ธรรมะจากพระผู้รู้ โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 141 ค่ะ
เราภาวนามากเข้าๆ ไม่ใช่เห็นแค่ทุกข์ในร่างกายนะ
เราเห็นเลยทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้เป็นของชั่วคราวไปหมดเลย
มีขึ้นมาแล้วก็หายไป เช่นนั่งอยู่แล้วรูปนั่งนี้ทนอยู่ได้ไม่นาน
รูปนั่งมันถูกทุกขเวทนาบีบคั้นนะแล้วมันมีทุกขลักษณะ
คือมันไม่สามารถทนอยู่ได้นานในรูปนั่ง ต้องเปลี่ยนเป็นรูปนอน นอนก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องเปลี่ยน
ความสุขเกิดขึ้นก็อยู่ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน เพราะงั้นความสุขก็มีทุกขลักษณะ
ทุกขลักษณะหมายถึงมันทนอยู่ไม่ได้
ความสุขเป็นของทนอยู่ไม่ได้ใช่ไหม เพราะงั้นความสุขก็มีทุกขลักษณะ
ความสุข ไม่ใช่ทุกขเวทนา แต่เป็นทุกขลักษณะ
เนี่ยสติปัญญาของเราเริ่มแก่กล้าขึ้นเป็นลำดับๆนะ
ทีแรกอาจจะเห็นแค่ทุกขเวทนา พอสติปัญญาแก่กล้าขึ้นมา เห็นกระทั่งสุขก็เป็นตัวทุกข์
มันทุกข์ยังไงมันทุกข์เพราะมันทนอยู่ไม่ได้ นี่เรียกว่าทุกขลักษณะนะ นี่พัฒนาขึ้นมาแล้ว
ตรงขั้นที่เห็นทุกขเวทนานี้ใครๆก็เห็น นี่เรื่องธรรมดาหรอก เป็นเรื่องโลกๆ
ตรงขั้นที่เห็นทุกขลักษณะเนี่ยขึ้นวิปัสสนากรรมฐานแล้ว
ขึ้นวิปัสสนาจะเห็นไตรลักษณ์ ถ้ายังไม่เห็นไตรลักษณ์ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
งั้นอย่างถ้าเราเห็นร่างกายเดี๋ยวก็มีความทุกข์ขึ้นมา จิตใจเดี๋ยวก็ทุกข์ขึ้นมา
เราก็บำบัดไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ แก้เป็นคราวๆไป ไม่ใช่วิปัสสนา
นั่งอยู่ปวดเมื่อยนะหาทางแก้ ไม่ใช่วิปัสสนา
นั่นเป็นเรื่องการแก้ทุกข์ทางกายทางใจธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
หิวขึ้นมาก็ไปกิน ง่วงก็ไปนอน ไม่ใช่วิปัสสนานะ
บางคนพูดมักง่าย การปฏิบัติไม่มีอะไรหรอก หิวก็กิน ง่วงก็นอน
ทำเหมือนหมาเลยมันบรรลุได้ที่ไหนล่ะ
งั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ในกายในใจนี้นะถึงจะเป็นวิปัสสนาแท้
เนี่ยเราค่อยๆเขยิบนะ เราเรียนรู้ทุกข์มาเป็นลำดับๆนะ
จากทุกขเวทนา ก็เลื่อนมาเห็นทุกขลักษณะ ขนาดความสุขก็ตกอยู่ใต้ทุกขลักษณะ
คือความสุขก็ทนอยู่ไม่ได้จริงทุกอย่างเกิดแล้วดับทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทนอยู่ได้สักอันเดียว
พอเราเห็นไปเรื่อยๆนะ ต่อไปการเห็นทุกข์มันจะประณีตขึ้นเรื่อยๆ
ตรงที่เห็นทุกขลักษณ์นี่สามารถบรรลุได้แล้ว
โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี สามารถบรรลุได้ เห็นมันทุกข์
ตรงถึงพระอนาคามีนี่จะเห็นเลย กายนี่ทุกข์ล้วนๆ พวกเรายังไม่เห็น
พวกเรายังเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง
...ธรรมะจากพระผู้รู้... โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 141 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 141 ค่ะ
เราภาวนามากเข้าๆ ไม่ใช่เห็นแค่ทุกข์ในร่างกายนะ
เราเห็นเลยทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้เป็นของชั่วคราวไปหมดเลย
มีขึ้นมาแล้วก็หายไป เช่นนั่งอยู่แล้วรูปนั่งนี้ทนอยู่ได้ไม่นาน
รูปนั่งมันถูกทุกขเวทนาบีบคั้นนะแล้วมันมีทุกขลักษณะ
คือมันไม่สามารถทนอยู่ได้นานในรูปนั่ง ต้องเปลี่ยนเป็นรูปนอน นอนก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องเปลี่ยน
ความสุขเกิดขึ้นก็อยู่ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน เพราะงั้นความสุขก็มีทุกขลักษณะ
ทุกขลักษณะหมายถึงมันทนอยู่ไม่ได้
ความสุขเป็นของทนอยู่ไม่ได้ใช่ไหม เพราะงั้นความสุขก็มีทุกขลักษณะ
ความสุข ไม่ใช่ทุกขเวทนา แต่เป็นทุกขลักษณะ
เนี่ยสติปัญญาของเราเริ่มแก่กล้าขึ้นเป็นลำดับๆนะ
ทีแรกอาจจะเห็นแค่ทุกขเวทนา พอสติปัญญาแก่กล้าขึ้นมา เห็นกระทั่งสุขก็เป็นตัวทุกข์
มันทุกข์ยังไงมันทุกข์เพราะมันทนอยู่ไม่ได้ นี่เรียกว่าทุกขลักษณะนะ นี่พัฒนาขึ้นมาแล้ว
ตรงขั้นที่เห็นทุกขเวทนานี้ใครๆก็เห็น นี่เรื่องธรรมดาหรอก เป็นเรื่องโลกๆ
ตรงขั้นที่เห็นทุกขลักษณะเนี่ยขึ้นวิปัสสนากรรมฐานแล้ว
ขึ้นวิปัสสนาจะเห็นไตรลักษณ์ ถ้ายังไม่เห็นไตรลักษณ์ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
งั้นอย่างถ้าเราเห็นร่างกายเดี๋ยวก็มีความทุกข์ขึ้นมา จิตใจเดี๋ยวก็ทุกข์ขึ้นมา
เราก็บำบัดไปเรื่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ แก้เป็นคราวๆไป ไม่ใช่วิปัสสนา
นั่งอยู่ปวดเมื่อยนะหาทางแก้ ไม่ใช่วิปัสสนา
นั่นเป็นเรื่องการแก้ทุกข์ทางกายทางใจธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง
หิวขึ้นมาก็ไปกิน ง่วงก็ไปนอน ไม่ใช่วิปัสสนานะ
บางคนพูดมักง่าย การปฏิบัติไม่มีอะไรหรอก หิวก็กิน ง่วงก็นอน
ทำเหมือนหมาเลยมันบรรลุได้ที่ไหนล่ะ
งั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ในกายในใจนี้นะถึงจะเป็นวิปัสสนาแท้
เนี่ยเราค่อยๆเขยิบนะ เราเรียนรู้ทุกข์มาเป็นลำดับๆนะ
จากทุกขเวทนา ก็เลื่อนมาเห็นทุกขลักษณะ ขนาดความสุขก็ตกอยู่ใต้ทุกขลักษณะ
คือความสุขก็ทนอยู่ไม่ได้จริงทุกอย่างเกิดแล้วดับทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทนอยู่ได้สักอันเดียว
พอเราเห็นไปเรื่อยๆนะ ต่อไปการเห็นทุกข์มันจะประณีตขึ้นเรื่อยๆ
ตรงที่เห็นทุกขลักษณ์นี่สามารถบรรลุได้แล้ว
โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี สามารถบรรลุได้ เห็นมันทุกข์
ตรงถึงพระอนาคามีนี่จะเห็นเลย กายนี่ทุกข์ล้วนๆ พวกเรายังไม่เห็น
พวกเรายังเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง