...เมื่อฉันตัดสินใจจะไป "พม่า"...
"เออ น่าสนใจ ย่างกุ้งเขาบอกว่าน่าเที่ยว เมืองสวยงาม วัดเยอะ ลองไปดู"
"เอาจริงดิ พม่าไม่น่ากลัวใช่ไหม"
"ไม่นะ พม่าไปทำไม แถวสมุทรสาครก็มี"
"มันคงไม่ต่างจากเมืองไทยหรอกมั้ง?" ฯลฯ
คำพูดของเพื่อนๆ พี่ๆ และคนรู้จัก บอกเล่ากับฉัน เมื่อฉันตัดสินใจจะไปเที่ยวพม่า ทริปนี้ ฉันมีเวลาแค่ช่วงสั้นๆ เลยเลือก ที่จะไปแค่ เมืองย่างกุ้ง.. สงสัยเหมือนกันว่า พม่าจะเป็นอย่างไร จริงๆแล้ว เพราะส่วนใหญ่ก็เห็นได้ทั่วไป ในเมืองไทยอยู่แล้ว.. แต่ฉันอยากที่จะไปเรียนรู้ วัฒนธรรมของพม่า วิถีชีวิตของพม่าว่าจริงๆ แล้ว มันแตกต่างจากชาวพม่าที่อยู่ในเมืองไทยหรือเปล่า..
-------------------
ที่ผ่านมาเคยข้ามไปเที่ยวแต่ตลาดชายแดนไทย-พม่าที่ด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตลาดแม่สาย จ.เชียงราย และตลาดแม่สอด จ.ตาก การเดินทางครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรกที่เยือนพม่าอย่างเป็นทางการ... ฉันถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง ตอน 8 โมงเช้า .. เวลาที่พม่า ช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที หลังจากกรอกใบผ่านแดนแล้ว ก็ตรงดิ่งสู่ ตม. ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้กัน.. "From Thailand?" , "Sa Was Dee Krab" เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง กล่าวต้อนรับฉันสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม มันคงเป็นการเริ่มต้นที่ดีสินะ
การเดินทางในพม่า มีทั้งรถเมล์ Taxi และ รถเหมา หลายคนเคยบอกว่า Taxi พม่า ค่อนข้างจู่โจมนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า "จริงค่ะ!!!" เพราะเพียงแค่ฉันก้าวเท้าออกจาก ตม. มีกลุ่มผู้ชาย 4-5 คน เดินตรงดิ่งมาที่ฉัน พร้อมกับอาสาช่วยถือกระเป๋า หากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ แนะนำให้บอกปฏิเสธไปเลย เพราะถ้าเราชัดเจน เขาจะไม่ยุ่งค่ะ ไม่ต้องกลัวนะ เรามีสิทธิเลือก..
พม่ามีเอกลักษณ์มาก.. เพราะทันทีที่ฉันเริ่มเข้าเมือง 2 ข้างทางที่เห็นคือ ชาวพม่าทั้งชายและหญิง ต่างเดินกางร่มริมถนน การแต่งกายของผู้ชายจะนุ่งผ้าโสร่ง ส่วนผู้หญิงจะเป็นชุดพื้นเมือง เสื้อและกระโปรงเข้ากันมาก เป็นแฟชั่นได้เลยหล่ะ.. ในส่วนของบ้านเมือง เริ่มพัฒนาแล้ว หลังจากเปิดประเทศได้สัก 2-3 ปี เริ่มมีการก่อสร้าง ตึกสูงในแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมยังคงเป็นสภาพเก่าอยู่มาก .. การสัญจรในเมือง เห็นรถจักรยานยนต์น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ ขนาดเล็ก รถเมล์ค่อนข้างเก่า แออัด และผู้คนจะเดินไปตามสถานที่ต่างๆ..
-------------------
สถานที่แรกในการเยือนพม่า คือ เจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมอายุพันปี สีทองอร่าม ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็ประมาณอนุสาวรีย์ชัยฯ เพราะถนนสายหลักทุกสายมุ่งหน้าสู่เจดีย์แห่งนี้ ตามประวัติศาสตร์ในสมัยที่อังกฤษครองพม่า เขาได้วางผังเมืองแบบ Victorian grid-plan โดยยึด เจดีย์สุเล เป็นศูนย์กลาง ฉะนั้นแผนที่ตัวเมืองย่างกุ้ง ถนนจะตัดกันเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมแล้วมีเจดีย์สุเลอยู่ตรงกลางนั่นเอง ..
และด้วยความที่ว่า เจดีย์สุเล ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยรอบจึงตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะมหาบัณฑุละ (Maha Bandoola Park) และซิตี้ฮอลล์
*สถานที่แห่งนี้ เปิดเวลา 04-00-22.00 น. ค่าเข้าคนละ 2 เหรียญ ส่วนค่าทำบุญนั้น ตามศรัทธา..
**วัดในพม่าส่วนใหญ่จะให้ถอดรองเท้า และใส่ถุงหิ้ว ใครไปแนะนำให้เอาถุงพลาสติกพกติดตัวไปด้วย เพราะจะช่วยประหยัดค่าฝากรองเท้าได้เยอะเลยหล่ะ
-------------------
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) ที่ประดิษฐานของพระเกศาธาตุ ด้านในเจดีย์จะเป็นช่องทางเดินเล็กๆ ดูลึกลับ ซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต ด้านในเป็นห้องเล็กประดิษฐานพระเกศธาตุซึ่งเข้าชมได้ครั้งละไม่กี่คนและมีเหล็กกั้นป้องกันไว้ ตามผนังห้องเป็นทองคำอร่ามระยิบระยับสวยงามมาก
นอกจากนี้แล้วศาลาริมน้ำด้านซ้ายของเจดีย์ จะมี “เทพทันใจ” หรือ “นัตโบโบยี” เทพศักดิ์ที่ชาวไทยและชาวพม่าต่างมาอธิษฐานขอพร เพราะเชื่อกันว่า ขอสิ่งใดก็จะสมหวังแบบรวดเร็วทันใจ ซึ่งการสักการะขอพร ต้องทำตามพิธีการของที่นี่ ด้านในจะมีคุณลุงใจดี คอยอธิบายวิธีสักการะให้เราแบบเป็นขั้นตอน ถ้าคนแบบทำบุญจัดเต็ม จะซื้อเครื่องสักการะ ประกอบด้วย ดอกไม้ มะพร้าวอ่อนกล้วย ใบชนะ ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ มาถวายเครื่องสักการะแก่เทพทันใจ แล้วนั่งลงอธิษฐานขอพร (กราบโดยไม่ตองแบมือ) จากนั้นนำธนบัตร 2 ใบ ม้วนเป็นกรวย แล้วนำไปใส่มือของนัตโบยี ไหว้ขอพร แล้วนำหน้าผากแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบยี ดึงธนบัตร 1 ใบ นำกลับไปบูชา แล้วเดินอ้อมไปจับไม้เท้าของนัตโบยี โดยให้หน้าผากแตะไม้เท้าด้วย ส่วนธนบัตรอีกใบใส่ในตู้บริจาค นำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจ เป็นอันจบพิธีค่ะ
*การขอพรเทพทันใจมีข้อแม้ว่า “พรที่ขอทั้งหมดต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ให้ขอเพียงอย่างเดียว และให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้”
**ค่าเข้า 6 พันจั๊ต หรือ 5 ดอลล่าร์ มีบริการฝากรองเท้า
-------------------
ไฮไลต์ ที่พลาดไม่ได้ กับการเยือนเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า นั่นคือ "มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda)" เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของพม่า ประทับใจตั้งแต่ทางขึ้น เพราะมีบันไดเลื่อน.. เห็นแล้วร้องโอ้มายก้อด 3 ครั้งเลยทีเดียว พอขึ้นไปด้านบนแล้ว ประทับใจยิ่งกว่า เข้าใจเลยว่า ถ้าไม่มาที่นี่ คือมาไม่ถึงย่างกุ้งจริงๆ นักท่องเที่ยว หรือชาวพม่าเอง ต่างมาสักการะมหาเจดีย์กันจำนวนมาก หลายคนนั่งสวดขอพรที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ ความศรัทธาที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ ฉันนั่งซึมซับอยู่ที่นี่นานจนพระอาทิตย์ตก..
*ค่าเข้า 8 ดอลล่าร์ / 8พันจั๊ด / 350 บาทไทย
**ใกล้กันมีทะเลสาบกันดอว์จี ซึ่งด้านตะวันออกของชายฝั่งมีภัตตาคารการะเวก (Karaweik) เป็นแบบจำลองเรือพระราชพิธีของกษัตริย์พม่าตั้งตะหง่านสวยงามอยู่กลางน้ำ
-------------------
ตลาดเช้าเมืองพม่า เหมือนกันตลาดสดเมืองไทย ของขายหลากหลาย อาหารสด ผักสด พ่อค้าแม่ค้า ต่างตะโกนเรียกลูกค้าให้ซื้อของ และทุกคนก็เป็นมิตร ยิ้มแย้ม...
-------------------
วัดเจ๊าทัตจี (Chauk That Gyi Pagoda) หรือ พระนอนตาหวาน
พระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน ที่คนไทยเรียกกันว่า "พระตาหวาน" เพราะดวงตาทำจากแก้ว ขนตางอนเด้งสวยงามมาก สถานที่แห่งนี้เปิดทุกวัน เวลา 6.00-20.00 น. และไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
-------------------
ตรงข้ามกับวัดพระนอนตาหวาน คือวัดงาทัตจี (Nga Htat Gyi Pagoda) คำว่า งาทัตยี แปลว่า สูงเท่าตึก 5 ชั้น แกะสลักจากหินอ่อนขนาดใหญ่ ประดับด้วยเครื่องประดับที่ทำมาจากโลหะสีทองลวดลายละเอียดงดงาม ฉากด้านหลังเป็นไม้สักแกะสลัก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ..
-------------------
[CR] 1st Time in Yangon' Myanmar (ในวันที่พม่าเปลี่ยนไป)
"เออ น่าสนใจ ย่างกุ้งเขาบอกว่าน่าเที่ยว เมืองสวยงาม วัดเยอะ ลองไปดู"
"เอาจริงดิ พม่าไม่น่ากลัวใช่ไหม"
"ไม่นะ พม่าไปทำไม แถวสมุทรสาครก็มี"
"มันคงไม่ต่างจากเมืองไทยหรอกมั้ง?" ฯลฯ
คำพูดของเพื่อนๆ พี่ๆ และคนรู้จัก บอกเล่ากับฉัน เมื่อฉันตัดสินใจจะไปเที่ยวพม่า ทริปนี้ ฉันมีเวลาแค่ช่วงสั้นๆ เลยเลือก ที่จะไปแค่ เมืองย่างกุ้ง.. สงสัยเหมือนกันว่า พม่าจะเป็นอย่างไร จริงๆแล้ว เพราะส่วนใหญ่ก็เห็นได้ทั่วไป ในเมืองไทยอยู่แล้ว.. แต่ฉันอยากที่จะไปเรียนรู้ วัฒนธรรมของพม่า วิถีชีวิตของพม่าว่าจริงๆ แล้ว มันแตกต่างจากชาวพม่าที่อยู่ในเมืองไทยหรือเปล่า..
ที่ผ่านมาเคยข้ามไปเที่ยวแต่ตลาดชายแดนไทย-พม่าที่ด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตลาดแม่สาย จ.เชียงราย และตลาดแม่สอด จ.ตาก การเดินทางครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรกที่เยือนพม่าอย่างเป็นทางการ... ฉันถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง ตอน 8 โมงเช้า .. เวลาที่พม่า ช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที หลังจากกรอกใบผ่านแดนแล้ว ก็ตรงดิ่งสู่ ตม. ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้กัน.. "From Thailand?" , "Sa Was Dee Krab" เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง กล่าวต้อนรับฉันสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม มันคงเป็นการเริ่มต้นที่ดีสินะ
การเดินทางในพม่า มีทั้งรถเมล์ Taxi และ รถเหมา หลายคนเคยบอกว่า Taxi พม่า ค่อนข้างจู่โจมนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า "จริงค่ะ!!!" เพราะเพียงแค่ฉันก้าวเท้าออกจาก ตม. มีกลุ่มผู้ชาย 4-5 คน เดินตรงดิ่งมาที่ฉัน พร้อมกับอาสาช่วยถือกระเป๋า หากใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ แนะนำให้บอกปฏิเสธไปเลย เพราะถ้าเราชัดเจน เขาจะไม่ยุ่งค่ะ ไม่ต้องกลัวนะ เรามีสิทธิเลือก..
พม่ามีเอกลักษณ์มาก.. เพราะทันทีที่ฉันเริ่มเข้าเมือง 2 ข้างทางที่เห็นคือ ชาวพม่าทั้งชายและหญิง ต่างเดินกางร่มริมถนน การแต่งกายของผู้ชายจะนุ่งผ้าโสร่ง ส่วนผู้หญิงจะเป็นชุดพื้นเมือง เสื้อและกระโปรงเข้ากันมาก เป็นแฟชั่นได้เลยหล่ะ.. ในส่วนของบ้านเมือง เริ่มพัฒนาแล้ว หลังจากเปิดประเทศได้สัก 2-3 ปี เริ่มมีการก่อสร้าง ตึกสูงในแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมยังคงเป็นสภาพเก่าอยู่มาก .. การสัญจรในเมือง เห็นรถจักรยานยนต์น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ ขนาดเล็ก รถเมล์ค่อนข้างเก่า แออัด และผู้คนจะเดินไปตามสถานที่ต่างๆ..
สถานที่แรกในการเยือนพม่า คือ เจดีย์สุเล (Sule Pagoda) เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมอายุพันปี สีทองอร่าม ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็ประมาณอนุสาวรีย์ชัยฯ เพราะถนนสายหลักทุกสายมุ่งหน้าสู่เจดีย์แห่งนี้ ตามประวัติศาสตร์ในสมัยที่อังกฤษครองพม่า เขาได้วางผังเมืองแบบ Victorian grid-plan โดยยึด เจดีย์สุเล เป็นศูนย์กลาง ฉะนั้นแผนที่ตัวเมืองย่างกุ้ง ถนนจะตัดกันเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมแล้วมีเจดีย์สุเลอยู่ตรงกลางนั่นเอง ..
และด้วยความที่ว่า เจดีย์สุเล ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยรอบจึงตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะมหาบัณฑุละ (Maha Bandoola Park) และซิตี้ฮอลล์
*สถานที่แห่งนี้ เปิดเวลา 04-00-22.00 น. ค่าเข้าคนละ 2 เหรียญ ส่วนค่าทำบุญนั้น ตามศรัทธา..
**วัดในพม่าส่วนใหญ่จะให้ถอดรองเท้า และใส่ถุงหิ้ว ใครไปแนะนำให้เอาถุงพลาสติกพกติดตัวไปด้วย เพราะจะช่วยประหยัดค่าฝากรองเท้าได้เยอะเลยหล่ะ
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) ที่ประดิษฐานของพระเกศาธาตุ ด้านในเจดีย์จะเป็นช่องทางเดินเล็กๆ ดูลึกลับ ซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต ด้านในเป็นห้องเล็กประดิษฐานพระเกศธาตุซึ่งเข้าชมได้ครั้งละไม่กี่คนและมีเหล็กกั้นป้องกันไว้ ตามผนังห้องเป็นทองคำอร่ามระยิบระยับสวยงามมาก
นอกจากนี้แล้วศาลาริมน้ำด้านซ้ายของเจดีย์ จะมี “เทพทันใจ” หรือ “นัตโบโบยี” เทพศักดิ์ที่ชาวไทยและชาวพม่าต่างมาอธิษฐานขอพร เพราะเชื่อกันว่า ขอสิ่งใดก็จะสมหวังแบบรวดเร็วทันใจ ซึ่งการสักการะขอพร ต้องทำตามพิธีการของที่นี่ ด้านในจะมีคุณลุงใจดี คอยอธิบายวิธีสักการะให้เราแบบเป็นขั้นตอน ถ้าคนแบบทำบุญจัดเต็ม จะซื้อเครื่องสักการะ ประกอบด้วย ดอกไม้ มะพร้าวอ่อนกล้วย ใบชนะ ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ มาถวายเครื่องสักการะแก่เทพทันใจ แล้วนั่งลงอธิษฐานขอพร (กราบโดยไม่ตองแบมือ) จากนั้นนำธนบัตร 2 ใบ ม้วนเป็นกรวย แล้วนำไปใส่มือของนัตโบยี ไหว้ขอพร แล้วนำหน้าผากแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบยี ดึงธนบัตร 1 ใบ นำกลับไปบูชา แล้วเดินอ้อมไปจับไม้เท้าของนัตโบยี โดยให้หน้าผากแตะไม้เท้าด้วย ส่วนธนบัตรอีกใบใส่ในตู้บริจาค นำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจ เป็นอันจบพิธีค่ะ
*การขอพรเทพทันใจมีข้อแม้ว่า “พรที่ขอทั้งหมดต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ให้ขอเพียงอย่างเดียว และให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้”
**ค่าเข้า 6 พันจั๊ต หรือ 5 ดอลล่าร์ มีบริการฝากรองเท้า
ไฮไลต์ ที่พลาดไม่ได้ กับการเยือนเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า นั่นคือ "มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda)" เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของพม่า ประทับใจตั้งแต่ทางขึ้น เพราะมีบันไดเลื่อน.. เห็นแล้วร้องโอ้มายก้อด 3 ครั้งเลยทีเดียว พอขึ้นไปด้านบนแล้ว ประทับใจยิ่งกว่า เข้าใจเลยว่า ถ้าไม่มาที่นี่ คือมาไม่ถึงย่างกุ้งจริงๆ นักท่องเที่ยว หรือชาวพม่าเอง ต่างมาสักการะมหาเจดีย์กันจำนวนมาก หลายคนนั่งสวดขอพรที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ ความศรัทธาที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ ฉันนั่งซึมซับอยู่ที่นี่นานจนพระอาทิตย์ตก..
*ค่าเข้า 8 ดอลล่าร์ / 8พันจั๊ด / 350 บาทไทย
**ใกล้กันมีทะเลสาบกันดอว์จี ซึ่งด้านตะวันออกของชายฝั่งมีภัตตาคารการะเวก (Karaweik) เป็นแบบจำลองเรือพระราชพิธีของกษัตริย์พม่าตั้งตะหง่านสวยงามอยู่กลางน้ำ
ตลาดเช้าเมืองพม่า เหมือนกันตลาดสดเมืองไทย ของขายหลากหลาย อาหารสด ผักสด พ่อค้าแม่ค้า ต่างตะโกนเรียกลูกค้าให้ซื้อของ และทุกคนก็เป็นมิตร ยิ้มแย้ม...
วัดเจ๊าทัตจี (Chauk That Gyi Pagoda) หรือ พระนอนตาหวาน
พระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน ที่คนไทยเรียกกันว่า "พระตาหวาน" เพราะดวงตาทำจากแก้ว ขนตางอนเด้งสวยงามมาก สถานที่แห่งนี้เปิดทุกวัน เวลา 6.00-20.00 น. และไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
ตรงข้ามกับวัดพระนอนตาหวาน คือวัดงาทัตจี (Nga Htat Gyi Pagoda) คำว่า งาทัตยี แปลว่า สูงเท่าตึก 5 ชั้น แกะสลักจากหินอ่อนขนาดใหญ่ ประดับด้วยเครื่องประดับที่ทำมาจากโลหะสีทองลวดลายละเอียดงดงาม ฉากด้านหลังเป็นไม้สักแกะสลัก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ..
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น