ถามธรรมกาย‘พระกะล่อน’ผิดไหม?
เรื่องง่ายๆ แค่รับทราบข้อกล่าวหา ปฏิเสธ ประกันตัว สู้คดี โดยอาศัย“ความบริสุทธิ์-สุจริต” ที่มี เป็นเกราะ กลับถูก “กระบิดกระบวน” ทำให้เป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยที่แต่ละเรื่องที่ศิษย์วัดพระธรรมกาย ไม่ว่าจะในคราบ “พระ” หรือโยม ช่วยกันออกมา “ผลิตให้เป็นข่าว”ถาโถมเข้าใส่การรับรู้ของผู้คนนั้น นับวันก็น่าสะอิดสะเอียดขึ้นเรื่อยๆ
ผมเขียนบทความ จับกะล่อน “องอาจ ธรรมนิทา” ที่ออกมาให้ข้อมูล ทำให้ศิษย์ธรรมกายหลงผิด คิดว่าแพทยสภา รับรองใบรับรองแพทย์ว่าใช้ได้ แสดงว่าหลวงพ่ออาพาธจริง ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งตั้งอนุกรรมการขึ้นสอบ ใช้เวลาอีก 3 เดือน จึงจะรู้ โดยจะดูทั้งเนื้อหาอาการป่วย วิธีตรวจว่าสอดคล้องกับคำรับรองไหม และดูความถูกต้องของเอกสารใบรับรองแพทย์ว่าผ่านขั้นตอนการออกที่ถูกต้องไหม ไปแล้ว ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ ตามมาว่าทำไมองอาจถึงพูดว่า แพทยสภารับรองว่าใบรับรองแพทย์ใช้ได้
วานนี้ (14 มิ.ย.2559) สลับฉาก ส่งพระออกมาเล่นบ้าง โดยพระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ออกมาอ่านแถลงการณ์ท่าทีของวัดพระธรรมกาย กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนคดี ซึ่งขอสรุปหัวข้อที่เขาแถลงและขอตอบเป็นข้อๆ ไปเลยก็แล้วกันว่า
1.กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนแล้วในคดีพิเศษที่ 146/2556 และเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการแล้ว ไม่อาจทำคดีซ้ำซ้อน การกระทำดังกล่าว จึงอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตอบ : สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วย “ความโง่” ที่ต้องได้รับการแก้ไข หรือจะเพราะ “การโกหกจนเป็นสันดาน” ก็ตาม ไม่เป็นเหตุที่จะเอามาอ้างเพื่อจะ “ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” คนที่สุจริต แล้วพบจุดอ่อนดังที่กล่าวมานั้น ยิ่งต้องกระโจนเข้าสู่กระบวนการแล้วเก็บประเด็นนี้ไว้ “ตอบโต้-โต้แย้ง” ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น คดีก็จบ ผู้ต้องหาก็กลายเป็น ผู้บริสุทธิ์” ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ใช่เอาไว้ “ยึกยัก”อยู่นอกกระบวนการ อย่างที่ดีดดิ้นกันอยู่ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ดีเอสไอชี้แจงแล้วบ่อยมาก หากแต่กะโหลกบางคนอาจมีความหนาแน่นมาก จนข้อเท็จจริงใดๆ ไม่สามารถ “ชำแรก”เข้าไปสู่เซลล์สมองเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 19 พฤษภาคม 2559พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร กล่าวถึงกรณีที่ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำหนังสือร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาดีเอสไอ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีเจตนาดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ซ้ำซ้อน พ.ต.ท.ปกรณ์ยืนยันว่า ดีเอสไอยังไม่เคยดำเนินคดีอาญากับพระธัมมชโยมาก่อน กรณีกลุ่มศิษยานุศิษย์นำเงินมาคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ครบถ้วน ทำให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ไม่ติดใจเอาความ ยอมยุติคดีนั้น เป็นคดีแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ดีเอสไอกำลังดำเนินคดีกับพระธัมมชโยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดินไม่สามารถยุติหรือยอมความได้ และมีผู้ร้องตรงกับดีเอสไอถึง 49 คนนำโดยนายธรรมนูญ อัตโชติ โดยมีการกล่าวหา นายศุกชัย ศรีศุภอักษรและพวกรวม 5 คน ร่วมกันสมคบฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น
ตามสำนวนคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา เมื่อ 13 มิ.ย. 2559 สามารถจำแนกผู้ต้องหาในคดีนี้ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วยนายศุภชัย ศรีศุภอักษรผู้ต้องหาที่ 1 น.ส.ศรัณยา มานหมัด ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน กันล้อมผู้ต้องหาที่ 4 ถูกกล่าวหาว่าสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน (พวกนี้เป็นกลุ่มสหกรณ์ฯ นำเงินออกจากต้นทาง มาสู่กระบวนการ “แปรรูป” เป็นบุญและทรัพย์อื่นๆ) กลุ่มที่ 2 พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เป็นผู้ต้องหาที่ 2 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกกล่าวหาว่าสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร (ปรากฏชื่อรับเช็ค สลักหลังเช็ค และทรัพย์อื่นๆ หลังการแปรรูป วกกลับมาหา)
รายละเอียดตรงนี้ช่วยยืนยันว่า โฆษกวัดพระธรรมกาย ไม่ว่าจะโกนหัวหรือมีผม ล้วนกะล่อนบิดเบือนมาตลอดว่า เป็นการมุ่งดำเนินคดีกับธัมมชโยคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
ขณะที่ นายประกิต พิลังกาสา รองประธานกรรมการดำเนินการคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการดำเนินการ/ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ซึ่งเป็นชุดที่ “รับข้อเสนอ”คือ รับเงินกองทุนที่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายระดมมาใช้หนี้สหกรณ์ แล้วไม่ติดใจเอาความ ตามที่วัดพระธรรมกายกล่าวอ้างถึงอยู่เสมอว่า สหกรณ์เขาก็ถอนฟ้องแล้ว ทำไมดีเอสไอยังไม่หยุดทำคดีนี้อีก ก็ได้แถลงข่าวเมื่อ 12 พ.ค.2559 ว่า
“คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ มีจุดยืนและนโยบายที่ชัดเจนในการฟ้องร้องติดตามให้ตัวการผู้กระทำผิด คือ นายศุภชัยกับพวก คืนเงินให้กับสหกรณ์ฯ โดยวิธีการทางแพ่ง ส่วนการดำเนินการเอาผิดทางอาญาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินหรือรับของโจรนั้น จำเป็นต้องมีหลักฐานพยานที่ชัดเจนและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของสหกรณ์ฯ จะดำเนินการได้เอง และเล็งเห็นว่าดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวน ได้ดำเนินการอยู่แล้วตามกระบวนการยุติธรรมและจะเป็นการเหมาะสมกว่า” เห็นหรือยังว่า มันคนละเรื่อง คนละส่วนกันอย่างชัดเจน ยังจะตีมึน “โป้ปด” กันต่ออีกไหม
2.พนักงานสอบสวนได้นำหมายเรียกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน แล้วเผยแพร่ไปยังประชาชน ก่อนส่งให้พระเทพญาณมหามุนี เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน แสดงให้เห็นว่า อาจมีอคติต่อพระเทพญาณมหามุนีและวัดพระธรรมกาย และได้ให้นายมโน เลาหวณิช เข้าร่วมประชุมชี้นำวิธีการจัดการกับพระเทพญาณมหามุนี การกระทำดังกล่าวทำให้ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายขาดความไว้วางใจในการทำงานของพนักงานสอบสวนชุดนี้
ตอบ : หลังถูกจับได้ว่า แพทย์ผู้ตรวจธัมมชโย ใช้เอกสารของทางราชการ คือ แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์และตราประทับของโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี อย่างไม่สุจริต ไม่ถูกต้องตามขั้นตอน เพราะธัมมชโยไม่เคยไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่มีประวัติการรักษา ยัง “หน้าด้าน”พูดเรื่อง “จรรยาบรรณ” กับสังคมได้อีกหรือ? สุดยอดละ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหมายเรียก ผู้ถูกกล่าวหามาหน้าที่มารับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นจะโต้แย้ง ลบล้าง ความถูกต้องหรือความน่าเชื่อถือใดๆ ในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ก็ไปโต้แย้งในกระบวนการยุติธรรมจะในชั้นอัยการหรือชั้นศาลก็ว่ากันไป ไม่เป็นเหตุให้ใช้ “กระบิดกระบวน”แล้วไม่มารับทราบข้อกล่าวหาอย่างที่ทำอยู่ ส่วนลูกศิษย์จะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ ก็ไปเพ่งลูกแก้วบรรเทาอาการกันเอาเอง ความไม่ไว้ใจของคุณ ไม่ใช่เหตุผลอันชอบที่จะขัดขวางการเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลอนุมัติหมายจับแล้ว
ส่วนการขอความร่วมมือจาก นายแพทย์มโน เป็นรายละเอียดในการพยายามคลี่คลายคดีของเจ้าหน้าที่ วัด พระ ไม่มีสิทธิไปก้าวกายหรือกำหนดวิธีการ เว้นแต่ผิดกฎหมายข้อใด ก็เอาไปใช้ลบล้างในศาลสิทีตัวเองเอาเครือข่ายพระ เครือข่ายลูกศิษย์มาปกป้อง สร้างบรรยากาศต่อรองกดดันกระบวนการยุติธรรม ไม่เห็นดีดดิ้นหรือใช้เป็น “ข้ออ้าง” ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้างเลย
3.มีคณะเจรจาสามฝ่าย คือเจ้าคณะจังหวัด ทนายสมศักดิ์ โตรักษาและเจ้าหน้าที่ คุยกันอยู่ จะประชุมวันที่ 14 มิ.ย. ทำไม 13 มิ.ย. รีบส่งสำนวนให้อัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงรีบร้อนรวบรัดกระบวนการผิดปกติทั้งการออกหมายจับและการสั่งฟ้องคดีนี้ ทำไมกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการประชุมแม้แต่ข้อเดียว
ตอบ : การเจรจาดังกล่าว เป็นเรื่องนอกเหนือกระบวนการดำเนินคดี เป็นเพราะผู้ต้องหา “ยึกยัก” เขาจึงพยายามหาทางออก ว่าจะใช้วิธีใดที่ประนีประนอมที่สุด เพื่อป้องกันศิษย์บ้าๆ กระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ อันที่จริงดีเอสไอขอหมายค้น แล้วถือคู่ไปกับหมายจับ บุกวัดพระธรรมกายได้ทุกเมื่อเลย แต่เขาไม่ทำ เพราะเห็นลูกศิษย์หลายคนประกาศจะตายเพื่อหลวงพ่อ ส่วนสำนวนการสอบสวน เขาทำเสร็จแล้ว ก็ส่งให้อัยการพิจารณา ไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ จะเรียกยาวๆ ว่า“ธุระไม่ใช่” หรือสั้นกว่านั้นคือ “
” ก็ได้ ทางที่ถูกคือ ทำหน้าที่ของตัวเองซะ ด้วยการเอาหลวงพ่อมารับทราบข้อกล่าวหา จะสานต่อประเด็นว่าป่วยหนักมาก ก็แค่ทำหนังสือติดต่อขอมอบตัว โดยจะมอบตัวบนเตียงที่วัดน่ะแหละ ลูกศิษย์จะขังตัวเองอยู่ในอายตนะนิพพาน ไม่ออกมาขัดขวาง แค่นี้ เจ้าหน้าที่เขาก็เข้าวัด ไปแจ้งข้อกล่าวหาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว อย่าสร้างบรรยากาศที่ดีเอสไอเขาจะ “ไม่ไว้วางใจ” ก็พอ
อย่าลืมว่า เขาจะดำเนินคดีกับธัมมชโยเท่านั้น ไม่ใช่กับวัดพระธรรมกายหรือกับลูกศิษย์ ไม่ต้องเอาวัด เอาศาสนา เอามวลชนมาบิดเบือน ไอ้ที่กล่าวว่า “การดำเนินคดีนี้กับพระเทพญาณมหามุนีจะสร้างผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง ต่อไปการรับบริจาคของวัดและองค์กรสาธารณะอื่นๆ ก็อาจถูกดำเนินคดีว่าเป็นการรับของโจรและฟอกเงินได้เช่นเดียวกัน” ก็หยุดกะล่อนซะ เพราะพระธรรมวินัยไม่ได้อนุญาตให้พระรับเงินเป็นร้อยล้านพันล้านอยู่แล้ว ทุกวันนี้ สงฆ์และองค์กรอื่นๆ ก็รับเงินบริจาค แต่ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะ “รูปการณ์-วิธีการ” และ “ความสุจริตของเงินและการรับเงิน” มันต่างกัน
อย่าเอาธัมมชโยมาเป็น “จักรวาล” ของเรื่อง พิจารณากันเป็นรายๆและเรื่องๆ ไป ธัมมชโยไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นแค่นักบวชคนหนึ่งที่แอบอ้างพระพุทธศาสนาดำรงชีพ แต่บิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนาและทำผิดพระธรรมวินัย และถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย
ยังไม่มีใครเอามาตัดหัวคั่วแห้ง ยังมีกระบวนการให้สู้อีก 3 ศาลจะมัววิ่งหนี แล้วกะล่อนสร้างเรื่องอื่นๆ มากลบเกลื่อนอยู่ทำไม
วัดนี้นี่ยังไง คำสอนก็บิดเบือน ใบรับรองแพทย์ก็บิดเบือน ยังเอาพระมาอ่านแถลงการณ์ที่บิดเบือนอีก ไป! เข้าโบสถ์ ไปปลงอาบัติซะ ถึงวันนี้ คงท่องบทปลงอาบัติกันจนคล่องแล้วล่ะมั้ง!!
ถามธรรมกาย‘พระกะล่อน’ผิดไหม? จาก นสพ แนวหน้า แนวทางที่น่าฟังและพิจารณาสำหรับชาวธรรมกาย
เรื่องง่ายๆ แค่รับทราบข้อกล่าวหา ปฏิเสธ ประกันตัว สู้คดี โดยอาศัย“ความบริสุทธิ์-สุจริต” ที่มี เป็นเกราะ กลับถูก “กระบิดกระบวน” ทำให้เป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยที่แต่ละเรื่องที่ศิษย์วัดพระธรรมกาย ไม่ว่าจะในคราบ “พระ” หรือโยม ช่วยกันออกมา “ผลิตให้เป็นข่าว”ถาโถมเข้าใส่การรับรู้ของผู้คนนั้น นับวันก็น่าสะอิดสะเอียดขึ้นเรื่อยๆ
ผมเขียนบทความ จับกะล่อน “องอาจ ธรรมนิทา” ที่ออกมาให้ข้อมูล ทำให้ศิษย์ธรรมกายหลงผิด คิดว่าแพทยสภา รับรองใบรับรองแพทย์ว่าใช้ได้ แสดงว่าหลวงพ่ออาพาธจริง ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งตั้งอนุกรรมการขึ้นสอบ ใช้เวลาอีก 3 เดือน จึงจะรู้ โดยจะดูทั้งเนื้อหาอาการป่วย วิธีตรวจว่าสอดคล้องกับคำรับรองไหม และดูความถูกต้องของเอกสารใบรับรองแพทย์ว่าผ่านขั้นตอนการออกที่ถูกต้องไหม ไปแล้ว ยังไม่มีคำอธิบายใดๆ ตามมาว่าทำไมองอาจถึงพูดว่า แพทยสภารับรองว่าใบรับรองแพทย์ใช้ได้
วานนี้ (14 มิ.ย.2559) สลับฉาก ส่งพระออกมาเล่นบ้าง โดยพระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร ออกมาอ่านแถลงการณ์ท่าทีของวัดพระธรรมกาย กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนคดี ซึ่งขอสรุปหัวข้อที่เขาแถลงและขอตอบเป็นข้อๆ ไปเลยก็แล้วกันว่า
1.กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนแล้วในคดีพิเศษที่ 146/2556 และเสนอสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการแล้ว ไม่อาจทำคดีซ้ำซ้อน การกระทำดังกล่าว จึงอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตอบ : สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วย “ความโง่” ที่ต้องได้รับการแก้ไข หรือจะเพราะ “การโกหกจนเป็นสันดาน” ก็ตาม ไม่เป็นเหตุที่จะเอามาอ้างเพื่อจะ “ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” คนที่สุจริต แล้วพบจุดอ่อนดังที่กล่าวมานั้น ยิ่งต้องกระโจนเข้าสู่กระบวนการแล้วเก็บประเด็นนี้ไว้ “ตอบโต้-โต้แย้ง” ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น คดีก็จบ ผู้ต้องหาก็กลายเป็น ผู้บริสุทธิ์” ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ใช่เอาไว้ “ยึกยัก”อยู่นอกกระบวนการ อย่างที่ดีดดิ้นกันอยู่ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ดีเอสไอชี้แจงแล้วบ่อยมาก หากแต่กะโหลกบางคนอาจมีความหนาแน่นมาก จนข้อเท็จจริงใดๆ ไม่สามารถ “ชำแรก”เข้าไปสู่เซลล์สมองเลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 19 พฤษภาคม 2559พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร กล่าวถึงกรณีที่ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ทำหนังสือร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาดีเอสไอ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีเจตนาดำเนินคดีกับพระธัมมชโย ซ้ำซ้อน พ.ต.ท.ปกรณ์ยืนยันว่า ดีเอสไอยังไม่เคยดำเนินคดีอาญากับพระธัมมชโยมาก่อน กรณีกลุ่มศิษยานุศิษย์นำเงินมาคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ครบถ้วน ทำให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ไม่ติดใจเอาความ ยอมยุติคดีนั้น เป็นคดีแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ดีเอสไอกำลังดำเนินคดีกับพระธัมมชโยอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดินไม่สามารถยุติหรือยอมความได้ และมีผู้ร้องตรงกับดีเอสไอถึง 49 คนนำโดยนายธรรมนูญ อัตโชติ โดยมีการกล่าวหา นายศุกชัย ศรีศุภอักษรและพวกรวม 5 คน ร่วมกันสมคบฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น
ตามสำนวนคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา เมื่อ 13 มิ.ย. 2559 สามารถจำแนกผู้ต้องหาในคดีนี้ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วยนายศุภชัย ศรีศุภอักษรผู้ต้องหาที่ 1 น.ส.ศรัณยา มานหมัด ผู้ต้องหาที่ 3 นางทองพิน กันล้อมผู้ต้องหาที่ 4 ถูกกล่าวหาว่าสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน (พวกนี้เป็นกลุ่มสหกรณ์ฯ นำเงินออกจากต้นทาง มาสู่กระบวนการ “แปรรูป” เป็นบุญและทรัพย์อื่นๆ) กลุ่มที่ 2 พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เป็นผู้ต้องหาที่ 2 และนางศศิธร โชคประสิทธิ์ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกกล่าวหาว่าสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร (ปรากฏชื่อรับเช็ค สลักหลังเช็ค และทรัพย์อื่นๆ หลังการแปรรูป วกกลับมาหา)
รายละเอียดตรงนี้ช่วยยืนยันว่า โฆษกวัดพระธรรมกาย ไม่ว่าจะโกนหัวหรือมีผม ล้วนกะล่อนบิดเบือนมาตลอดว่า เป็นการมุ่งดำเนินคดีกับธัมมชโยคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
ขณะที่ นายประกิต พิลังกาสา รองประธานกรรมการดำเนินการคนที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการดำเนินการ/ประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ซึ่งเป็นชุดที่ “รับข้อเสนอ”คือ รับเงินกองทุนที่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายระดมมาใช้หนี้สหกรณ์ แล้วไม่ติดใจเอาความ ตามที่วัดพระธรรมกายกล่าวอ้างถึงอยู่เสมอว่า สหกรณ์เขาก็ถอนฟ้องแล้ว ทำไมดีเอสไอยังไม่หยุดทำคดีนี้อีก ก็ได้แถลงข่าวเมื่อ 12 พ.ค.2559 ว่า
“คณะกรรมการของสหกรณ์ฯ มีจุดยืนและนโยบายที่ชัดเจนในการฟ้องร้องติดตามให้ตัวการผู้กระทำผิด คือ นายศุภชัยกับพวก คืนเงินให้กับสหกรณ์ฯ โดยวิธีการทางแพ่ง ส่วนการดำเนินการเอาผิดทางอาญาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินหรือรับของโจรนั้น จำเป็นต้องมีหลักฐานพยานที่ชัดเจนและซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของสหกรณ์ฯ จะดำเนินการได้เอง และเล็งเห็นว่าดีเอสไอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวน ได้ดำเนินการอยู่แล้วตามกระบวนการยุติธรรมและจะเป็นการเหมาะสมกว่า” เห็นหรือยังว่า มันคนละเรื่อง คนละส่วนกันอย่างชัดเจน ยังจะตีมึน “โป้ปด” กันต่ออีกไหม
2.พนักงานสอบสวนได้นำหมายเรียกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน แล้วเผยแพร่ไปยังประชาชน ก่อนส่งให้พระเทพญาณมหามุนี เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน แสดงให้เห็นว่า อาจมีอคติต่อพระเทพญาณมหามุนีและวัดพระธรรมกาย และได้ให้นายมโน เลาหวณิช เข้าร่วมประชุมชี้นำวิธีการจัดการกับพระเทพญาณมหามุนี การกระทำดังกล่าวทำให้ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายขาดความไว้วางใจในการทำงานของพนักงานสอบสวนชุดนี้
ตอบ : หลังถูกจับได้ว่า แพทย์ผู้ตรวจธัมมชโย ใช้เอกสารของทางราชการ คือ แบบฟอร์มใบรับรองแพทย์และตราประทับของโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี อย่างไม่สุจริต ไม่ถูกต้องตามขั้นตอน เพราะธัมมชโยไม่เคยไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่มีประวัติการรักษา ยัง “หน้าด้าน”พูดเรื่อง “จรรยาบรรณ” กับสังคมได้อีกหรือ? สุดยอดละ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหมายเรียก ผู้ถูกกล่าวหามาหน้าที่มารับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นจะโต้แย้ง ลบล้าง ความถูกต้องหรือความน่าเชื่อถือใดๆ ในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ก็ไปโต้แย้งในกระบวนการยุติธรรมจะในชั้นอัยการหรือชั้นศาลก็ว่ากันไป ไม่เป็นเหตุให้ใช้ “กระบิดกระบวน”แล้วไม่มารับทราบข้อกล่าวหาอย่างที่ทำอยู่ ส่วนลูกศิษย์จะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ ก็ไปเพ่งลูกแก้วบรรเทาอาการกันเอาเอง ความไม่ไว้ใจของคุณ ไม่ใช่เหตุผลอันชอบที่จะขัดขวางการเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหาที่ศาลอนุมัติหมายจับแล้ว
ส่วนการขอความร่วมมือจาก นายแพทย์มโน เป็นรายละเอียดในการพยายามคลี่คลายคดีของเจ้าหน้าที่ วัด พระ ไม่มีสิทธิไปก้าวกายหรือกำหนดวิธีการ เว้นแต่ผิดกฎหมายข้อใด ก็เอาไปใช้ลบล้างในศาลสิทีตัวเองเอาเครือข่ายพระ เครือข่ายลูกศิษย์มาปกป้อง สร้างบรรยากาศต่อรองกดดันกระบวนการยุติธรรม ไม่เห็นดีดดิ้นหรือใช้เป็น “ข้ออ้าง” ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้างเลย
3.มีคณะเจรจาสามฝ่าย คือเจ้าคณะจังหวัด ทนายสมศักดิ์ โตรักษาและเจ้าหน้าที่ คุยกันอยู่ จะประชุมวันที่ 14 มิ.ย. ทำไม 13 มิ.ย. รีบส่งสำนวนให้อัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงรีบร้อนรวบรัดกระบวนการผิดปกติทั้งการออกหมายจับและการสั่งฟ้องคดีนี้ ทำไมกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการประชุมแม้แต่ข้อเดียว
ตอบ : การเจรจาดังกล่าว เป็นเรื่องนอกเหนือกระบวนการดำเนินคดี เป็นเพราะผู้ต้องหา “ยึกยัก” เขาจึงพยายามหาทางออก ว่าจะใช้วิธีใดที่ประนีประนอมที่สุด เพื่อป้องกันศิษย์บ้าๆ กระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ อันที่จริงดีเอสไอขอหมายค้น แล้วถือคู่ไปกับหมายจับ บุกวัดพระธรรมกายได้ทุกเมื่อเลย แต่เขาไม่ทำ เพราะเห็นลูกศิษย์หลายคนประกาศจะตายเพื่อหลวงพ่อ ส่วนสำนวนการสอบสวน เขาทำเสร็จแล้ว ก็ส่งให้อัยการพิจารณา ไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ จะเรียกยาวๆ ว่า“ธุระไม่ใช่” หรือสั้นกว่านั้นคือ “” ก็ได้ ทางที่ถูกคือ ทำหน้าที่ของตัวเองซะ ด้วยการเอาหลวงพ่อมารับทราบข้อกล่าวหา จะสานต่อประเด็นว่าป่วยหนักมาก ก็แค่ทำหนังสือติดต่อขอมอบตัว โดยจะมอบตัวบนเตียงที่วัดน่ะแหละ ลูกศิษย์จะขังตัวเองอยู่ในอายตนะนิพพาน ไม่ออกมาขัดขวาง แค่นี้ เจ้าหน้าที่เขาก็เข้าวัด ไปแจ้งข้อกล่าวหาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว อย่าสร้างบรรยากาศที่ดีเอสไอเขาจะ “ไม่ไว้วางใจ” ก็พอ
อย่าลืมว่า เขาจะดำเนินคดีกับธัมมชโยเท่านั้น ไม่ใช่กับวัดพระธรรมกายหรือกับลูกศิษย์ ไม่ต้องเอาวัด เอาศาสนา เอามวลชนมาบิดเบือน ไอ้ที่กล่าวว่า “การดำเนินคดีนี้กับพระเทพญาณมหามุนีจะสร้างผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างใหญ่หลวง ต่อไปการรับบริจาคของวัดและองค์กรสาธารณะอื่นๆ ก็อาจถูกดำเนินคดีว่าเป็นการรับของโจรและฟอกเงินได้เช่นเดียวกัน” ก็หยุดกะล่อนซะ เพราะพระธรรมวินัยไม่ได้อนุญาตให้พระรับเงินเป็นร้อยล้านพันล้านอยู่แล้ว ทุกวันนี้ สงฆ์และองค์กรอื่นๆ ก็รับเงินบริจาค แต่ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะ “รูปการณ์-วิธีการ” และ “ความสุจริตของเงินและการรับเงิน” มันต่างกัน
อย่าเอาธัมมชโยมาเป็น “จักรวาล” ของเรื่อง พิจารณากันเป็นรายๆและเรื่องๆ ไป ธัมมชโยไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นแค่นักบวชคนหนึ่งที่แอบอ้างพระพุทธศาสนาดำรงชีพ แต่บิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนาและทำผิดพระธรรมวินัย และถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย
ยังไม่มีใครเอามาตัดหัวคั่วแห้ง ยังมีกระบวนการให้สู้อีก 3 ศาลจะมัววิ่งหนี แล้วกะล่อนสร้างเรื่องอื่นๆ มากลบเกลื่อนอยู่ทำไม
วัดนี้นี่ยังไง คำสอนก็บิดเบือน ใบรับรองแพทย์ก็บิดเบือน ยังเอาพระมาอ่านแถลงการณ์ที่บิดเบือนอีก ไป! เข้าโบสถ์ ไปปลงอาบัติซะ ถึงวันนี้ คงท่องบทปลงอาบัติกันจนคล่องแล้วล่ะมั้ง!!