ผมเคยเป็น "เปรต" มาก่อน
..........ในอดีตผมเคยเป็น "เปรต" หลายคนอ่านแล้งคง งง ไม่ต้อง งง ครับ เปรต ที่ว่าไม่ใช่ ผีเปรต ที่อยู่ ข้างกำแพงวัด หรืออยู่ในป่าช้า อันนั้นมัน "เปรต" ที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ หรือเป็น เปรตกู้ ที่ปลอมตัวไปหรอก ดร. ที่วัดป่าแถวอุดร เพื่อหลอกเอาเงิน ไม่ใช่แบบนี้ "เปรต" ที่ผมเป็นมันเป็นอาการของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มันสิงใจเรา มันเป็นพลังงานวิบากที่อยู่ในจิต(วิญญาณธาตุ)เรา หากเรารู้จักดูจิต(โดยใช้สติปัฏฐาน 4) เราจะเห็นอาการสัตว์(สัตตาโอปปาติกะจิต มรรคข้อ 1.9) เหล่านี้ นี่แหละคือตัวร้าย นี่แหละคือเจ้ากรรมนายเวรผมตัวจริงเสียงจริง ผมพึ่งมารู้จักมันมาเมื่อ 4-5 ปีมานี้ แต่ก่อนถูกมันสิงใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ตัว มันทำให้เราสร้างหนี้สร้างสินเพราะความอยากรวย ผมถูกมันสิงใจตั้งแต่เรียนจบ ป.ตรีมา ต้องพบกับวิบากมากมาย จนชีวิตแทบแย่ อยากรวยมาก จนต้องไปหยิบยืมทรัพย์สิน ญาติผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ มากู้เงิน มันพาให้เราต้องพบกับความยากลำบากในชีวิต มันน่ากลัวมากเมื่อละลึกย้อนกลับไป ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองหรอก ว่าเรากำลังเป็น "เปรต" อยู่
.......................................................................
อ้างอิง สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อแรกของมรรค 8 แยกออกเป็น 10 ข้อย่อย
บทความนี้ อ้างอิง คำว่า "สัตตาโอปปาติกะ" เป็นสัตว์ที่สิงใจเรา
...............................................................................
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
................................................................................
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
1.1 ทานที่ให้แล้ว มีผล
1.2 ยัญที่บูชา แล้ว มีผล
1.3 สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
1.4 ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว มีอยู่
1.5 โลกนี้มี
1.6 โลกหน้ามี
1.7 มารดามี
1.8 บิดามี
1.9 สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
1.10 สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่
นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
............ทำไมเราจึงไม่รู้ตนเองว่าเราเป็น "เปรต" เพราะเราถูกอบรมสั่งสอนถึงความอยากรวย อยากมีหน้ามีตาเกินคนอื่น เราหลงกับวัฒนธรรม บริโภคนิยม จนทำให้เราต้องมุ่งหาแต่เงิน สาระพัดสาระเพ ที่จะต้องคิดเพื่อหาเงิน วันนี้ "เปรต" ผมมันเริ่มอ่อนกำลังลง เมื่อก่อนตอนเริ่มรู้จักดูจิตใหม่ๆ ผมต้องเถียงกับมันตลอด ปล้ำสู้กับมันตลอด(สู้กับความอยากในใจตนเอง) แพ้บ้างชนะบ้าง เพราะการฝึก ดูจิตตนเอง(สติปัฐาน 4) ตอนที่เราถูกมันสิงใจเรา ทิฐิเราก็จะเป็น "เปรต" ใครบอกใครเตือนก็ไม่ฟังหรอก เพราะ ทิฐิ มานะ มันเยอะ แต่บางทีคนที่มาแนะนำ ก็ถูกเปรต สิงเหมือนกัน ต้องดูเหมือนกันว่าใครแนะนำ ฮ่าๆๆ วันนี้รู้สึกดีใจ ที่เห็น เปรต ในตัวเองรู้จัก มันแล้ว และมันก็อ่อนกำลังลง ยังไม่ตายง่ายๆ น๊ะ (อย่าชะล่าใจ) ด้วยการเจริญสติด้วยสติปัฏฐาน 4 (พยายาม ดูจิตตนเอง ทุกเวลา นาที ในขณะที่มีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น) ทุกวันนี้ หรือย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เลิกสร้างนี้สร้างสิน วันนี้ถึงรู้ว่าตนเองโขคดี แต่พอหันไปมอง พรรคพวกเพื่อนฝูง ที่เขามาเล่าให้ฟัง มาระบายให้ฟัง กลับเป็นหนี้คนละหลายสิบล้าน วันนี้ถึงรู้ว่าตนเองโชคดี ที่รู้ตัวเองเสียก่อน
อย่าว่าแต่เคยเป็น "เปรต" เลย "เดรัจฉาน" ยังเคยเป็น
..............อาการของการเป็น สัตว์เดรัจฉาน ชนิด สัตตาโอปปาติกะจิต ก็คือ อาการจิตของเราที่ ลืมผู้มีพระคุณ ก็เหมือนสัตว์ทั่วๆไป เขาให้อาหารมันกินเลี้ยงดูมัน มันก็ไม่สนใจหรอกว่า ใครช่วยมันเลี้ยงมัน
ผมก็เช่นเดียวกัน เรามัวแต่มุ่งหาเงินด้วยความโลภ บางทีก็ลืมปรนนิบัติพ่อแม่ พ่อป่วยแม่ป่วย สมัยก่อน บางทีจะต้องไปเฝ้าที่โรงบาล มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากไปเลย พยายามเกี่ยงพี่น้องคนอื่น ฮ่าๆๆๆ นี่เอาความลับในใจมาเผย เอาความเป็น "เดรัจฉาน" ของตนเองมาเล่า อ้างสาระพัดที่จะอ้าง เพราะความไม่อยากไปนอนเฝ้าไข้ แต่พอรู้จักดูจิตตนเอง (สติปัฏฐาน 4) ก็เห็นความเลวของตนเอง เห็นความเป็น "สัตว์เดรัจฉาน" ของตนเอง แล้วปฏิบัติมาเรื่อยๆ ทำให้ สัตว์พวกนี้ มันอ่อนกำลังลงจากจิตของตนเอง มันยังไม่ตายหรอก อย่าชะล่าใจ มันยังมีอาการแว๊บๆ กระเพื่อมๆในจิตเราอยู่ ทุกวันนี้รู้สึกว่า ต้องไปนอนเฝ้าไข้ หากแม่ป่วย ไปด้วยความเต็มใจ ไม่เกี่ยงงอนใคร อยู่ที่ไหนกำลังทำอะไรอยู่ ผมหยุดทันที (ที่เล่านี่ไม่ได้อวดตัวอวดตน) แต่เอามาเล่าเพื่อให้เห็น ว่า หากเราปฏิบัติถูกตรง อย่างสัมมาทิฏฐิ เราจะสามารถ กำจัด สัตตาโอปปาติกะ เหล่านี้ได้ และ จิตเราก็จะอุบัติขึ้นเป็น อุบัติเทพ คือ มันเริ่มเจริญ ขึ้น มันเริ่มละอกุศล มันเริ่มจะทำกุศล ด้วยทิฏฐิ ใหม่ ไม่ต้องฝืน ใจ ไม่ต้อง มี อามิส(เครื่องล่อให้ทำ)
ผมเคยเป็น "เปรต" มาก่อน
..........ในอดีตผมเคยเป็น "เปรต" หลายคนอ่านแล้งคง งง ไม่ต้อง งง ครับ เปรต ที่ว่าไม่ใช่ ผีเปรต ที่อยู่ ข้างกำแพงวัด หรืออยู่ในป่าช้า อันนั้นมัน "เปรต" ที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ หรือเป็น เปรตกู้ ที่ปลอมตัวไปหรอก ดร. ที่วัดป่าแถวอุดร เพื่อหลอกเอาเงิน ไม่ใช่แบบนี้ "เปรต" ที่ผมเป็นมันเป็นอาการของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มันสิงใจเรา มันเป็นพลังงานวิบากที่อยู่ในจิต(วิญญาณธาตุ)เรา หากเรารู้จักดูจิต(โดยใช้สติปัฏฐาน 4) เราจะเห็นอาการสัตว์(สัตตาโอปปาติกะจิต มรรคข้อ 1.9) เหล่านี้ นี่แหละคือตัวร้าย นี่แหละคือเจ้ากรรมนายเวรผมตัวจริงเสียงจริง ผมพึ่งมารู้จักมันมาเมื่อ 4-5 ปีมานี้ แต่ก่อนถูกมันสิงใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ตัว มันทำให้เราสร้างหนี้สร้างสินเพราะความอยากรวย ผมถูกมันสิงใจตั้งแต่เรียนจบ ป.ตรีมา ต้องพบกับวิบากมากมาย จนชีวิตแทบแย่ อยากรวยมาก จนต้องไปหยิบยืมทรัพย์สิน ญาติผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ มากู้เงิน มันพาให้เราต้องพบกับความยากลำบากในชีวิต มันน่ากลัวมากเมื่อละลึกย้อนกลับไป ตอนนั้นไม่รู้ตัวเองหรอก ว่าเรากำลังเป็น "เปรต" อยู่
.......................................................................
อ้างอิง สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อแรกของมรรค 8 แยกออกเป็น 10 ข้อย่อย
บทความนี้ อ้างอิง คำว่า "สัตตาโอปปาติกะ" เป็นสัตว์ที่สิงใจเรา
...............................................................................
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
................................................................................
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
1.1 ทานที่ให้แล้ว มีผล
1.2 ยัญที่บูชา แล้ว มีผล
1.3 สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
1.4 ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว มีอยู่
1.5 โลกนี้มี
1.6 โลกหน้ามี
1.7 มารดามี
1.8 บิดามี
1.9 สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
1.10 สมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่
นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
............ทำไมเราจึงไม่รู้ตนเองว่าเราเป็น "เปรต" เพราะเราถูกอบรมสั่งสอนถึงความอยากรวย อยากมีหน้ามีตาเกินคนอื่น เราหลงกับวัฒนธรรม บริโภคนิยม จนทำให้เราต้องมุ่งหาแต่เงิน สาระพัดสาระเพ ที่จะต้องคิดเพื่อหาเงิน วันนี้ "เปรต" ผมมันเริ่มอ่อนกำลังลง เมื่อก่อนตอนเริ่มรู้จักดูจิตใหม่ๆ ผมต้องเถียงกับมันตลอด ปล้ำสู้กับมันตลอด(สู้กับความอยากในใจตนเอง) แพ้บ้างชนะบ้าง เพราะการฝึก ดูจิตตนเอง(สติปัฐาน 4) ตอนที่เราถูกมันสิงใจเรา ทิฐิเราก็จะเป็น "เปรต" ใครบอกใครเตือนก็ไม่ฟังหรอก เพราะ ทิฐิ มานะ มันเยอะ แต่บางทีคนที่มาแนะนำ ก็ถูกเปรต สิงเหมือนกัน ต้องดูเหมือนกันว่าใครแนะนำ ฮ่าๆๆ วันนี้รู้สึกดีใจ ที่เห็น เปรต ในตัวเองรู้จัก มันแล้ว และมันก็อ่อนกำลังลง ยังไม่ตายง่ายๆ น๊ะ (อย่าชะล่าใจ) ด้วยการเจริญสติด้วยสติปัฏฐาน 4 (พยายาม ดูจิตตนเอง ทุกเวลา นาที ในขณะที่มีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น) ทุกวันนี้ หรือย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เลิกสร้างนี้สร้างสิน วันนี้ถึงรู้ว่าตนเองโขคดี แต่พอหันไปมอง พรรคพวกเพื่อนฝูง ที่เขามาเล่าให้ฟัง มาระบายให้ฟัง กลับเป็นหนี้คนละหลายสิบล้าน วันนี้ถึงรู้ว่าตนเองโชคดี ที่รู้ตัวเองเสียก่อน
อย่าว่าแต่เคยเป็น "เปรต" เลย "เดรัจฉาน" ยังเคยเป็น
..............อาการของการเป็น สัตว์เดรัจฉาน ชนิด สัตตาโอปปาติกะจิต ก็คือ อาการจิตของเราที่ ลืมผู้มีพระคุณ ก็เหมือนสัตว์ทั่วๆไป เขาให้อาหารมันกินเลี้ยงดูมัน มันก็ไม่สนใจหรอกว่า ใครช่วยมันเลี้ยงมัน
ผมก็เช่นเดียวกัน เรามัวแต่มุ่งหาเงินด้วยความโลภ บางทีก็ลืมปรนนิบัติพ่อแม่ พ่อป่วยแม่ป่วย สมัยก่อน บางทีจะต้องไปเฝ้าที่โรงบาล มันเป็นเรื่องที่ไม่อยากไปเลย พยายามเกี่ยงพี่น้องคนอื่น ฮ่าๆๆๆ นี่เอาความลับในใจมาเผย เอาความเป็น "เดรัจฉาน" ของตนเองมาเล่า อ้างสาระพัดที่จะอ้าง เพราะความไม่อยากไปนอนเฝ้าไข้ แต่พอรู้จักดูจิตตนเอง (สติปัฏฐาน 4) ก็เห็นความเลวของตนเอง เห็นความเป็น "สัตว์เดรัจฉาน" ของตนเอง แล้วปฏิบัติมาเรื่อยๆ ทำให้ สัตว์พวกนี้ มันอ่อนกำลังลงจากจิตของตนเอง มันยังไม่ตายหรอก อย่าชะล่าใจ มันยังมีอาการแว๊บๆ กระเพื่อมๆในจิตเราอยู่ ทุกวันนี้รู้สึกว่า ต้องไปนอนเฝ้าไข้ หากแม่ป่วย ไปด้วยความเต็มใจ ไม่เกี่ยงงอนใคร อยู่ที่ไหนกำลังทำอะไรอยู่ ผมหยุดทันที (ที่เล่านี่ไม่ได้อวดตัวอวดตน) แต่เอามาเล่าเพื่อให้เห็น ว่า หากเราปฏิบัติถูกตรง อย่างสัมมาทิฏฐิ เราจะสามารถ กำจัด สัตตาโอปปาติกะ เหล่านี้ได้ และ จิตเราก็จะอุบัติขึ้นเป็น อุบัติเทพ คือ มันเริ่มเจริญ ขึ้น มันเริ่มละอกุศล มันเริ่มจะทำกุศล ด้วยทิฏฐิ ใหม่ ไม่ต้องฝืน ใจ ไม่ต้อง มี อามิส(เครื่องล่อให้ทำ)