เสี่ยบุญชัย : ปัญญาที่สูญหาย หรือ ‘ธรรมกาย’ มิได้สอน โดย จิตกร บุษบา

กระทู้สนทนา
เสี่ยบุญชัย : ปัญญาที่สูญหาย หรือ ‘ธรรมกาย’ มิได้สอน โดย จิตกร บุษบา
ที่มา http://www.naewna.com/politic/columnist/24937

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกว่า 2,500 ปี แต่ “พระธรรม” คำสอนของท่านทำไมยังคงอยู่ พระพุทธศาสนาทำไมยังคงอยู่ เพราะหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ “พระธรรม” แม้ไม่มีพระพุทธ แต่พระธรรมยังคงเป็น “ทางพ้นทุกข์” แก่คนทุกคนอยู่ โดยมีพุทธบริษัท ทำหน้าที่สืบทอด และบำรุงรักษา

ดูเหมือนสำนักธรรมกาย มิได้สอน “อนิจจัง” เช่นนี้ให้ลูกศิษย์ลูกหาเกิด “ปัญญารู้แจ้งแทงตลอด” จนสามารถหลุดพ้นจากการ “ติดยึด” ต่อ “ตัวบุคคล” ผู้เป็น “ครู” ของพวกเขาได้

ดูได้จากอะไร? ดูจาก “ตัวละครตัวใหม่” ที่เพิ่ง “ออกโรง” ในช่วงที่องอาจ ธรรมนิทา บาดเจ็บจากการโป้ปดว่า แพทยสภารับรองว่าใบรับรองแพทย์ของธัมมชโยใช้ได้ แปลว่าหลวงพ่ออาพาธจริง และสนิทวงศ์ วุฒิวังโส “ตะแบง” ประเด็นเก่าๆ จนสังคมจับได้ ส่ายหน้า และตั้งคำถามว่า เป็นพระใช่ไหม? ถ้าใช่ ทำไมกะล่อนอย่างนี้? ไม่ว่าจะเป็นการโกหกซ้ำๆ ว่า ดีเอสไอฟ้องคดีซ้ำ ทั้งๆ ที่ดีเอสไอชี้แจงมาตลอดว่า ไม่เคยฟ้องคดีธัมมชโยมาก่อนเลย ส่วนกรณีตัวแทนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ถอนฟ้อง ภายหลังคณะศิษยานุศิษย์รวมเงินกันไป “ใช้คืน” ให้แก่สหกรณ์ ก็เป็นคนละคดีกัน นั่นเป็นคดีแพ่ง แต่ที่ดีเอสไอดำเนินการอยู่นี้เป็นคดีอาญา ซึ่งยอมความไม่ได้ และมีผู้มาร้องคนละชุดด้วย ฯลฯ

ลูกศิษย์วัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโยมหรือพระ มักมีตรรกะและคำอธิบายแปลกๆ ที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล และไม่เสถียร คือ “พูดแกว่งไกว แปรเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ”

เช่น เคยบอกว่า ทางวัดยินดีให้ทุกฝ่ายเข้ามาตรวจสอบ พอไปกันจริงๆ ประตูปิดเกือบหมด มีลวดหนามหีบเพลงอยู่เหนือกำแพงวัด มีการตามประกบสื่อมวลชน จดชื่อ ถ่ายภาพ มีรถแบ๊กโฮจอดขวางประตู พอดีเอสไอเข้าไป มีลูกศิษย์แต่งตัวประหลาดมาทำทีสวดมนต์ นั่งสมาธิ อยู่กลางถนน ขณะฝนตก (ซึ่งตามพุทธบัญญัติ นี่ไม่ใช่สถานที่อันควรแก่การปฏิบัติธรรม) ซ้ำสวมหน้ากากอนามัยปิดบังหน้าตากันทุกคน

ครั้งหนึ่ง มีภาพการ์ด นปช. แต่งชุดขาวอยู่ในวัด ก็รีบอัปเปหิออกไป พร้อมๆ กับขึ้นป้าย “วัดพระธรรมกายเป็นพุทธสถานเพื่อการปฏิบัติธรรม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น” แต่ล่าสุด แถลงการณ์ของลูกศิษย์กลับระบุว่า ธัมมชโยจะยอมมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้วเท่านั้น ฮากันขี้แตกขี้แตนกับเหตุผลของพวกนี้จริงๆ

ส่วนสนิทวงศ์นั้น เมื่อครั้งให้สัมภาษณ์ถึงศุภชัย ศรีศุภอักษร สนิทวงศ์บอกว่า “ก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพใหญ่คนหนึ่ง เราไม่ได้ให้
ความสำคัญในเรื่องเงิน มากกว่าเรื่องสมาธิ และให้ความสำคัญกับพระมากกว่าโยม เพราะพระมีศีลมากกว่า ฉะนั้นโยมเจ้าภาพจะใหญ่แค่ไหน เจอพระก็ต้องเคารพกราบไหว้” นั่นแปลว่าวัดนี้ พระ...สำคัญกว่าโยม ใช่ไหมครับ?

แต่วันที่ดีเอสไอถือหมายค้นกับหมายจับธัมมชโยเข้าไปในวัดพระธรรมกาย สนิทวงศ์ซึ่งออกมารับหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งหมด กลับไม่สามารถเจรจาหรือสั่งให้โยมเปิดทางให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบในบางจุดได้ แล้วมาแถลงข่าวกล่าวว่า “แต่ต้องเข้าใจว่า บางท่านมาวัดก่อนหลวงพี่ซะด้วยซ้ำ หรือสร้างวัดให้หลวงพี่อยู่ ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของลูกศิษย์เหล่านี้ด้วย เพราะว่าก็เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของวัดด้วยเหมือนกัน” แปลว่า พระหงอโยม เพราะโยมมาก่อน สร้างวัดให้อยู่ ขอประทานโทษเถอะ นั่นพระหรือหมาวัดครับ?

แต่ตัวละครตัวใหม่นี่เด็ดจริง เป็น “เจ้าสัว” ชื่อดัง มีการศึกษา มีฐานะ นั่นคือ “เสี่ยบุญชัย เบญจรงคกุล”

คล้อยหลังการเข้าตรวจค้นและถอยกลับออกจากวัดพระธรรมกายไม่นานนัก สถานีโทรทัศน์ของวัดพระธรรมกายก็เผยแพร่คลิปของเสี่ยบุญชัย เร่งเร้า เชิญชวน ชักจูง ให้ศิษย์ธรรมกาย มารวมตัวกันที่วัดเพื่อปฏิบัติธรรม หมาย “ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย” ให้พ้นไปจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยนายบุญชัยกล่าวในคลิปดังกล่าวว่า...

“...สวัสดีครับ ลูกพระธรรม ลูกคุณครูแม่ใหญ่ทั่วโลกนะครับ วันนี้ผมมาเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมกันปฏิบัติธรรม ใจใสๆ แผ่เมตตา จากเช้านี้ผมก็เชื่อว่า ทุกท่านได้เห็น จากข่าวที่ออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็คิดว่า พลังที่เราจะมาร่วมกันนับล้าน เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อแผ่เมตตา ให้กับสิ่งที่มันไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ให้มันหายไปนะครับ

...หลวงพ่อมีความหมายต่อเรามากครับ ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเรา หลวงพ่อเปรียบประดุจเหมือนแสงสว่างให้กับชาวโลก สันติสุขของโลกจะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกคนนั่งขัดสมาธิ แล้วก็นั่งตรึกนึกถึงศูนย์กลางกาย สิ่งเหล่านี้จะหายไปหมดเลยครับ ถ้าเกิดมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา

...ขอเรียนเชิญทุกท่านที่นั่งดูอยู่ว่า ถ้าท่านเดินทางมาได้ เดินทางมาร่วมกันปฏิบัติธรรมกับกระผมนะครับ กับพี่น้องของเราอีกจำนวนมากนะครับ ยิ่งมากันได้ทั้งประเทศก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ เริ่มตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มากันให้หมดนะครับ เราไม่ต้องรอนะครับ เรื่องพวกนี้ คราวนี้คงไม่ต้องรอแล้วนะครับ เรียนเชิญมาร่วมปฏิบัติธรรมครั้งใหญ่ของเรา เพื่อให้พลังแห่งสันติสุขมันเกิดขึ้น นำความสันติสุขมาสู่ประเทศไทยของเราอีกครั้งหนึ่ง

...ไอ้เรื่องที่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่มองข้ามไป ได้เป็นที่ประจักษ์ ให้หลวงพ่อเรา ท่านได้รับความยุติธรรม ให้พ้นมลทินจากที่ถูกใส่ร้าย อานิสงส์ผลบุญที่เรามาร่วมกันเป็นจำนวนล้านนะครับ ก็จะทำให้เราอยู่ในวงบุญของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกภพทุกชาติ ไปตราบจนถึงที่สุดแห่งธรรม เรียนเชิญนะครับ ผมจะรอคอยทุกท่านอยู่…” เสี่ยบุญชัยกล่าว

นี่คือ “ปัญญาญาณ” ของผู้ที่ผ่านการศึกษาในทางโลกมาโดยลำดับ ได้แก่ ประถมศึกษา โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน, มัธยมศึกษา โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน, ระดับไฮสกูล ที่แบริงต้น อังกฤษ, ปริญญาตรี บริหารธุรกิจ ที่นอร์ทเทิร์น สหรัฐอเมริกา และเศรษฐศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

สิ่งที่เสี่ยบุญชัยพูด สะท้อนชัดมากว่า วัดพระธรรมกายไม่ได้ “ปลูกสร้างสติปัญญา” ให้แก่ลูกศิษย์ ขนาดคนมีการศึกษา มีฐานะอย่างเสี่ยบุญชัย ยังมี “มุมมอง” ต่อปัญหาที่กำลังรุมเร้าธัมมชโยกับวัดพระธรรมกายได้แค่นี้ และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ บางคำพูดของเสี่ยบุญชัย อาจเข้าข่าย “ดูหมิ่นการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน” และ “ปลุกระดม” ได้ น่ากังวลจริงๆ ครับ

1) สิ่งที่ชาวพุทธไม่ได้ยินจากปากของเสี่ยบุญชัยเลย คือ เราเป็น “ศิษย์ตถาคต” เพราะชาวพุทธที่ได้รับการปลูกฝังให้ “รู้คิด” ย่อมรู้ว่า “ปัญหา” เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่จะต้องนำไปเป็นเครื่องมือ “พิจารณาชีวิต” ก่อนจะ “สลัดพันธนาการทั้งหลายด้วยปัญญา” แล้วก้าวเข้าสู่ “การหลุดพ้น” ตถาคตคือพระพุทธองค์นั้น ก่อนที่จะไปโปรดผู้ใด จะเล็งไปที่ ปัญญาญาณ” ของคนคนนั้นก่อน ว่ามีพอที่จะเข้าถึงการหลุดพ้นไหม ก่อนที่จะเสด็จไปโปรดด้วยวิธีการต่างๆ อันเป็น “ศิลปะแห่งความเป็นครู”

พุทธศาสนิกชนจึงยึดเอาตถาคตเป็นบรมครู โดยมีพระสงฆ์เป็นเสมือน “ครูผู้ช่วย” หรือ “โค้ช”

กระนั้นก็ตาม พระพุทธองค์ยังทรงสอนหลักกาลามสูตร ให้ชาวพุทธหลุดพ้นจากสถานภาพลวงตา ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้แยบคาย อย่าด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ และฝังหัว เพียงเพราะเขาเป็น “ครู” ของเรา

เสี่ยบุญชัยจึงสมาทานแต่เพียง การเป็น “ลูกคุณครูแม่ใหญ่” ซึ่งน่าจะหมายถึง แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งเป็นองค์พระรัตนตรัยแห่งลัทธิธรรมกาย (หลวงพ่อสด ผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย, อุบาสิกาจันทร์ ผู้ช่วยประเทศไทยไว้ด้วยการปัดระเบิด และกรรมของญี่ปุ่นมีมาก จึงดูดระเบิดไปตกที่นั่น, และธัมมชโย องค์ต้นธาตุต้นธรรม)

บุญชัยนั้น “ติดธัมมชโย” ถึงขั้นที่บอกว่า “หลวงพ่อมีความหมายต่อเรามากครับ ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเรา” แปลว่าเขาเข้าไม่ถึงแก่นธรรมของพระพุทธศาสนาเลย เพราะเขาไม่ขวนขวายที่จะยกระดับปัญญาญาณของตนเองขึ้นมา หรือว่าสำนักนี้ กดเขาให้ “จมปลัก” อยู่ในศรัทธาอันโง่งม จนไม่สามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาถึงขั้น “ปัญญา” ได้ ก็ไม่ทราบ

แต่ชาวพุทธที่แท้พึงรู้ว่า เมื่อครั้งตถาคตจะดับขันธปรินิพพาน ก็ทรงแสดงธรรมไว้ว่า

“อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า “ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดา ล่วงลับไปเสียแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา” ดังนี้

อานนท์ ! พวกเธอ อย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.

อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม จักต้องมีตน เป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ เป็นอยู่.

อานนท์! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ใน สถานะอันเลิศที่สุดแล.” (มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘)

เห็นได้ชัดว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้บรรดาสาวกยึดติดกับตัวท่าน แต่ให้ใช้พระธรรมที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว เป็นหนทางดำเนินโดยชอบต่อไป และให้มีตนเป็นสรณะ เป็นประทีป ประกอบกับธรรมเป็นสรณะ เป็นประทีป ไม่ต้องผูกพันเวียนว่ายตายเกิดไปด้วยกันทุกภพชาติดังที่เสี่ยบุญชัยประกาศในฐานะศิษย์ต่อธัมมชโยเช่นนั้นเลย

2) ปัญหาที่น่าห่วงของธัมมชโยมีเพียงสองเรื่องเท่านั้น หนึ่ง-อาการอาพาธ ถ้าหนักหนาสาหัสอย่างที่ศิษยานุศิษย์โฆษณาชวนเชื่ออยู่โดยตลอดจริงๆ แล้ว ไยไม่ปริวิตก ห่วงใย นำตัวไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเล่า โรงพยาบาลซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยแพทย์ พยาบาล เครื่องมือเครื่องไม้ ซึ่งธัมมชโยก็มิใช้ภิกษุอนาถา ลำพังเงินของเสี่ยบุญชัยก็เกินพอที่จะเหมาโรงพยาบาลทั้งหมดให้พระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ตามลำพังได้ แถมยังได้ “ใบรับรองแพทย์ที่สุจริต” ไม่ต้องฉ้อฉล เอาใบรับรองแพทย์พร้อมตราประทับของโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี มาใช้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปรับการรักษาเลย เข้าข่ายปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ พระดีๆ ที่ไหน วัดดีๆ ที่ไหน เขาทำกัน? ทั้งยังต้องมานั่งปลิ้นปล้อนกันไปเรื่อยๆ ว่าหลวงพ่ออาพาธหนัก

3) และเสี่ยบุญชัยรู้ไหม ก็เพราะหลวงพ่อไม่ยอมไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลไหน แต่ใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม โดยไม่มีเวชระเบียนรองรับนี่เอง ที่ทำให้ศาลท่านอนุมัติ “หมายจับ” ดีเอสไอจึงมีอำนาจโดยชอบตามกฎหมายที่จะถือ “หมายค้น” ซึ่งศาลก็เป็นผู้ออกให้ เข้าไปในวัดพระธรรมกาย ตามหมายจับฐาน “สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร” จึงไม่ใช่
คำว่า “ไอ้เรื่องที่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่มองข้ามไป” หรือที่หนักกว่านั้น คือคำว่า “มลทินจากที่ถูกใส่ร้าย” ซึ่งจะเข้าข่าย หมิ่นทั้งดีเอสไอและศาลหรือไม่ ก็น่าเป็นห่วงยิ่งนัก

คดีคดีหนึ่ง กว่าจะกล่าวหากันได้ และเจ้าหน้าที่ยอมทำ โดยเฉพาะถึงกับเป็น คดีพิเศษ” นั้น มันต้องมี “มูลฐานความผิด”
และ “พฤติการณ์” ที่เชื่อได้ว่า กระทำความผิดจริง ยิ่งการขออนุมัติหมายจับจากศาล ยิ่งไม่ง่าย หากเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หรือใส่ร้ายป้ายสีกัน ศาลท่านไม่ออกหมายจับให้หรอก

4) จึงมาถึงปัญหาที่สอง-ต้องมอบตัว รับทราบข้อกล่าวหา เสี่ยบุญชัยจะปลุกระดมศิษย์ธรรมกายมาได้กี่ล้านคน ก็ไม่อาจ “อยู่เหนือกฎหมาย” มันอาจมีผลให้การดำเนินการต้องเลื่อนเวลาไป แต่ไม่วันหนึ่งวันใด กฎหมายก็ต้องจัดการกับธัมมชโย ยิ่งกบดานเงียบ ยิ่งเห็นแก่ตัว ใช้ลูกศิษย์เป็นโล่มนุษย์ ความผิดก็จะลุกลามไปถึงลูกศิษย์ ฐานให้ที่พักพิง ช่วยเหลือ และขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

โปรดอ่านต่อที่ความเห็นที่ 1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่