วอลเลย์ยุทธภพ เสี่ยงชีวิตบนผาไม้ดำ ตอนที่ 1 : รันทดวิญญาณสลาย

ขบวนสาวๆสุสานโบราณ ต้องอุบายติดในค่ายกลของพรรคเหรียญทองอยู่ 2 วัน พู่ยี่ได้พลาดท่าถูกเข็มพิษน้ำแข็ง เหล่าซือเจ๊และซือม่วยทั้งหลายได้ช่วยกันถ่ายพลังวัตรเพื่อรักษาแต่ก็ไม่เป็นผล ได้แต่คุ้มครองชีพจรไม่ให้พิษเย็นเยือกแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก โชคดีที่แม่นางเหล่งนุศได้เดินทางมาถึงช่วยนำทางออกจากค่ายกล และนำยาเม็ดเก้าบุปผาน้ำค้างหยกให้แก่พู่ยี้ แม้สามารถระงับพิษไปได้แต่ก็ไม่สามารถใช้พลังวัตรได้ชั่วคราว ผู้อาวุโสของสำนักจึงให้ส่งพู่ยี้ไปปักกิ่งให้พรรคกระยาจกส่งตัวนางกลับสำนักเพื่อรักษาตัวต่อไป ส่วนสาวๆที่เหลือต่างก็รีบรุดขึ้นไปยังผาไม้ดำเพื่อให้ทันตามนัดหมาย

ที่นั้นบรรดายอดฝีมือของ 3 กองธงได้รอคอยอยู่เนิ่นนานแล้ว พลันที่สาวๆสุสานโบราณขึ้นไปถึงยอดเขา นักสู้จากกองธงเขียวก็กระโดดเข้ารุมล้อมทันทีแล้วตวาดตามธรรมเนียมเชิญลงมือได้  เป็นอันเริ่มการต่อสู้ทันที

ยอดฝีมือจากองธงมักกะโรนีเขียวล้วนมีรูปร่างใหญ่โตเพราะกินพิชซ่าทุกวัน บ้างก็ถือดาบใหญ่ บ้างก็ถือค้อนดาวตก ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้พลังภายนอกฟาดฟันด้วยความรุนแรงยากต่อการต้านรับ สาวๆจากสุสานโบราณมิอาจต้านทานได้โดยลำพัง จึงตั้งขบวนค่ายกลกระบี่ขึ้น ค่ายกลของกระบี่ของสำนักสุสานโบราณนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยใช้หลักของการโคจรของดาวเหนือที่เฮ้งเต้งเอี้ยงคิดค้นขึ้น แม้นับว่าร้ายกาจแต่ก็มีจุดอ่อนมากมาย เมื่อครั้ง 7 บรรพชิตช่วนจินประลองกับอึ้งเอี๊ยะซือก็ถูกมองจุดอ่อนออกเลยต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด

ปรมาจารย์ลิ้มเชี่ยวเอ็งเมื่อครั้งก่อนก็ได้ใช้เวลาครุ่นคิดเพื่อเอาชนะวิชาของสำนักช้วนจินก็พบจุดอ่อนของวิชานี้เช่นกัน และบัญญัติกระทวนท่าที่ใช้ทำลายค่ายกลเจ็ดดาวไว้ในวิชาสตรีหยก เดิมวิชาสตรีหยกมีเพื่อทำลายวิชาช้วนจินเท่านั้น แต่เหล่าผู้อาวุโสของไท๋กั๊วได้นำเอาวิชาทั้งสองนี้มารวมกันเพื่อทำลายจุดอ่อนให้หมดไป ในค่ายกลเจ็ดดาวเหนือใหม่จึงแฝงด้วยแนวทางกระบี่ของวิชาสตรีหยก แม้ไท่กั๊วจะให้เกียรติแก่ปรมาจารย์ในอดีตเรียกค่ายกลนี้ว่าค่ายกลเจ็ดดาวเหนือเหมือนเดิม แต่ชาวยุทธ์ทั้งหลายกลับเรียกค่ายกลนี้ว่า ค่ายกลเจ็ดเทพธิดา เพราะความงดงามของการกระบวนท่าอันเป็นแบบฉบับของสำนักสุสานโบราณซึ่งทำให้ผู้ชมเคลิบเคลิ้มนึกถึงการร่ายรำของเหล่านางฟ้าแทนที่จะเป็นการเข่นฆ่านองเลือด

ยอดฝีมือของกองธงมักกะโรนีเขียวได้รายล้อมเป็นวงกลมและฟาดอาวุธที่ทั้งใหญ่และหนักอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้ไม่อาจนับว่าเป็นค่ายกลใดๆได้ แต่อานุภาพก็ไม่อาจดูแคลน เหล่าซือเจ๊ซือม่วยต่างก็ร่วมแรงร่วมใจผนึกกำลังร่ายรำกระบี่ประกอบขึ้นเป็นค่ายกลเจ็ดเทพธิดาเข้าต่อต้าน หากเป็นยามปกติ แม้จะถูกโหมกระหน่ำโจมตีด้วยกำลังที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ มันก็คงไม่อาจทำให้ค่ายกลเจ็ดเทพธิดานี้สั่นคลอนได้ แต่สาวๆจากสำนักสุสานโบราณได้สูญเสียพลังวัตรไปมากในการช่วยเหลือพู่ยี้และในการเดินพลังเพื่อรักษากลับก็ถูกไอเย็นแทรกซึมเข้ามา เดิมพวกนางก็หาทราบไม่ แต่เมื่อเดินพลังวัตรในการร่ายรำกระบี่ ไอเย็นก็แผลงฤทธิ์ทำให้หนาวเหน็บเสียดแทงไปถึงกระดูก กายถึงกับสั่นเทิ้ม กระบวนท่าก็ติดขัด กระบี่เชื่องช้าลง ธรรมดาค่ายกลกระบี่ทั้งหลายต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจกันคุ้มครองป้องกันภัย โดยเฉพาะวิชาค่ายกลเจ็ดดาว ทุกตำแหน่งไม่มีการป้องกันตัวเองเลยแต่อาศัยเพื่อนช่วยป้องกันให้เท่านั้น เมื่อไม่อาจใช้กระบี่เข้าป้องกันภัยให้แก่เพื่อนได้ ก็จำต้องใช้ร่างกายเข้ารับอาวุธแทน บรรดาสาวๆได้รับบาดเจ็บค่อยๆล้มลงทีละคน ซือเจ๊ซือม่วยที่ยังเหลือก็โดดเข้าทดแทนตำแหน่งเพื่อรักษาค่ายกลไว้ แต่ไม่นานก็ต้องทยอยล้มลงทีคนสองคน จนเหลือสาวๆกลุ่มสุดท้ายที่ยังยืนหยัดต้านทานอย่างสุดความสามารถแต่ก็คงอีกไม่นาน หากแม้มีคนล้มลงอีกเพียงผู้เดียว ความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับต้องบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ(ปลื้มจิตร์) ได้เหลือบมองไปยังพี่น้องร่วมสำนักเกิดความสลดใจอย่างใหญ่หลวง นึกในใจว่าวันนี้เหล่าซือเจ๊ซือม่วยของเราคงต้องประสบภัยบนผาไม้ดำอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจทนเห็นพี่น้องต้องรับอันตราย ตัวข้าขอตายก่อน เวลานั้นค้อนดาวตกพุ่งเข้าใส่ศีรษะของเซียวเหล่งนุศ ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อจึงโดดเข้าไปเพื่อเอาตัวบังรับอาวุธแทน พลันสายตาของมิตรคู่ใจทั้งสองประสานกัน ภาพครั้งอดีตตั้งแต่เยาว์วัยก็ผุดขึ้นมา ความทุกข์ความสุขที่พานพบทั่วทั้งชีวิต เสียงหัวเราะยามได้รับชัยชนะ ความเศร้าโศกจนต้องกอดคอกันร้องไห้ เรื่องทั้งหมดปรากฏชัดในชั่วเสี้ยววินาที น้ำตาของผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อได้หลั่งไหลออกมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่ได้สละชีวิตเพื่อมิตรสหาย (สายจิ๊น มัวทำอะไรอยู่ จิ๊นเร็ว)

ปกติศิษย์สำนักสุสานโบราณฝึกจิตใจให้รวมเป็นหนึ่ง ยิ่งจิตใจเชื่อมกันมากเท่าไหร่ การประสานกระบี่ก็ยิ่งมีอานุภาพขึ้นเท่านั้น กระแสจิตของผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อได้ส่งผ่านไปยังซือเจ๊ซือม่วยทุกคน ต่างก็มีรอยยิ้มและน้ำตาหลั่งรินออกมา กระบี่ในมือก็ชี้ลงเบื้องล่างเหมือนยอมรับความตาย แต่ท่วงท่าและอารมณ์เช่นนี้กลับไปพ้องกับเคล็ดวิชารันทดวิญญาณสลายโดยบังเอิญ  

วิชาฝ่ามือรันทดวิญญาณสลายนี้ จอมยุทธ์อินทรีเอี๊ยก๊วยได้คิดค้นขึ้นในช่วงเวลาที่เศร้าสลดจากการที่ภรรยายอดรักต้องหายสาบสูญไปแต่ก็มีความหวังริบหรี่ว่าอาจจะได้พบกันในอีก 18 ปีให้หลัง เอี๊ยก๊วยได้ใช้ฝ่ามือชุดนี้เอาชนะกิมลุ๊นฮวบอ๋องได้อย่างงดงามเป็นเรื่องที่สะท้านยุทธภพ จนถึงทุกวันนี้ผู้คนก็ยังคงกล่าวขวัญถึงและมีซีรีย์แสดงเหตุการณ์นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ยอดฝีมือกองธงมักกะโรนีเขียวเห็นคู่ต่อสู้มีท่าทีพิกลต่างนึกว่าสตรีเหล่านี้คงเสียสติไปแล้ว ต่างก็พากันฟาดท่าไม้ตายของตนไปอย่างสุดกำลังหมายเผด็จศึกในคราเดียว แต่อาวุธและพลังวัตรกลับเหมือนผ่านไปในสายลม หาถูกผู้ใดไม่ ทั้งที่พวกเจ็ดเซียนยืนโงนเงนไปมาหาได้หลบหลีกแต่อย่างใด พลันกระบี่ในมือของพวกนางกลับยกขึ้นอย่างแช่มช้าเหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่กลับจี้ไปโดนจุดของยอดฝีมือของกองธงเขียวหลายคนจนล้มลง แต่ยอดฝีมือของกองธงเขียวก็ยังคงหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาดสายแต่ก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะค่ายกลกระบี่เจ็ดเทพธิดากลับแปรเปลี่ยนไปจนไม่มีใครคาดคิด แม้กระบวนท่ายังคงเหมือนเดิมแต่อานุภาพกลับทวีขึ้นนับร้อยเท่า ไม่ว่าใครเข้ามาใกล้หมายจู่โจมด้วยกระบวนท่าอำมหิต ต่างก็โดนจี้จุดจนล้มลงไปก่อนที่จะทันรู้ตัว สถานการณ์พลิกผันอย่างคาดไม่ถึง แม้สาวๆสำนักสุสานโบราณเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

การที่พวกนางไม่ทราบว่าพวกตนเองกำลังใช้เคล็ดวิชาฝ่ามือรันทดวิญญาณสลายย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะวิชาชุดนี้แม้มีกระบวนท่าแต่ก็หามีความสำคัญไม่ เหล่าอาจารย์ของสำนักพบวิชานี้แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ถึงแก่นแท้ แต่ก็สั่งให้ศิษย์ทุกคนศึกษาไว้ ที่เป็นดังนี้เพราะบรรดาคนเหล่านั้นไม่เคยพบกับเรื่องรันทดถึงขั้นวิญญาณสลาย เนื่องจากชนชาวไท่กั๊วเองต่างก็ฝึกฝนจิตใจให้มองความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สำนักสุสานโบราณเองก็ยิ่งมีการฝึกจิตใจให้แช่มชื่นตลอดเวลา แม้ยามต่อสู้เสี่ยงชีวิตก็ยังคงยิ้มแย้มปานประหนึ่งกำลังเดินชมสวนดอกไม้ก็ไม่ปาน ความทุกข์จึงไม่อาจกล้ำกรายจิตใจพวกนางได้ แต่พวกนางกลับลิ้มรสชาติความรันทดที่สุดจากความพ่ายแพ้ที่ถูกพรรคฝ่ามือเหล็กโกงในการประลองครั้งสำคัญไปถึงสองครั้งสองครา พวกนางจึงเข้าถึงอารมณ์รันทดวิญญาณสลายอย่างที่จอมยุทธ์อินทรีเคยรู้สึก เมื่อพวกนางหวนระลึกถึงความเศร้าในครั้งนั้นท่ามกลางความรักที่มีต่อเปียม่วยร่วมสำนักจนยอมตายแทนกันได้ จึงตรงกับเคล็ดลับพอดี พวกนางจึงใช้วิชารันทดวิญญาณสลายออกไปโดยไม่ตั้งใจ ยิ่งเมื่อทุกคนใช้วิชานี้พร้อมกันในค่ายกลกระบี่เจ็ดเทพธิดา แม้กระบวนท่าดังเดิมแต่อานุภาพกลับเพิ่มขึ้นนับร้อยนับพันเท่า

บรรดาผู้อาวุโสพรรคจรัสทั้งสามกองธงต่างก็งงงวยไปตามๆกัน ไม่อาจเห็นแนวทางของวิชานี้ได้เลย จากที่มั่นใจว่าต้องชนะแน่ ตอนนี้กลับมีทีท่าว่าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จึงรีบสั่งการลงไปก่อนที่จะเสียหน้าไปมากกว่านี้ พลันหมอกควันล่องลอยเข้าปกคลุมลานประลองจนไม่อาจมองเห็นแม้ฝ่ามือของตนเอง ทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจต่อสู้กันได้อีก เพราะเกรงอาวุธจะไปถูกพวกเดียวกันเอง
ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ ว่างๆไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบขลุ่ยหยกออกเป่าเพลงเย้ยยุทธจักร สาวๆร่วมสำนักคุ้นเคยเพลงนี้ดีก็ร้องคลอไป ฝ่ายพรรคจรัสก็งุนงงในพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ แต่ท่วงทำนองเพลงเย้ยยุทธจักรนั้นมีอานุภาพมาก ใครได้ยินได้ฟังก็อดที่จะอินไปด้วยไม่ได้ ยอดฝีมือทั้งหลายต่างก็ขยับแข้งขยับขาไปตามจังหวะ สาวสุสานโบราณก็พากันไปคลายจุดให้กับคนที่ถูกสกัดจุดไว้และชวนเชิญให้ร่วมกันแดนซ์ไปตามจังหวะเพลง ต่างฝ่ายวางอาวุธและมาสนุกร่วมกัน กองธงเขียวเจ้าภาพก็ให้ลำเลียงสุราอาหารออกมาสรวญเสเฮฮากันตลอดทั้งคืน ต่างลืมเลือนการเข่นฆ่าอย่างดุดันเมื่อครู่ไปหมดสิ้น นับว่าเหตุการณ์ผลิกพันไปได้อย่างเหลือเชื่อ  แต่อันตรายบนผาไม้ดำยังคงอยู่ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป (ถ้ามีนะ)
ลงชื่อ เสี่ยวเอ้อยุทธภพ

กระทู้เก่า
http://ppantip.com/topic/35277914 วอลเลย์ยุทธภพ ตอน ย้อนอดีตเจ็ดเซียนบวกหนึ่ง
http://ppantip.com/topic/35275792 วอลเลย์ยุทธภพ ตอน สุสานโบราณแห่งไท๋กั๊วบุกผาไม้ดำ
http://ppantip.com/topic/35266516 วอลเลย์ยุทธภพ ตอน พรรคกระยาจกแห่งตงง้วน VS สุสานโบราณแห่งเสียมก๊ก
http://ppantip.com/topic/35247712 ทีมสาวไทยในโลกวิทยายุทธ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่