวจึงไม่ต้องส่งไปยังสถานบําบัดพิเศษกลาง ซึ่งเป็นเรือนจำสำหรับผู้ต้องขังยาเสพติดโดยเฉพาะ ทีมีความโหดร้าย และสกปรกกว่า รจ.พิเศษกรุงเทพ เป็นอย่างมาก
ผู้ต้องขังขับเสพมักถูกจับขณะขับรถยนต์ บางคนก็เป็นรถมอเตอร์ไซด์ รถเก๋งส่วนตัว หนักหน่อยก็เป็นรถแท็กซี่ ไปจนถึงรถบรรทุก 10 ล้อ
สำหรับพวกที่ขับรถแท็กซี่หรือรถตู้โดยสารเคยเล่าให้ผมฟังว่า ที่พวกเขาจำเป็นต้องเสพยาบ้าเพราะจะทำให้พวกเขาสามารถขับรถต่อเนื่องได้หลายชั่วโมงโดยไม่ต้องนอนพัก เรียกเป็นภาษาแท็กซี่ก็คือ "ควงกะ" นั่นเอง
ส่วนพวกที่ขับรถบรรทุกยิ่งน่ากลัวกว่า พวกเขาจำเป็นต้องเสพเพราะต้องขับรถเป็นระยะทางยาว โดยเฉพาะสายภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จำเป็นต้องส่งสินค้าให้ทันเวลา
เหล่านี้บ่งบอกว่า หลายคนเลือกเสพยาบ้าเพราะความจำเป็นในอาชีพ พวกเขาไม่คิดถึงผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขา หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่อาจคร่าชีวิตของผู้คนบนท้องถนนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
ดังนั้นการที่รัฐบาลคิดจะถอดบัญชียาบ้าออกจากยาเสพติด โดยหวังเพียงว่า การผลิตอย่างยาบ้าถูกกฎหมายโดยรัฐบาล จะช่วยตัดวงจรการค้าจนทำให้ธุรกิจค้ายาบ้าล่มสลายเป็นเพียงความคิดที่ติ้นเขินยิ่งนัก
รัฐบาลคิดเพียงว่า หากยาบ้าราคาตกต่ำจะทำให้ผู้ค้าเลิกค้า และจะทำให้ผู้เสพเลิกเสพไปเองนั้น อยากถามว่า แล้วรัฐบาลจะจำหน่ายยาบ้าอย่างถูกกฎหมายอย่างไร ?
หากมีข้อกำหนดที่หยุมหยิม สุดท้ายผู้ที่มีความต้องการยาบ้าก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ และจะกลายเป็นรัฐบาลเป็น "ผู้ผลิต" ส่งให้กับ "ผู้ค้า" ไปจำหน่ายให้กับ "ลูกค้า" เสียเอง กลายเป็นว่า ช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ค้าที่ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการขนส่งจากต่างประเทศ
และไม่ใช่การกำหนดเงื่อนไขแบบเดียวกับบุหรี่ หรือเหล้า ที่กำหนดอายุ, การโฆษณา หรือเวลาจำหน่าย เพราะนั่นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะผู้เสพหลายรายเป็นผู้ขับขี่ยานพานะที่ต้องรับผิดชอบผู้คนที่ใช้ถนนร่วมกัน
ทำไมยาบ้าต้องเป็นยาเสพติด
รจ.พิเศษกรุงเทพ แม้ไม่ใช่เรือนจำที่คุมขังผู้ต้องขังคดียาเสพติด แต่ก็มักมีผู้ต้องขัง "ขับเสพ" หรือก็คือผู้ต้องขังที่ถูกตำรวจตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วงเข้าเรือนจำแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
ผู้ต้องขังเหล่านี้ตรวจไม่พบยาบ้าติดตัวจึงไม่ต้องส่งไปยังสถานบําบัดพิเศษกลาง ซึ่งเป็นเรือนจำสำหรับผู้ต้องขังยาเสพติดโดยเฉพาะ ทีมีความโหดร้าย และสกปรกกว่า รจ.พิเศษกรุงเทพ เป็นอย่างมาก
ผู้ต้องขังขับเสพมักถูกจับขณะขับรถยนต์ บางคนก็เป็นรถมอเตอร์ไซด์ รถเก๋งส่วนตัว หนักหน่อยก็เป็นรถแท็กซี่ ไปจนถึงรถบรรทุก 10 ล้อ
สำหรับพวกที่ขับรถแท็กซี่หรือรถตู้โดยสารเคยเล่าให้ผมฟังว่า ที่พวกเขาจำเป็นต้องเสพยาบ้าเพราะจะทำให้พวกเขาสามารถขับรถต่อเนื่องได้หลายชั่วโมงโดยไม่ต้องนอนพัก เรียกเป็นภาษาแท็กซี่ก็คือ "ควงกะ" นั่นเอง
ส่วนพวกที่ขับรถบรรทุกยิ่งน่ากลัวกว่า พวกเขาจำเป็นต้องเสพเพราะต้องขับรถเป็นระยะทางยาว โดยเฉพาะสายภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จำเป็นต้องส่งสินค้าให้ทันเวลา
เหล่านี้บ่งบอกว่า หลายคนเลือกเสพยาบ้าเพราะความจำเป็นในอาชีพ พวกเขาไม่คิดถึงผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขา หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่อาจคร่าชีวิตของผู้คนบนท้องถนนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
ดังนั้นการที่รัฐบาลคิดจะถอดบัญชียาบ้าออกจากยาเสพติด โดยหวังเพียงว่า การผลิตอย่างยาบ้าถูกกฎหมายโดยรัฐบาล จะช่วยตัดวงจรการค้าจนทำให้ธุรกิจค้ายาบ้าล่มสลายเป็นเพียงความคิดที่ติ้นเขินยิ่งนัก
รัฐบาลคิดเพียงว่า หากยาบ้าราคาตกต่ำจะทำให้ผู้ค้าเลิกค้า และจะทำให้ผู้เสพเลิกเสพไปเองนั้น อยากถามว่า แล้วรัฐบาลจะจำหน่ายยาบ้าอย่างถูกกฎหมายอย่างไร ?
หากมีข้อกำหนดที่หยุมหยิม สุดท้ายผู้ที่มีความต้องการยาบ้าก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ และจะกลายเป็นรัฐบาลเป็น "ผู้ผลิต" ส่งให้กับ "ผู้ค้า" ไปจำหน่ายให้กับ "ลูกค้า" เสียเอง กลายเป็นว่า ช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ค้าที่ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการขนส่งจากต่างประเทศ
และไม่ใช่การกำหนดเงื่อนไขแบบเดียวกับบุหรี่ หรือเหล้า ที่กำหนดอายุ, การโฆษณา หรือเวลาจำหน่าย เพราะนั่นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะผู้เสพหลายรายเป็นผู้ขับขี่ยานพานะที่ต้องรับผิดชอบผู้คนที่ใช้ถนนร่วมกัน