เสี่ยวเอ้อกลับมาอีกครั้งทั้งที่ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก แต่เพราะชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่เสี่ยวเอ้อรอคอยมานาน วันที่ไท่กั๊วเอาชนะทีมที่ยิ่งใหญ่ของโลกทุกทีมได้สำเร็จ ความปิติยินดีที่เปี่ยมล้นทำให้เสี่ยวเอ้อต้องกลับมาเขียนบันทึกยุทธภพอีกครั้ง เพื่อฉลองชัยชนะให้แก่สาวๆที่น่ารักของพวกเรา ว่าแล้วก็เชิญทัศนาได้
หลังจากศึกชิงเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพที่เมืองปาซี(บราซิล) จบลงด้วยชัยชนะของพรรคกระยาจก(จีน) สำนักปาซีหลินซึ่งหมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าชัยในแผ่นดินของตน กลับต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ ไร้เหรียญรางวัลใดๆปลอบใจโดยสิ้นเชิง ความแค้นครั้งนี้จึงไม่อาจไม่ชำระ
สำนักปาซีหลินมีหลักวิทยายุทธ์สืบทอดมาจากสำนักเส้าหลินนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์ชิง เส้าหลินได้ถูกกองทัพชิงบุกเผาทำลายจนสิ้นซาก แม้จะมีวิทยายุทธ์สูงส่งแต่ก็ไม่อาจสู้กับปืนใหญ่ เส้าหลินจึงถึงคราล่มสลายไปจากแผ่นดินตงง้วน หลวงจีนเฝ้าหอคัมภีร์ตระหนักถึงภัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงให้คัดลอกตำรายุทธ์แบ่งแยกออกหลบหนีไปในทิศทั้งสี่
หลวงจีนน้อยรูปหนึ่งได้ออกทะเลพาคัมภีร์หลบหนีภัยไปยังสุดขอบมหาสมุทรจนถึงแผ่นดินปาซี วิทยายุทธ์ของเส้าหลินจึงรอดพ้นจากการสาบสุญและรุ่งเรืองในดินแดนโพ้นทะเล ก่อเกิดเป็นสำนักปาซีหลิน นักสู้สำนักนี้จึงสวมอาภรณ์เหลืองสีเดียวกับที่หลวงจีนสวมใส่ แม้จะได้วิทยายุทธ์ไปเพียงบางส่วนแต่ก็มีความสูงส่งจนกลายเป็นสำนักอันดับต้นๆของยุทธภพ ครองความยิ่งใหญ่ไม่แพ้อดีต สำนักปาซีหลินนี้มีสุดยอดวิชาคือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น เพลงมวยสรรพสัตว์ (พยัคฆ์ เหยี่ยว ตั๊กแตน กระเรียนขาว เสือดาว) วิชาป้องกันคือวชิระคงกระพันและระฆังทองคุ้มกาย อาวุธถนัดคือวิชาพลองตั๊กม้อ และค่ายกลมนุษย์ทองคำ
สำนักปาซีหลินได้ฝึกปรือนักสู้รุ่นใหม่เพื่อหวังที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จึงออกเดินทางท้าประลองกับสำนักต่างๆ สำนักสุสานโบราณไท่กั๊วก็ตกเป็นเป้าเพราะถูกกำหนดเป็นเป้าหมายในการซ้อมมือของนักสู้ปาซี ซึ่งทางปาซีคิดว่าชนะแน่ แต่มันจะง่ายเช่นนั้นหรือ สำนักปาซีหลินได้โอบล้อมสำนักสุสานโบราณไว้อย่างรอบด้าน และท้าทายให้ออกไปประลองฝีมือกัน
ยกแรก เป็นการประลองเพลงมวย ฝ่ายปาซีเป็นนักสู้หน้าใหม่ ได้ออกมาร่ายรำเพลงมวยพยัคฆ์ ฝ่ายสำนักสุสานโบราณก็ส่งฮาถ่าย่า(หัตทยา) ออกมาหยั่งเชิง เพลงมวยพยัคฆ์ดุร้ายเกรี้ยวกราดยิ่งนัก กงเล็บทั้งสิบฟาดผ่าอากาศราวกับมีดสิบเล่ม หากโดนร่างเนื้อต้องฉีกขาดเป็นท่อนๆแน่ แต่ฮาถ่าย่าหาได้หวั่นเกรงไม่ นางใช้วิชาท่าเท้าท่องคลื่นซึ่งเป็นวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งของยุทธภพหลบหลีกไปมาและหาช่องว่างเพื่อจู่โจมด้วยเพลงมวยสาวงาม ฝ่ายนักสู้ปาซีวิ่งสู้ก็ยิ่งวืดวาดออกทะเลเพราะไล่ตามความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่ทันสักที จึงรวบรวมลมปราณทั้งหมดหมายจู่โจมด้วยท่าไม้ตาย พลันนางใช้เท้ากวาดไบไม้ตวัดส่งขึ้นไปในอากาศ แล้วใช้วิชาดรรชนีเด็ดบุปผาซึ่งเป็นวิชาดรรชนีที่ร้ายกาจสามารถโจมตีในระยะไกลได้
ท่ามกลางใบไม้พร่างพรายเต็มฟ้า ฮาถ่าย่าได้ยินเสียงหวีดพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ตกใจ เวลาคับขันนางพลันนึกถึงวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลขึ้นมาได้ จึงไม่ได้หลบ นางพลันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว รับพลังดัชนีแล้วเปลี่ยนทิศทางให้ย้อนกลับ นักสู้ปาซีไม่ทันคาดคิดก็โดนพลังดัชนีของตนเองเข้าไปอย่างจัง ถึงกับทรุดลงไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ยกแรกฝ่ายสุสานโบราณพลิกกลับมาได้ชัยชนะอย่างหวุดหวิด
ฮาถ่าย่าได้ฝึกวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลจากเซียวเหล่งนุศ จากตอนที่แล้ว พันธมิตรแห่งแหวน เซียวเหล่งนุศได้ท่องเที่ยวไปในแผ่นดินไก่งวงเพื่อหายาหยกดำต่อกระดูก และใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิชาต่างๆของแผ่นดินตะวันตก นางได้ศึกษาวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลสำเร็จเพียงขั้นที่สองเพราะพลังวัตรจำกัดไม่ถึง 170 นางจึงได้ถ่ายทอดให้กับเหล่าซือม่วย แต่ก็มีผู้ฝึกได้น้อยมาก เพราะการที่จะสำเร็จถึงขั้นที่สามได้ต้องมีระดับพลังวัตร 180 ขึ้นไป ขั้นที่สี่ต้อง 190 ส่วนขั้นที่ห้ายากจะหาผู้ฝึกฝนได้
วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลขั้นที่สองทำได้แค่เบี่ยงชะลอพลังของคู่ต่อสู้ ขั้นสามสามารถสะท้อนและบังคับให้กลับไปทำร้ายคู่ต่อสู้ ขั้นที่สี่นอกจากสะท้อนยังสามารถเสริมพลังโจมตีเข้าไปอีกเท่าตัว ขั้นที่ห้าเป็นขั้นเทพซึ่งไร้ผู้ต่อต้าน ในอดีตมีเพียงเตียบ่อกี๊ที่ฝึกถึงขั้นที่ห้า
ยกที่สอง ฝ่ายปาซีส่งนักสู้สองคนใช้พลองเสมอคิ้วเป็นอาวุธ ฝ่ายไท่กั๋วส่ง อาเหยฉาลาเผิง(อัจฉราพร) และผีหมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) ออกมาประสานกระบี่ดรุณีใจหยก ฝ่ายปาซีร่ายรำเพลงไม้พลองตักม๊อซึ่งมีอานุภาพดุดันนัก เมื่อฟาดลงไปหินผายังแตกทำลาย เงาพลองพาดทับซับซ้อนในอากาศจนหาช่องโหว่ไม่ได้แม้ฝนก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่าน
สองดรุณีน้อยจากไท่กั๋วไม่ได้หวั่นเกรง อาเหยฉาลาเผิงได้ลองทดสอบใช้กระบี่รับไม้พลองอย่างจัง พลังวัตรของฝ่ายปาซีซึ่งเป็นนักสู้หน้าใหม่แม้จะสูงกว่านางแต่ก็ไม่มากมายนัก นางคิดว่าพอรับมือได้ อาเหยฉาลาเผิงจึงยิ้มแย้มออกมา เงากระบี่คู่ประสานกันเข้าหักล้างเงาไม้พลองได้หมด และยังเหลือพอที่จะจู่โจมเข้าไป
ฝ่ายปาซีสามารถฟาดไม้พลองได้ 99 ครั้งในวินาทีเดียว แต่ฝ่ายสุสานโบราณแทงกระบี่ได้ 100 ครั้ง ซึ่งเร็วกว่าแค่เล็กน้อยแต่ก็เหลือเฟือสำหรับยอดฝีมือที่จะเอาชัย หากนับในด้านเพลงกระบี่อย่างเดียวโดยไม่มีพลังวัตรมาเกี่ยวข้อง สำนักสุสานโบราณต้องเป็นที่หนึ่งของแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย
ฝ่ายปาซีไม่อาจตอบโต้ได้เลย หากไม่ได้วิชาระฆังทองคลุมกายแล้วคงต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน กระบี่ของสองสาวแม้กรีดโดนฝ่ายปาซีหลายครั้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฝ่ายปาซียังตั้งรับได้มั่นคงแต่ก็เหมือนรอเวลาแพ้
อาเหยฉาลาเผิงคิดว่า ยกที่แล้วฝ่ายเราชนะโดยใช้วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล แม้วันนี้ชนะแต่ชาวยุทธ์ก็จะครหาได้ว่าเป็นเพราะวิชาเป็นของสำนักอื่น เราควรสำแดงวิชาดัชนีของสำนักเพื่อเปรียบเทียบกับดัชนีเด็ดบุปผาว่ามิได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
อาเหยฉาลาเผิงส่งกระแสจิตบอกแล้วบุกขึ้นหน้า ผีหมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) ตามหลัง วิ่งตรงไปในระหว่างกลางของนักสู้ปาซี อาเหยฉาลาเผิงร่ายรำกระบี่อย่างรวดเร็วจนเงากระบี่คลุมร่างของฝ่ายปาซีไว้หมด แต่สักครู่กระบี่ก็ยิ่งเร็วจนแม้แต่เงากระบี่ก็หายไป ไม่มีผู้ใดมองเห็นกระบี่ของนางอีกอีก ฝ่ายปาซีพยายามร่ายรำไม้พลองเพื่อคุ้มครองจุดเส้นชีพจรที่สำคัญ หมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) เห็นช่องว่างจึงดีดก้อนกรวดเข้าใส่ด้วยวิชาดรรชนีเส่งคุน หรือวิชาดีดของเกาะดอกท้อ ฝ่ายปาซีโดนจี้จุดสำคัญหลายจุด ลมปราณที่ไหลลื่นเริ่มติดขัด จนไม่อาจถือไม้พลองได้มั่นคง อาเหยฉาลาเผิงเห็นโอกาสจึงเข้าประชิดใช้ท่าชิงไม้เท้าจากปากสุนัข (เคียงเค้าโต๊ะเจี๋ยง) แย่งไม้พลองไปถือไว้ในมือ
ท่าชิงไม้เท้าจากปากสุนัขนี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าทั้ง 36 ของเพลงไม้เท้าตีสุนัข ในอดีตอั๊งชิงกงได้ถ่ายทอดกระบวนท่าให้เอี๊ยก๊วย ภายหลังอึ๊งย้งถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้จึงสมบูรณ์ ซึ่งท่านี้เป็นท่าที่สำคัญเพราะอึ๊งย้งได้ใช้ท่านี้ชิงไม้เท้าตีสุนัขจากมือเอี๊ยคังทำลายแผนร้ายได้สำเร็จ ส่วนวิชาเกาะดอกท้อ อึ๊งเอี๊ยะซือก็เคยถ่ายทอดให้เอี๊ยก้วยเพื่อไว้กำราบลี้ม๊กโช๊ว และสั่งให้เอี๊ยก๊วยเป็นผู้สืบทอด วิชาทั้งสองแขนงนี้จึงตกทอดมาถึงไท่กั๊วด้วย
นักสู้ปาซีโดนชิงไม้พลองไปจากมือเท่ากับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง อาเหยฉาลาเผิงประคองไม้พลองส่งมอบให้อย่างนอบน้อม กล่าวขอขมา ฝ่ายปาซีก็กล่าวชมเชยในฝีมือ
ยกที่สาม หากแพ้ยกนี้อีกทางฝ่ายปาซีก็ต้องแพ้อย่างสิ้นเชิง จึงตัดสินใจส่งค่ายกล 18 มนุษย์ทองคำลงไปต่อสู้ ซึ่งเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจที่สุดเพราะรวมเอาสรรพวิชาของเส้าหลินทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน กลุ่มนักสู้ปาซีเดินพนมมือเดินลงสนามประลอง ต่างเดินลมปราณด้วยวิชาวชิระคงกระพัน(กิมกังปุกไฮ้ที้ซิ่งกง) พลันรัศมีสีทองเปล่งประกายออกมาจากกายกลายเป็นมนุษย์ทองคำ มนุษย์ทองคำแต่ละตนก็แสดงวิชาแตกต่างกัน ลมปราณวชิระคงกระพันทำให้ร่างกายทนต่อแรงกระแทกของลมปราณ ส่วนวิชาระฆังทองคลุมกายเป็นวิชาภายนอกทำให้ทนต่อคมอาวุธ เป็นสุดยอดวิชาป้องกันตัวของยุทธภพ ในอดีตหลวงจีนหอไตรก็ใช้วิชาวชิระคงกระพันยืนรับฝ่ามือพิชิตมังกรของเฉียงฟงได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หนู่เถ้อส้าลาหรือเซียวเหล่งนุศเห็นก็ตระหนักถึงความร้ายกาจ จึงประกอบค่ายกลเจ็ดเทพธิดาขึ้น หัวของกลุ่มดาวเหนือคือ ฉาฉู่อ๋าง (ชัชชุอร) ใช้การปะทะด้วยพลัง ส่วนหางของกลุ่มดาวเหนือให้ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ (ปลื้มจิตร์) คอยลอบโจมตีฉาบฉวยด้วยความรวดเร็วเหมือนหางแมงป่อง ผีย่าน่าเถ้อ(ปิยะนุช) คอยตั้งรับ ส่วนศิษย์น้องคนอื่นก็รับตำแหน่งดาวที่เหลือ ช่วยกันต้านคู่ต่อสู้
ความพิสดารของค่ายกลมนุษย์ทองคำไม่ได้มีมากมายเหมือนค่ายกลเจ็ดเทพธิดา เพียงแต่อาศัยความหลากหลายของวิชาเข้าสู้ ซึ่งเส้าหลินมียอดวิชาถึง 72 แขนง ซึ่งมีทั้งหนักแน่น นุ่มนวล เชื่องช้า รวดเร็ว สู้บนพื้นหรือบนอากาศ มีทั้งเพลงหมัด เพลงเท้า ดรรชนี เพลงอาวุธมีทั้งสั้นและยาว เรียกว่าครบเครื่องต้มยำเลยทีเดียว ยกเว้นอาวุธลับเท่านั้นที่เส้าหลินรังเกียจนัก หากคู่ต่อสู้มีจุดอ่อนในด้านใดด้านหนึ่งก็จะต้องปราชัย
ฝ่ายปาซีก็วิ่งวนเป็นวงกลมล้อมฝ่ายไท่กั๊วไว้ แต่ละคนใช้วิชาแต่ละแขนงที่ตนถนัดเข้าโจมตี ค่ายกระบี่เจ็ดเทพธิดาก็ตั้งรับอย่างไม่หวั่นไหว หัวบุกส่วนหางคอยตั้งรับ ถ้าหางบุกหัวก็จะตั้งรับแทน หากกลางบุกหัวและหางก็จะคอยป้องกัน แม้บางขณะหัวจะเพลี่ยงพล้ำแต่หางก็เข้ามาแก้ไขได้ทัน แม้หางถูกบุกหนัก ส่วนหัวก็จะเข้าโจมตีเพื่อแก้ไข ทั้งเจ็ดรุกรับประสานคอยเกื้อกูลกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ลมปราณของทั้งเจ็ดก็ไหลลื่นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งนานก็ยิ่งเปล่งอานุภาพขึ้นเรื่อยๆ
ตรงข้ามกับฝ่ายปาซี เริ่มต้นเกรี้ยวกราดเป็นต่อ แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งด้อยลง เพราะเมื่อแต่ละคนทยอยใช้กระบวนท่าไปจนหมดสิ้นแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ เมื่อใช้กระบวนท่าซ้ำก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้น เซียวเหล่งนุศเห็นได้จังหวะก็บัญชาให้ค่ายกลเข้าจู่โจมทันที ค่ายกลมนุษย์ทองคำก็รวนเรหนักขึ้นเรื่อยๆถึงขั้นระส่ำระสาย แต่ละคนก็ได้แต่ป้องกันตนเองรักษาตำแหน่งไม่คิดรุก ฝ่ายล้อมกลับโดนฝ่ายถูกล้อมควบคุมไว้
ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ ใช้กระบี่ไวในท่าแหวกหลิวแยกบุปผา (ฮุงฮวยฮุกลิ้ว) ในเพลงมวยสาวงามซึ่งเป็นท่าหลอกซ้ายเพื่อจู่โจมขวา นักสู้ปาซีก็พลิกกายเพื่อหลบคมกระบี่ แต่ฉับพลันค่ายกระบี่เจ็ดเทพธิดากลับหางเป็นหัว ฉาฉู่อ๋าง(ชัชชุอร) หมุนวนเข้ามาแล้วฟาดง้าวเหล็ก 80 ชั่งเข้าใส่นักสู้ปาซีที่วิ่งสวนมาจนกระเด็นออกไป ค่ายกลเจ็ดเทพธิดาก็ทะยานออกจากวงล้อมของเหล่ามนุษย์ทองคำได้ ในการประลองค่ายกลถือว่าได้ชัยชนะแล้ว เพราะกลับกันหากฝ่ายสุสานโบราณไม่สามารถทะลวงออกมาได้ก็ต้องนับเป็นฝ่ายปราชัย
ฝ่ายซือแป๋ใหญ่ดัวเน่ายี่(ดนัย)ก็เข้าไปกราบขอขมาหลวงจีนไว้ผมเจ้าสำนักปาซีหลิน หลวงจีนไว้ผมเปไรร่าก็กล่าวยกย่องฝ่ายไท่กั๋ว และกล่าวชื่นชมเซียวเหล่งนุศที่ปัญญาไวมองเห็นช่องโหว่ของค่ายกลมนุษย์ทองคำได้ จากนั้นกล่าวอำลา แต่ระหว่างทางก็ถูกพรรคฝ่ามือเหล็กซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย ต้องยกขบวนหลบหนีกลับปาซีไปอย่างเศร้าสร้อย
จบภาคพิเศษ
วอลเลย์ยุทธภพ ตอน พิชิตวิทยายุทธ์เส้าหลิน ไท่กั๊ว(THA) vs ปาซี(BRA)
หลังจากศึกชิงเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพที่เมืองปาซี(บราซิล) จบลงด้วยชัยชนะของพรรคกระยาจก(จีน) สำนักปาซีหลินซึ่งหมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าชัยในแผ่นดินของตน กลับต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ ไร้เหรียญรางวัลใดๆปลอบใจโดยสิ้นเชิง ความแค้นครั้งนี้จึงไม่อาจไม่ชำระ
สำนักปาซีหลินมีหลักวิทยายุทธ์สืบทอดมาจากสำนักเส้าหลินนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์ชิง เส้าหลินได้ถูกกองทัพชิงบุกเผาทำลายจนสิ้นซาก แม้จะมีวิทยายุทธ์สูงส่งแต่ก็ไม่อาจสู้กับปืนใหญ่ เส้าหลินจึงถึงคราล่มสลายไปจากแผ่นดินตงง้วน หลวงจีนเฝ้าหอคัมภีร์ตระหนักถึงภัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงให้คัดลอกตำรายุทธ์แบ่งแยกออกหลบหนีไปในทิศทั้งสี่
หลวงจีนน้อยรูปหนึ่งได้ออกทะเลพาคัมภีร์หลบหนีภัยไปยังสุดขอบมหาสมุทรจนถึงแผ่นดินปาซี วิทยายุทธ์ของเส้าหลินจึงรอดพ้นจากการสาบสุญและรุ่งเรืองในดินแดนโพ้นทะเล ก่อเกิดเป็นสำนักปาซีหลิน นักสู้สำนักนี้จึงสวมอาภรณ์เหลืองสีเดียวกับที่หลวงจีนสวมใส่ แม้จะได้วิทยายุทธ์ไปเพียงบางส่วนแต่ก็มีความสูงส่งจนกลายเป็นสำนักอันดับต้นๆของยุทธภพ ครองความยิ่งใหญ่ไม่แพ้อดีต สำนักปาซีหลินนี้มีสุดยอดวิชาคือคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น เพลงมวยสรรพสัตว์ (พยัคฆ์ เหยี่ยว ตั๊กแตน กระเรียนขาว เสือดาว) วิชาป้องกันคือวชิระคงกระพันและระฆังทองคุ้มกาย อาวุธถนัดคือวิชาพลองตั๊กม้อ และค่ายกลมนุษย์ทองคำ
สำนักปาซีหลินได้ฝึกปรือนักสู้รุ่นใหม่เพื่อหวังที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จึงออกเดินทางท้าประลองกับสำนักต่างๆ สำนักสุสานโบราณไท่กั๊วก็ตกเป็นเป้าเพราะถูกกำหนดเป็นเป้าหมายในการซ้อมมือของนักสู้ปาซี ซึ่งทางปาซีคิดว่าชนะแน่ แต่มันจะง่ายเช่นนั้นหรือ สำนักปาซีหลินได้โอบล้อมสำนักสุสานโบราณไว้อย่างรอบด้าน และท้าทายให้ออกไปประลองฝีมือกัน
ยกแรก เป็นการประลองเพลงมวย ฝ่ายปาซีเป็นนักสู้หน้าใหม่ ได้ออกมาร่ายรำเพลงมวยพยัคฆ์ ฝ่ายสำนักสุสานโบราณก็ส่งฮาถ่าย่า(หัตทยา) ออกมาหยั่งเชิง เพลงมวยพยัคฆ์ดุร้ายเกรี้ยวกราดยิ่งนัก กงเล็บทั้งสิบฟาดผ่าอากาศราวกับมีดสิบเล่ม หากโดนร่างเนื้อต้องฉีกขาดเป็นท่อนๆแน่ แต่ฮาถ่าย่าหาได้หวั่นเกรงไม่ นางใช้วิชาท่าเท้าท่องคลื่นซึ่งเป็นวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งของยุทธภพหลบหลีกไปมาและหาช่องว่างเพื่อจู่โจมด้วยเพลงมวยสาวงาม ฝ่ายนักสู้ปาซีวิ่งสู้ก็ยิ่งวืดวาดออกทะเลเพราะไล่ตามความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่ทันสักที จึงรวบรวมลมปราณทั้งหมดหมายจู่โจมด้วยท่าไม้ตาย พลันนางใช้เท้ากวาดไบไม้ตวัดส่งขึ้นไปในอากาศ แล้วใช้วิชาดรรชนีเด็ดบุปผาซึ่งเป็นวิชาดรรชนีที่ร้ายกาจสามารถโจมตีในระยะไกลได้
ท่ามกลางใบไม้พร่างพรายเต็มฟ้า ฮาถ่าย่าได้ยินเสียงหวีดพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ตกใจ เวลาคับขันนางพลันนึกถึงวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลขึ้นมาได้ จึงไม่ได้หลบ นางพลันหมุนตัวอย่างรวดเร็ว รับพลังดัชนีแล้วเปลี่ยนทิศทางให้ย้อนกลับ นักสู้ปาซีไม่ทันคาดคิดก็โดนพลังดัชนีของตนเองเข้าไปอย่างจัง ถึงกับทรุดลงไม่สามารถต่อสู้ได้อีก ยกแรกฝ่ายสุสานโบราณพลิกกลับมาได้ชัยชนะอย่างหวุดหวิด
ฮาถ่าย่าได้ฝึกวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลจากเซียวเหล่งนุศ จากตอนที่แล้ว พันธมิตรแห่งแหวน เซียวเหล่งนุศได้ท่องเที่ยวไปในแผ่นดินไก่งวงเพื่อหายาหยกดำต่อกระดูก และใช้โอกาสนี้เรียนรู้วิชาต่างๆของแผ่นดินตะวันตก นางได้ศึกษาวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลสำเร็จเพียงขั้นที่สองเพราะพลังวัตรจำกัดไม่ถึง 170 นางจึงได้ถ่ายทอดให้กับเหล่าซือม่วย แต่ก็มีผู้ฝึกได้น้อยมาก เพราะการที่จะสำเร็จถึงขั้นที่สามได้ต้องมีระดับพลังวัตร 180 ขึ้นไป ขั้นที่สี่ต้อง 190 ส่วนขั้นที่ห้ายากจะหาผู้ฝึกฝนได้
วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลขั้นที่สองทำได้แค่เบี่ยงชะลอพลังของคู่ต่อสู้ ขั้นสามสามารถสะท้อนและบังคับให้กลับไปทำร้ายคู่ต่อสู้ ขั้นที่สี่นอกจากสะท้อนยังสามารถเสริมพลังโจมตีเข้าไปอีกเท่าตัว ขั้นที่ห้าเป็นขั้นเทพซึ่งไร้ผู้ต่อต้าน ในอดีตมีเพียงเตียบ่อกี๊ที่ฝึกถึงขั้นที่ห้า
ยกที่สอง ฝ่ายปาซีส่งนักสู้สองคนใช้พลองเสมอคิ้วเป็นอาวุธ ฝ่ายไท่กั๋วส่ง อาเหยฉาลาเผิง(อัจฉราพร) และผีหมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) ออกมาประสานกระบี่ดรุณีใจหยก ฝ่ายปาซีร่ายรำเพลงไม้พลองตักม๊อซึ่งมีอานุภาพดุดันนัก เมื่อฟาดลงไปหินผายังแตกทำลาย เงาพลองพาดทับซับซ้อนในอากาศจนหาช่องโหว่ไม่ได้แม้ฝนก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่าน
สองดรุณีน้อยจากไท่กั๋วไม่ได้หวั่นเกรง อาเหยฉาลาเผิงได้ลองทดสอบใช้กระบี่รับไม้พลองอย่างจัง พลังวัตรของฝ่ายปาซีซึ่งเป็นนักสู้หน้าใหม่แม้จะสูงกว่านางแต่ก็ไม่มากมายนัก นางคิดว่าพอรับมือได้ อาเหยฉาลาเผิงจึงยิ้มแย้มออกมา เงากระบี่คู่ประสานกันเข้าหักล้างเงาไม้พลองได้หมด และยังเหลือพอที่จะจู่โจมเข้าไป
ฝ่ายปาซีสามารถฟาดไม้พลองได้ 99 ครั้งในวินาทีเดียว แต่ฝ่ายสุสานโบราณแทงกระบี่ได้ 100 ครั้ง ซึ่งเร็วกว่าแค่เล็กน้อยแต่ก็เหลือเฟือสำหรับยอดฝีมือที่จะเอาชัย หากนับในด้านเพลงกระบี่อย่างเดียวโดยไม่มีพลังวัตรมาเกี่ยวข้อง สำนักสุสานโบราณต้องเป็นที่หนึ่งของแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย
ฝ่ายปาซีไม่อาจตอบโต้ได้เลย หากไม่ได้วิชาระฆังทองคลุมกายแล้วคงต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน กระบี่ของสองสาวแม้กรีดโดนฝ่ายปาซีหลายครั้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฝ่ายปาซียังตั้งรับได้มั่นคงแต่ก็เหมือนรอเวลาแพ้
อาเหยฉาลาเผิงคิดว่า ยกที่แล้วฝ่ายเราชนะโดยใช้วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล แม้วันนี้ชนะแต่ชาวยุทธ์ก็จะครหาได้ว่าเป็นเพราะวิชาเป็นของสำนักอื่น เราควรสำแดงวิชาดัชนีของสำนักเพื่อเปรียบเทียบกับดัชนีเด็ดบุปผาว่ามิได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
อาเหยฉาลาเผิงส่งกระแสจิตบอกแล้วบุกขึ้นหน้า ผีหมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) ตามหลัง วิ่งตรงไปในระหว่างกลางของนักสู้ปาซี อาเหยฉาลาเผิงร่ายรำกระบี่อย่างรวดเร็วจนเงากระบี่คลุมร่างของฝ่ายปาซีไว้หมด แต่สักครู่กระบี่ก็ยิ่งเร็วจนแม้แต่เงากระบี่ก็หายไป ไม่มีผู้ใดมองเห็นกระบี่ของนางอีกอีก ฝ่ายปาซีพยายามร่ายรำไม้พลองเพื่อคุ้มครองจุดเส้นชีพจรที่สำคัญ หมู่ผีฉาย่า (พิมพิชญา) เห็นช่องว่างจึงดีดก้อนกรวดเข้าใส่ด้วยวิชาดรรชนีเส่งคุน หรือวิชาดีดของเกาะดอกท้อ ฝ่ายปาซีโดนจี้จุดสำคัญหลายจุด ลมปราณที่ไหลลื่นเริ่มติดขัด จนไม่อาจถือไม้พลองได้มั่นคง อาเหยฉาลาเผิงเห็นโอกาสจึงเข้าประชิดใช้ท่าชิงไม้เท้าจากปากสุนัข (เคียงเค้าโต๊ะเจี๋ยง) แย่งไม้พลองไปถือไว้ในมือ
ท่าชิงไม้เท้าจากปากสุนัขนี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าทั้ง 36 ของเพลงไม้เท้าตีสุนัข ในอดีตอั๊งชิงกงได้ถ่ายทอดกระบวนท่าให้เอี๊ยก๊วย ภายหลังอึ๊งย้งถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้จึงสมบูรณ์ ซึ่งท่านี้เป็นท่าที่สำคัญเพราะอึ๊งย้งได้ใช้ท่านี้ชิงไม้เท้าตีสุนัขจากมือเอี๊ยคังทำลายแผนร้ายได้สำเร็จ ส่วนวิชาเกาะดอกท้อ อึ๊งเอี๊ยะซือก็เคยถ่ายทอดให้เอี๊ยก้วยเพื่อไว้กำราบลี้ม๊กโช๊ว และสั่งให้เอี๊ยก๊วยเป็นผู้สืบทอด วิชาทั้งสองแขนงนี้จึงตกทอดมาถึงไท่กั๊วด้วย
นักสู้ปาซีโดนชิงไม้พลองไปจากมือเท่ากับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง อาเหยฉาลาเผิงประคองไม้พลองส่งมอบให้อย่างนอบน้อม กล่าวขอขมา ฝ่ายปาซีก็กล่าวชมเชยในฝีมือ
ยกที่สาม หากแพ้ยกนี้อีกทางฝ่ายปาซีก็ต้องแพ้อย่างสิ้นเชิง จึงตัดสินใจส่งค่ายกล 18 มนุษย์ทองคำลงไปต่อสู้ ซึ่งเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจที่สุดเพราะรวมเอาสรรพวิชาของเส้าหลินทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน กลุ่มนักสู้ปาซีเดินพนมมือเดินลงสนามประลอง ต่างเดินลมปราณด้วยวิชาวชิระคงกระพัน(กิมกังปุกไฮ้ที้ซิ่งกง) พลันรัศมีสีทองเปล่งประกายออกมาจากกายกลายเป็นมนุษย์ทองคำ มนุษย์ทองคำแต่ละตนก็แสดงวิชาแตกต่างกัน ลมปราณวชิระคงกระพันทำให้ร่างกายทนต่อแรงกระแทกของลมปราณ ส่วนวิชาระฆังทองคลุมกายเป็นวิชาภายนอกทำให้ทนต่อคมอาวุธ เป็นสุดยอดวิชาป้องกันตัวของยุทธภพ ในอดีตหลวงจีนหอไตรก็ใช้วิชาวชิระคงกระพันยืนรับฝ่ามือพิชิตมังกรของเฉียงฟงได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หนู่เถ้อส้าลาหรือเซียวเหล่งนุศเห็นก็ตระหนักถึงความร้ายกาจ จึงประกอบค่ายกลเจ็ดเทพธิดาขึ้น หัวของกลุ่มดาวเหนือคือ ฉาฉู่อ๋าง (ชัชชุอร) ใช้การปะทะด้วยพลัง ส่วนหางของกลุ่มดาวเหนือให้ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ (ปลื้มจิตร์) คอยลอบโจมตีฉาบฉวยด้วยความรวดเร็วเหมือนหางแมงป่อง ผีย่าน่าเถ้อ(ปิยะนุช) คอยตั้งรับ ส่วนศิษย์น้องคนอื่นก็รับตำแหน่งดาวที่เหลือ ช่วยกันต้านคู่ต่อสู้
ความพิสดารของค่ายกลมนุษย์ทองคำไม่ได้มีมากมายเหมือนค่ายกลเจ็ดเทพธิดา เพียงแต่อาศัยความหลากหลายของวิชาเข้าสู้ ซึ่งเส้าหลินมียอดวิชาถึง 72 แขนง ซึ่งมีทั้งหนักแน่น นุ่มนวล เชื่องช้า รวดเร็ว สู้บนพื้นหรือบนอากาศ มีทั้งเพลงหมัด เพลงเท้า ดรรชนี เพลงอาวุธมีทั้งสั้นและยาว เรียกว่าครบเครื่องต้มยำเลยทีเดียว ยกเว้นอาวุธลับเท่านั้นที่เส้าหลินรังเกียจนัก หากคู่ต่อสู้มีจุดอ่อนในด้านใดด้านหนึ่งก็จะต้องปราชัย
ฝ่ายปาซีก็วิ่งวนเป็นวงกลมล้อมฝ่ายไท่กั๊วไว้ แต่ละคนใช้วิชาแต่ละแขนงที่ตนถนัดเข้าโจมตี ค่ายกระบี่เจ็ดเทพธิดาก็ตั้งรับอย่างไม่หวั่นไหว หัวบุกส่วนหางคอยตั้งรับ ถ้าหางบุกหัวก็จะตั้งรับแทน หากกลางบุกหัวและหางก็จะคอยป้องกัน แม้บางขณะหัวจะเพลี่ยงพล้ำแต่หางก็เข้ามาแก้ไขได้ทัน แม้หางถูกบุกหนัก ส่วนหัวก็จะเข้าโจมตีเพื่อแก้ไข ทั้งเจ็ดรุกรับประสานคอยเกื้อกูลกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ลมปราณของทั้งเจ็ดก็ไหลลื่นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งนานก็ยิ่งเปล่งอานุภาพขึ้นเรื่อยๆ
ตรงข้ามกับฝ่ายปาซี เริ่มต้นเกรี้ยวกราดเป็นต่อ แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งด้อยลง เพราะเมื่อแต่ละคนทยอยใช้กระบวนท่าไปจนหมดสิ้นแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ เมื่อใช้กระบวนท่าซ้ำก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้น เซียวเหล่งนุศเห็นได้จังหวะก็บัญชาให้ค่ายกลเข้าจู่โจมทันที ค่ายกลมนุษย์ทองคำก็รวนเรหนักขึ้นเรื่อยๆถึงขั้นระส่ำระสาย แต่ละคนก็ได้แต่ป้องกันตนเองรักษาตำแหน่งไม่คิดรุก ฝ่ายล้อมกลับโดนฝ่ายถูกล้อมควบคุมไว้
ผู่ไหลหมู่จี๋เถ้อ ใช้กระบี่ไวในท่าแหวกหลิวแยกบุปผา (ฮุงฮวยฮุกลิ้ว) ในเพลงมวยสาวงามซึ่งเป็นท่าหลอกซ้ายเพื่อจู่โจมขวา นักสู้ปาซีก็พลิกกายเพื่อหลบคมกระบี่ แต่ฉับพลันค่ายกระบี่เจ็ดเทพธิดากลับหางเป็นหัว ฉาฉู่อ๋าง(ชัชชุอร) หมุนวนเข้ามาแล้วฟาดง้าวเหล็ก 80 ชั่งเข้าใส่นักสู้ปาซีที่วิ่งสวนมาจนกระเด็นออกไป ค่ายกลเจ็ดเทพธิดาก็ทะยานออกจากวงล้อมของเหล่ามนุษย์ทองคำได้ ในการประลองค่ายกลถือว่าได้ชัยชนะแล้ว เพราะกลับกันหากฝ่ายสุสานโบราณไม่สามารถทะลวงออกมาได้ก็ต้องนับเป็นฝ่ายปราชัย
ฝ่ายซือแป๋ใหญ่ดัวเน่ายี่(ดนัย)ก็เข้าไปกราบขอขมาหลวงจีนไว้ผมเจ้าสำนักปาซีหลิน หลวงจีนไว้ผมเปไรร่าก็กล่าวยกย่องฝ่ายไท่กั๋ว และกล่าวชื่นชมเซียวเหล่งนุศที่ปัญญาไวมองเห็นช่องโหว่ของค่ายกลมนุษย์ทองคำได้ จากนั้นกล่าวอำลา แต่ระหว่างทางก็ถูกพรรคฝ่ามือเหล็กซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย ต้องยกขบวนหลบหนีกลับปาซีไปอย่างเศร้าสร้อย
จบภาคพิเศษ