ปู จิตกร บุษบา · จับกะล่อน...แถลงการณ์ธรรมกาย ซึ่งแถลงโดย...องอาจ ธรรมนิทา

กระทู้สนทนา
ความน่าสนใจของบทความนี้ อยู่ที่มุมมองจากสายตาคนที่ไม่ได้เป็นสาวกหรือยุวชนธรรมกาย   
คุณปู  จิตกร บุษบา เขียนได้น่าสนใจ ลองรับข้อมูลสองด้านมาเปรียบเทียบกันครับ
จากเฟสบุค คุณปู จิตกร เมื่อ 7 ชม ที่ผ่านมานี้เองครับ

จับกะล่อน...แถลงการณ์ธรรมกาย
ซึ่งแถลงโดย...องอาจ ธรรมนิทา (ตอนที่ 1)
✰✩✫✰✩✫✰✩✫✰✩✫
.
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า ได้มีการแถลงข่าวล่าสุดจากวัดพระธรรมกาย โดยนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ กรณีที่มีข่าวประเด็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โอนมายังวัดพระธรรมกายเพิ่มอีก 400ล้านบาท ถ่ายทอดสด ณ สตูดิโอสถานีวิทยุโทรทัศน์ DMC วัดพระธรรมกาย
..
โดยนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวเป็น 8 ประเด็น
..
1.ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกันระหว่างสหกรณ์คลองจั่น ดีเอสไอและทาง วัดพระธรรมกาย พบว่านายศุภชัย ศรีศุภอักษรได้สั่งจ่ายเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มาบริจาคให้กับพระเทพญาณมหามุนี จำนวน 10 ฉบับ รวมยอดเงิน 387,160,000 บาท และบริจาคให้กับ วัดพระธรรมกาย จำนวน 11 ฉบับ รวมยอดเงิน 668,400,000 บาท ยอดรวมเงินทั้ง 2 ส่วนเท่ากับ 1,055,560,000 บาท
..
2. ทางคณะศิษย์ได้ช่วยกันตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแก่สหกรณ์คลองจั่น เต็มจำนวน 1,055,560,000 บาท ทางสหกรณ์จึงได้มีหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายและ ทำหนังสือแจ้งไปยังดีเอสไอให้ทราบว่า สหกรณ์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีอีกต่อไป
..
3. ยอดเงิน 400 ล้านบาทที่เป็นข่าวนั้น หากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า เป็นการนำเงินจากสหกรณ์โดยผิดกฎหมายมาบริจาคจริง ทางคณะศิษยานุศิษย์ก็จะประชุมหารือกันเพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยาแก่สมาชิกต่อไป
..
4. สหกรณ์คลองจั่นได้ฟ้องคดีแพ่งกับผู้ที่รับเช็คจากสหกรณ์คลองจั่นไปทั้งหมด 32 ราย รวมยอดเงิน 13,000 ล้านบาท ซึ่งมีเพียงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเท่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเยียวยา แก่ทางสหกรณ์จนครบจำนวน บุคคลอื่นๆอีก 30 รายไม่มีใครเยียวยาแก่สหกรณ์เลยแม้แต่บาทเดียว ?
..
5. ทำไมดีเอสไอจึงระดมสรรพกำลังนับพันนายเพื่อดำเนินคดีแต่กับพระเทพญาณมหามุนี ซึ่งทำความดีมาทั้งชีวิต ทั้งสร้างพระ สร้างวัด เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก อีกทั้งคณะศิษย์ ได้ช่วยเหลือเยียวยาไปหมดแล้ว การกระทำของดีเอสไอจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทางสมาชิกสหกรณ์แม้แต่บาทเดียว ทำไมดีเอสไอไม่ไปทุ่มเทกำลังตามหาเงินที่เหลืออีก 13,000 ล้านบาทจากผู้รับเงินรายที่เหลือ ซึ่งยอดเงินมากกว่านับสิบเท่า ควรจะไปดำเนินการตามหาเงินเหล่านั้นดีกว่าหรือไม่?
✰✩✫✰✩✫✰✩✫✰✩✫
ตอบ :: แถลงการณ์ข้างต้น กะล่อนอย่างไร มาดูกัน
.
1) วัดพระธรรมกาย ส่งทั้งพระและฆราวาส มา "เบี่ยงเบน-บิดเบือน" สาระสำคัญของคดีมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ สนิทวงศ์ วุฒิวังโส ก็ได้มาพูดเรื่องที่สหกรณ์ "ไม่ติดใจเอาความ" ไปแล้ว พวกเขามัก "โกหกซ้ำๆ" ไม่รู้ว่าเพื่อจะหลอกตัวเอง หลอกกันเอง หรือหลอกให้สังคมไขว้เขว
.
2) ความจริงก็คือ คดีที่ตัวแทนสหกรณ์ฟ้องทั้งอาญาและแพ่งต่อนายศุภชัย และธัมมชโย ฐานยักยอก ฉ้อโกง ก็เป็นเรื่องระหว่างสหกรณ์กับนายศุภชัย ที่แม้ในที่สุด จะตกลงยอมความกันไป ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคดีที่ดีเอสไอดำเนินการอยู่
.
3) เพราะเมื่อปรากฏความจริงชัดเจนว่า เงินจำนวนหลัก "พันล้าน" ถูกยักยอกแล้วผ่องถ่ายเข้าสู่เครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย มูลนิธิ พระลูกวัด ฯลฯ จึงมีผู้เสียหายอีกชุดหนึ่ง นำโดย นายธรรมนูญ อัตโชติ กับพวก รวม 49 คน กล่าวหา นายศุกชัย ศรีศุภอักษร กับพวกรวม 5 คน // 3 คน (ศุภชัย, น.ส.ศรัณยา มานหมัด และทองพิน กันล้อม) เป็นพวกที่ร่วมกันนำเงินออกมาจากสหกรณ์ // อีก 2 คน คือ ธัมมชโย กับ นางศศิธร โชคประสิทธิ์ (หลบหนีไปต่างประเทศ) ซึ่งมีชื่อสลักหลังเช็คหลายใบของธัมมชโยและของวัด ว่าร่วมกันสมคบฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร เขาจึงสอบสวน ทำสำนวนคดี และขอหมายศาลเพื่อจะจับกุมคนที่หลบหนี และไม่มารับทราบข้อกล่าวหา
.
4) อีกทางหนึ่ง คือข้อมูลของ ป.ป.ง. ที่พบ "เส้นทางการเงินที่ผิดปกติ" ต้องสงสัยว่าจะมีการ "ฟอกเงิน" สององค์ประกอบนี้ จึงนำมาสู่การตั้งกรรมการพิจารณา แล้วในที่สุด คณะกรรมการก็รับเป็น "คดีพิเศษ" แล้วเริ่มดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่ง 3 คน แรก จากฝั่งสหกรณ์ ให้ความร่วมมือด้วยดี มาพบเจ้าหน้าที่ ให้ปากคำ เหลือก็แต่ฝั่งวัดพระธรรมกาย ที่ธัมมชโยขอเลื่อนนัดรับทราบข้อกล่าวหา จนถึงบัดนี้ // ส่วนศศิธร หนีไปอยู่ต่างประเทศ
.
5) ดังนั้นจะเห็นว่า คดีเป็นคนละคดีกัน การ "ยอมความกัน" ในคดีหนึ่ง ย่อมไม่มีผลใดๆ กับอีกคดี ซึ่งเป็น "อาญาแผ่นดิน" ที่ "ยอมความไม่ได้" ถ้าไม่หนังหนาหน้าด้านจนเกินไป ย่อมไม่กล้ากล่าวอ้าง สร้างความสับสน ด้วยการนำสองเรื่องนี้มาพูดปนกัน
.
6) การเขียนแถลงการณ์ด้วยคำว่า "...ทางสหกรณ์จึงได้มีหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายและ ทำหนังสือแจ้งไปยังดีเอสไอให้ทราบว่า สหกรณ์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ติดใจดำเนินคดี ทั้งทางแพ่งและอาญา ต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีอีกต่อไป..." จึงเป็นความ "จงใจ" ที่จะ "บิดเบือน" อย่างชัดเจนว่า สหกรณ์ไม่เอาเรื่องแล้ว ทำไมดีเอสไอยังจะเอาเรื่อง ความจริงก็คือ คนของสหกรณ์ชุดนั้น ไม่ใช่ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีนี้
.
7) มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่า กองทุนที่ลูกศิษย์ตั้งขึ้น เป็นเงินของลูกศิษย์ล้วนๆ ไม่ใช่เงินวัดกับเงินธัมมชโยยัดใส่เข้ามาให้ เพื่อไป "ล้มคดี" ด้วยการ "ยอมความกัน" แน่จริงแจงบัญชีมาสิ ว่าใครบริจาคเข้ามาเท่าไหร่ สังคมจะได้เชื่อว่า เป็นเงินลูกศิษย์ล้วนๆ
.
8) การอ้างว่า "...มีเพียงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเท่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเยียวยา แก่ทางสหกรณ์จนครบจำนวน บุคคลอื่นๆอีก 30 รายไม่มีใครเยียวยาแก่สหกรณ์เลยแม้แต่บาทเดียว ?" ก็เป็นความยิ้มของพวกเธอเอง ทั้งๆ ที่พวกเธอไม่ใช่ "คู่ความในคดี" แต่เพราะพวกเธอ อยากจะ "ช่วยหลวงพ่อ" ของพวกเธอเท่านั้น สิ่งที่เธอทำกันจึงเป็นเรื่อง "นอกกระบวนการยุติธรรม" เพียงแต่ตัวแทนสหกรณ์เขาอยากได้เงิน เอาไปฟื้นฟู เอาไปปันผล เขาก็รับข้อตกลงของ "คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องในคดี" การช่วยนี้ จะมองสวยๆ ว่าเป็น "เมตตาธรรม" ก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ดูยังไงก็เป็นการหาทางลงให้หลวงพ่อของพวกเธอ ไม่อย่างนั้น พวกเธอจะหน้าด้าน เอามาเป็นเรื่อง "ทวงบุญคุณ" และ "ต่อรอง" ไม่ให้เอาผิดหลวงพ่อเธอในอีกคดีหนึ่ง อย่างที่ทำกันอยู่นี่หรือ?
.
9) ก็ไม่ต่างอะไรจากขับรถไปชนคนตาย แล้วยอมจ่ายเงินให้ญาติผู้เสียชีวิต แล้วเขาไม่ติดใจเอาความนั่นแหละ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่ต้องการ "เงิน" ไม่ต้องการ "กระบวนการยุติธรรม" และกฎหมายก็เปิดช่องให้ "ยอมความกัน" ได้ แต่คดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร เป็น "อาญาแผ่นดิน" ที่ "ยอมความไม่ได้"
.
10) คำถามที่ว่า "...ทำไมดีเอสไอจึงระดมสรรพกำลังนับพันนายเพื่อดำเนินคดีแต่กับพระเทพญาณมหามุนี ซึ่งทำความดีมาทั้งชีวิต ทั้งสร้างพระ สร้างวัด เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก.." ก็เป็นเรื่องของเธอ ดีก็ส่วนดี  ยิ้มก็ส่วน ยิ้ม เอ๊ย! ผิดก็ส่วนผิด ถูกก็ส่วนถูก มันหักลบกลบหนี้กันไม่ได้ จะคิดอย่างมักง่ายแบบอาชญากรที่เห็นแก่ตัวอย่างนั้นไม่ได้หรอก การทำดีมาทั้งชีวิต ไม่ได้แปลว่ามีสิทธิ "สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร" นะจ๊ะ วัดไม่ได้สอนเลยหรือ เรื่อง "ศีลธรรม" น่ะ วัดเอาแต่ชวนทำบุญ บริจาคเงินให้วัด จนไม่ได้สอนเลยหรือว่า "บุญ" กับ "บาป" หักลบกลบหนี่กันไม่ได้ หรือเขาสอนเธอว่าทำได้ ถ้าเขาสอนอย่างนั้นก็แล้วล่ะ จริงๆ
.
11) ส่วนที่อ้างว่า "...อีกทั้งคณะศิษย์ ได้ช่วยเหลือเยียวยาไปหมดแล้ว การกระทำของดีเอสไอจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทางสมาชิกสหกรณ์แม้แต่บาทเดียว" ก็ย้ำอีกทีนะว่า คนละคดีกัน หยุดยิ้มเถอะ หยุดโง่เถอะ หยุดแถเถอะ หยุดโป้ปดเถอะ หยุดกะล่อนเถอะ หยุดบิดเบือนเถอะ นี่เป็นเรื่องผิดศีล เดี๋ยวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ที่จองกันไว้นะ จะบอกให้
.
12) ส่วนที่บอกว่า "...ทำไมดีเอสไอไม่ไปทุ่มเทกำลังตามหาเงินที่เหลืออีก 13,000 ล้านบาทจากผู้รับเงินรายที่เหลือ ซึ่งยอดเงินมากกว่านับสิบเท่า ควรจะไปดำเนินการตามหาเงินเหล่านั้นดีกว่าหรือไม่?.." ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ดีเอสไอไม่ใช่บริษัทรับทวงหนี้นะโว้ย เขาเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ทำงานภายใต้กฎหมายคดีพิเศษ และอันที่จริง คดีอื่นๆ ก็ทำกันอยู่ บางคดีฟ้องไปแล้ว บางคดีอยู่ในศาล บางคดีอยู่กับอัยการ หากไม่มัวแต่เพ่งลูกแก้วจนลืมไปแล้วว่ายังอยู่ในโลกมนุษย์ จงรู้ไว้เถอะว่า ข่าวพวกนี้หาจากกูเกิ้ลได้
.
(ยังไม่จบ ยังมีต่อ รออ่านจากกระทู้ที่จะโพสต์ต่อไป)
ตอนที่ 2 .https://www.facebook.com/poojidtakorn/posts/1104176782954119:0
ตอนที่ 3 (ตอนจบ) https://www.facebook.com/poojidtakorn/posts/1104198549618609:0
ยาวหน่อย แต่ชัดเจนดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่