ในคณะที่มีขันธ์5 ดำรงชีวิตอยู่ เมื่ออารมณ์สัญจรมา จิตจะรับรู้อารมณ์ เพียงแค่รู้ ไม่มีเจตนาปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น รู้แล้ว ปล่อยวางไม่ยึดถือในอารมณ์!!!
เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา รู้แล้ว ปล่อยวาง รู้แล้ว ปล่อยวาง จะเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งเกิด แล้วดับไป สิ่งหนึ่งเกิด แล้วดับไป ในคณะปัจจุบันทุกคณะจิต
รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ ทุกคณะจิตปัจจุบัน จิตจะไม่แส่ส่ายไปในอารมณ์อดีต คืออารมณ์ที่ดับไปแล้วจะไม่หวนนึกคิดใดๆทั้งสิ้น เพราะอารมณ์ที่ดับไปแล้ว ไม่ใช่การรู้แจ้ง ถึงเราจะนึกถึงอารมณ์อดีตหยิบหยกมาคิดพิจารณาอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ของจริง เพราะของจริงจะต้องเห็นแจ้งอารมณ์ในปัจจุบัน ทุกคณะจิต รู้แล้ว ปล่อยวาง เป็นแบบนี้ตลอดเวลา จิตที่อบรมฝึกฝนดีแล้วจะไม่แส่สายไปในอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึง เพราะอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึงไม่ใช่ของจริง ต่อให้คิดพิจารณาอารมณ์ใดๆอยู่ก็ตามที่ยังมาไม่ถึง ล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะในคณะที่จิตแส่สายไปในอารมณ์อดีต และ แส่สายไปในอารมณ์อนาคต นั้นไม่ใช่จิตปัจจุบันคณะ แล้วเราจะถูกหลอกอย่างแนบเนียน ในคณะที่อยู่ในอารมณ์อดีต และ อนาคต ทำให้จิตไม่เห็นแจ้งอารมณ์ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้แลคือมายาของจิต ที่หลอกให้คนหลง บางท่านติดในอารมณ์อดีต ผูกโกรธ เป็น10ๆปี ก็ลืมไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ เพราะไม่เห็นความจริง คือไม่เห็นอารมณ์ในปัจจุบัน แต่กลับไปหลงในสัญญาอารมณ์อดีต ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!!! จิตที่ฝึกฝนอมรมดีแล้ว จะมีญาน เป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นของจิต เห็นวงจรจิตที่ปฏิสนธิกับอารมณ์ จิตที่มีอวิชชา เมื่ออารมณ์สัญจรมา จิตที่มีอวิชชานั้น จะเข้าไปปฏิสนธิกับอารมณ์นั้นทันที สุขุมรูปก็ปรากฏขึ้นทันที เป็นวิญญานปรมณูละเอียด หรือเรียกว่า เป็นคูหาของจิตก็ได้ เห็นได้ด้วยญาณรู้แจ้งได้ด้วยจิต ส่วนจิตที่หมดอวิชชานั้น เมื่ออารมณ์สัญจรมา จิตจะไม่ปฏิสนธิกับอารมณ์ จิตจะนิ่งเด่นสว่างไสวเป็นปกติครอบโลกธาตุอยู่ ไม่หวั่นไหว
เมื่อขันธ์5 ร่างกายแตกทำลาย
จิตที่มีอวิชชา จิตจะปฏิสนธิกับอารมณ์ หรือธรรมรมณ์สุดท้ายก่อนตาย สุขุมรูป รูปวิญญาณปรมณูจะเกิดทันที จิตจะมีคูหา ไปเกิดในภพต่างๆ ตามแต่วิบากกรรม
จิตที่หมดอวิชชา จิตจะไม่ปฏิสนธิกับอารมณ์ หรือ ธรรมมารมณ์ก่อนตาย จิตจะอิสระ เบิก บาน สว่างไสวครอบโลกธาตุ สู่พระนิพพาน
ลักษณะจิตที่ฝึกฝนอบรมดีแล้ว!!!
เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา รู้แล้ว ปล่อยวาง รู้แล้ว ปล่อยวาง จะเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งเกิด แล้วดับไป สิ่งหนึ่งเกิด แล้วดับไป ในคณะปัจจุบันทุกคณะจิต
รู้ ตื่น เบิกบานอยู่ ทุกคณะจิตปัจจุบัน จิตจะไม่แส่ส่ายไปในอารมณ์อดีต คืออารมณ์ที่ดับไปแล้วจะไม่หวนนึกคิดใดๆทั้งสิ้น เพราะอารมณ์ที่ดับไปแล้ว ไม่ใช่การรู้แจ้ง ถึงเราจะนึกถึงอารมณ์อดีตหยิบหยกมาคิดพิจารณาอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ของจริง เพราะของจริงจะต้องเห็นแจ้งอารมณ์ในปัจจุบัน ทุกคณะจิต รู้แล้ว ปล่อยวาง เป็นแบบนี้ตลอดเวลา จิตที่อบรมฝึกฝนดีแล้วจะไม่แส่สายไปในอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึง เพราะอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึงไม่ใช่ของจริง ต่อให้คิดพิจารณาอารมณ์ใดๆอยู่ก็ตามที่ยังมาไม่ถึง ล้วนแล้วแต่เป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะในคณะที่จิตแส่สายไปในอารมณ์อดีต และ แส่สายไปในอารมณ์อนาคต นั้นไม่ใช่จิตปัจจุบันคณะ แล้วเราจะถูกหลอกอย่างแนบเนียน ในคณะที่อยู่ในอารมณ์อดีต และ อนาคต ทำให้จิตไม่เห็นแจ้งอารมณ์ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้แลคือมายาของจิต ที่หลอกให้คนหลง บางท่านติดในอารมณ์อดีต ผูกโกรธ เป็น10ๆปี ก็ลืมไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ เพราะไม่เห็นความจริง คือไม่เห็นอารมณ์ในปัจจุบัน แต่กลับไปหลงในสัญญาอารมณ์อดีต ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!!! จิตที่ฝึกฝนอมรมดีแล้ว จะมีญาน เป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นของจิต เห็นวงจรจิตที่ปฏิสนธิกับอารมณ์ จิตที่มีอวิชชา เมื่ออารมณ์สัญจรมา จิตที่มีอวิชชานั้น จะเข้าไปปฏิสนธิกับอารมณ์นั้นทันที สุขุมรูปก็ปรากฏขึ้นทันที เป็นวิญญานปรมณูละเอียด หรือเรียกว่า เป็นคูหาของจิตก็ได้ เห็นได้ด้วยญาณรู้แจ้งได้ด้วยจิต ส่วนจิตที่หมดอวิชชานั้น เมื่ออารมณ์สัญจรมา จิตจะไม่ปฏิสนธิกับอารมณ์ จิตจะนิ่งเด่นสว่างไสวเป็นปกติครอบโลกธาตุอยู่ ไม่หวั่นไหว
เมื่อขันธ์5 ร่างกายแตกทำลาย
จิตที่มีอวิชชา จิตจะปฏิสนธิกับอารมณ์ หรือธรรมรมณ์สุดท้ายก่อนตาย สุขุมรูป รูปวิญญาณปรมณูจะเกิดทันที จิตจะมีคูหา ไปเกิดในภพต่างๆ ตามแต่วิบากกรรม
จิตที่หมดอวิชชา จิตจะไม่ปฏิสนธิกับอารมณ์ หรือ ธรรมมารมณ์ก่อนตาย จิตจะอิสระ เบิก บาน สว่างไสวครอบโลกธาตุ สู่พระนิพพาน