(กระทู้นี้มีประโยชน์) แชร์ประสบการณ์การรักษาอาการเท้าสั้น หรือ Brachymetatarsia

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาวพันทิปและชาวห้องสวนลุมพินี วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคเท้าสั้น หรือ Brachymetatarsia ให้ได้รู้จักกันนะคะ เหตุผลที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะมีเพื่อนๆ บางคนที่บังเอิญ search ไปเจอบล๊อคเก่าๆ ของเราในบล๊อกแก๊งค์ที่เขียนเรื่องการไปรักษาไว้อย่างสั้นๆ ถามไถ่เกี่ยวกับการรักษามาพอสมควร วันนี้เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์โดยละเอียดเพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาอาการดังกล่าว ออกตัวไว้ก่อนว่าส่วนตัวไม่มีความรู้ในด้านการแพทย์ หากมีข้อผิดพลาดประการใดวานผู้รู้ช่วยแนะนำเพิ่มเติมด้วยนะคะ

NOTE ::  ข้อความส่วนมากมาจากไดอารี่บล๊อคที่เคยเขียนไว้ ภาษาที่ใช้อาจจะไม่เป็นทางการและไม่มีความเป็นวิชาการสักเท่าไหร่นะคะ เอาล่ะ เมื่อพร้อมที่จะอ่านแล้วก็เริ่มเล้ยยย

ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ เราได้เข้ารับการผ่าตัดที่เท้าเพื่อรักษาอาการเท้าสั้นหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Brachymetatarsia อาการเท้าสั้นเกิดจากอะไร? สำหรับตัวเองเกิดจากการที่นิ้วเท้าหักตั้งแต่สมัยเด็กๆ และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง (พูดง่ายๆ คือไม่ได้รักษาเลย) ทำให้นิ้วที่หักต่อกันเอง ผิดรูป และไม่เจริญเติบโตไปตามที่ควรจะเป็น หน้าตาประมาณนี้ค่ะ เท้าน่าเกลียดเล็กน้อย ขออภัยมา ณ ที่นี้ ฮ่า


จากภาพจะสังเกตได้ว่านิ้วนางข้างซ้าย (แหม) หยุดเจริญเติบโตจนนิ้วก้อยโตแซงไปแล้ว ถามว่าเจ็บไหม?? ก็ไม่เจ็บ แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ต้องรักษา? คำตอบในกรณีนี้คือ ‘เพื่อความสวยงามล้วนๆ’ เพราะไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเจ็บปวด การทรงตัว การเดินใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจะหาเรื่องเจ็บตัวไปทำไม!!? ใครไม่เป็นคงไม่เข้าใจนะคะว่ามันทำให้เราไม่มั่นใจเท่าไหร่เลย หน้าตาก็ใช่ว่าจะแย่อะไรมาก แต่พอถอดรองเท้าออกมาทีไรมักจะมีทักตลอดว่า ‘เอ้ยย เท้าเป็นอะไรน่ะ!?’ ‘ตลกดีอ่ะ’ บางครั้งก็เสียงหัวเราะ อะไรกัน ทำไมทุกคนมีความสุขบนความทุกข์ของฉันนนน??

สำหรับสาเหตุของนิ้วที่หัก อันนี้พอจะจำได้รางๆ ว่าเตะเสาประตูฟุตบอล ตอนเด็กๆ แบบว่าซนยักษ์เลย จำได้ว่าตอนที่เตะเสามันก็เจ็บนะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เจ็บ อารมณ์ซน ไม่กล้าบอกแม่ด้วยตอนนั้น กลัวโดนเอ็ด หุหุ พอหลายปีผ่านนั่นแหละถึงได้ประจักษ์แก่ผลของมัน ว่าการเตะเสาครั้งนั้น มันทำเราเจ็บปวดหัวใจแค่ไหนนน คติเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเจ็บหรือเป็นอะไรมาควรจะบอกผู้ใหญ่นะคะ ส่วนพ่อหรือแม่ก็ต้องดูลูกด้วย ในกรณีนี้แม่ก็บอกเหมือนกันว่า ไม่ได้ดูแถมใครจะไปรู้ว่าเอ็งไปซนมาจนนิ้วหัก ไม่เห็นบ่นอะไรซักคำเดียว

พบคุณหมอ
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องการรักษา จริงๆ รู้ว่าตัวเองนิ้วไม่โตมานานแล้ว แต่เนื่องด้วยตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก จนกระทั่งโตเข้ามหา'ลัยมันก็มีเริ่มคิดแหละ เหมือนเป็นปมด้อยเล็กๆ เพราะคนชอบถามซ้ำๆ จัง ว่าเป็นอะไร บางคนหัวเราะด้วย เจ็บปวดที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด จนในที่สุดความอดทนก็หมดลง ณ วันหนึ่ง จำได้ว่า ดราม่าหนักเลย จนแม่ทนไม่ไหวต้องพาไปหาหมอเพื่อทำการปรึกษาในที่สุด

ช่วงปี 2553 แม่พาไปปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น พอไปที่โรงพยาบาลแม่ขอรีเควสว่าขอพบ คุณหมอท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านออโธปิดิกส์หรือด้านกระดูก (วันนั้นจำได้ว่าโดนคุณพยาบาลดุ ว่าหมอคนไหนก็เก่งเหมือนกันนั้นแหละ!! ฮ่า)

และแล้วเราก็ได้พบคุณหมอท่านนั้นตามที่คุณแม่ร้องขอ คุณหมอก็ตรวจซักอาการ จากนั้นก็ส่งไปเอ็กซ์เรย์ ผลออกมาปรากฏว่า ‘นิ้วหัก!’ และหักจนต่อกันเองไปแล้ว คุณหมอน่ารักมากถามว่า ‘แล้วจะทำอะไรกับมันล่ะ’ ก็เลยตอบกลับไปว่า ‘ทำอะไรก็ได้ค่ะ ขอให้มันกลับมาเป็นนิ้วเท้าปกติแบบคนทั่วไปพอ’ คุณหมอก็เลยบอกว่า ‘งั้นก็ต้องผ่าตัดนะ’ ตอนนั้นลังเลเล็กน้อย หันไปมองหน้าคุณหมอทีหน้าแม่ที คุณหมอเลยถามต่อไปอีกว่า ‘จะเอาแผลเป็นหรือจะเอานิ้วเล็ก’ ข้าพเจ้าเลยรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า ‘เอาแผลเป็นดีกว่าค่ะ’ คุณหมอก็ถามอีกว่า "แล้วจะสะดวกตอนไหนที่จะผ่าตัดได้" แต่เนื่องจากตอนนั้นยังเรียนอยู่ปี ๒ กำลังวุ่นวายกับการเรียน ก็คงผ่าไม่ได้เพราะแม่คงไม่ว่างตามไปดูแลที่หอพัก ไปรับไปส่งไปเรียนแน่ๆ ก็เลยบอกว่า งั้นเอาไว้ปิดเทอมตอนปี ๔ (หรือตอนเรียนจบแล้ว) ค่อยว่ากัน คุณหมอก็น่ารักมากกก โอเค เขียนบัตรนัดให้ อีก ๒ ปี เจอกัน

การใช้สิทธ์บัตรทอง
เมื่อต้นปี ๒๕๕๕ ซักเดือนมีนาคม สอบไฟนอลเสร็จ ก็ไปหาคุณหมออีกรอบเพื่อพูดคุยถึงเรื่องการรักษา รวมไปถึงเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เนื่องจากการผ่าตัดหากจะจ่ายเองทั้งหมดนั้นก็คงจ่ายค่ารักษาเยอะพอสมควร คุณหมอเลยแนะนำให้ใช้สิทธิ์บัตรทอง หรือสามสิบบาทรักษาทุกโรคในการรักษา การจะใช้สิทธิ์บัตรทองนั้น เราต้องกลับไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีชื่อระบุไว้ในบัตรทอง เพื่อขอทำการส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งการที่จะยอมให้ส่งตัวหรือไม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอที่เราไปขอใบส่งตัวด้วย เพราะเราไม่ได้เจ็บปวดอะไร ต้องการที่จะผ่าตัดรักษาอาการผิดปกติหรือเรียกง่ายๆ ว่าศัลยกรรมเพื่อความสวยงามเฉยๆ โชคดีที่คุณหมอที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเข้าใจและโอเคกับเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่านิ้วของเราเคยหักมาก่อนจริงๆ (ดูจากฟิล์มเอ๊กซ์เรย์) พอได้ใบส่งตัวมาก็กลับไปนัดวันผ่ากับคุณหมอที่โรงพยาบาลแรก

แอดมิด
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นจุดเริ่มต้นของการผ่าตัด หลังจากพบคุณหมอและตรวจเบื้องต้นเสร็จ คุณหมอก็สั่งให้ไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ เอ็กซ์เรย์และแอดมิดรอผ่าตัดเลย ห้องที่พักเป็นห้องรวมที่เป็นห้องของผู้ป่วยออโธปิดิกส์โดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นเพื่อนเตียงข้างๆ จึงเต็มไปด้วยผู้ป้วยที่มีปัญหาด้านกระดูกทั้งสิ้น ประสบอุบัติเหตุมาบ้าง ข้าแข้งหักมารอผ่าตัด อาการผิดปกติด้านกระดูกบ้าง มีทั้งคุณย่าคุณยาย คุณปู่คุณตา เพื่อนๆ น้องๆ รวมถึงรุ่นเบบี๋ น้องเตียงข้างๆ อายุอ่อนกว่า ๓-๔ ปี มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังคดซึ่งเห็นได้ค่อนข้างชัดเวลาเดิน ซึ่งจะผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่ม๊ากกกก ผิดกับเราลิบลับเรื่องเล็กๆ แค่นิ้วเท้า

ตอนเช้าวันต่อมาคุณหมอเข้ามาคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่าตัดว่าต้องทำอะไรยังไงกันบ้าง สรุปว่าเราต้องโดนผ่าถึง ๒ ที่ (อ้าววว  ) คือที่เท้า และกระดูกเชิงกราน เนื่องจากกระดูกที่เท้าโตไม่เต็มที่ทำให้ต้องตัดกระดูกที่เชิงกรานมาเสริม งี๊ดดดดด สรุปเจ็บสองเด้งง ตกเย็นคุณหมอวิสัญญีเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดมยา แล้วถามว่าจะเอาแบบไหน บล๊อกหลัง ยาชา ยาสลบ เลือกเอา แต่ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย เลยบอกว่า ตามสบายเลยค่ะ ขึ้นอยู่กับการดุลยพินิจของคุณหมอเจ้าของไข้แล้วกัน งานนี้ฝากไว้ในมือหมอ จากนั้นก็เอาใบยินยอมผ่าตัด (เรียกอย่างนี้ไหมนะ) มาให้เซ็นต์พอกินข้าวเย็นเสร็จ คุณพยาบาลก็เดินมาบอกว่าหลังเที่ยงเที่ยงคืนให้งดน้ำ งดอาหาร สุดยอดของความร้าวราน เพราะปกติเป็นคนที่ติดการจิบน้ำมาก เรียกได้ว่าดื่มทุกๆ ห้านาที  

ผ่าตัด
วันที่ ๑๗ พฤษภาฯ ตื่นมาพร้อมด้วยอาการกระหายจะเป็นจะตายให้ได้ ข้าวก็กินไม่ได้ เตียงข้างๆ กินกันแซบนัว เรากลืนน้ำลายเอือกๆ สิบโมงกว่า คุณพยาบาลมาพร้อมกับกระปุกน้ำเกลือและเข็ม!! น้ำเกลือกระปุกแรกในชีวิตถูกแทงเข้าที่หลังมือ เจ็บจี๊ดด จากนั้นก็ถึงเวลาเข้าห้องเชือด คุณพยาบาลเอาชุดเขียวมาให้เปลี่ยนนอนรออยู่แป๊ปๆ ก็มีเวรเปลจากห้องผ่าตัดมารับ

แว้บแรกในห้องผ่าตัดคือคุณหมอเล็ก (ลูกศิษย์คุณหมอใหญ่) กำลังนั่งดูรูปถ่ายไอ้นิ้วเล็กๆ ของเรา เทียบกับนิ้วเท้าอีกข้างที่ปกติ จากนั้นก็ถูกย้ายขึ้นเตียงผ่าตัด คุณพยาบาลมาติดอุปกรณ์มากมาย หลายนาทีต่อมาคุณหมอวิสัญญีก็มาฉีดยาสลบ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือ คุณพยาบาลโทรหาคุณหมอเจ้าของไข้ บอกว่า "คนไข้มาถึงแล้วนะคะ คุณหมอมาได้เลย" จากนั้น ข้าพเจ้าก็สลบไสล ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ในห้องที่มีคนไข้รอฟื้นนอนเต็มไปหมด ที่จมูกมีหน้ากากอ๊อกซิเจนแปะอยู่ พองัวเงียขึ้นมา งงๆ งวยๆ คุณพยาบาลก็เข้ามาถามอาการว่า "เวียนหัวมั้ยคะ?" "หายใจเองไหวมั้ยคะ?" แล้วก็วัดความดัน โน่นนี่นั่น พอบอกว่าไหว สบ๊ายสบาย ไม่เวียนหัว คุณพยาบาลก็ขอถอดอุปกรณ์ต่างๆ ออก จากนั้นก็ถูกส่งตัวกลับห้องพักฟื้นแว้บแรกที่ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เห็นหน้ามารดา โอ้โห! ไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อนเลย

และแล้วก็ถึงเวลาแห่งความเจ็บปวดอันแท้จริง คืนนั้นทั้งคืนก็แทบไม่ได้นอน ปวดแผลม๊ากกกก แถมแผลมีเลือดซึมตลอดเวลา สรุปวันนั้นโดนให้ยาระงับปวดผ่านทางสายน้ำเกลือไปราวๆ ๖ เข็ม พอตกดึกก็เกิดอาการฉี่ไปออก ตั้งแต่ผ่าตัดยันห้าทุ่มเลย นั่งก็แล้ว นอนก็แล้วก็ไม่ออก จนสุดท้ายคุณพยาบาลกลัวกระเพราะปัสสาวะคนไข้จะแตกตายเลยต้องไปเรียกคุณหมอเวร (ขึ้นเวรนะจ๊ะ) ให้มาสวนให้ โชคดีที่คุณหมอเป็นสาวเหมือนกัน (ที่ไม่ใช่ผู้หญิงอ่ะนะ) เลยไม่ค่อยรู้สึกกระดากเท่าไหร่ คุณพยาบาลสองคุณหมอหนึ่งมาก้มๆ เงยๆ ยุ่งวุ่นวายกับอวัยวะสำหรับฉี่ของเรา อ๊าย อาย

เช้าวันต่อมาคุณหมอมาถอดสายสวนฉี่ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะไม่ยอมฉี่เอง พอมาลองฉี่เองก็ฉี่ไม่ออกอีก เลยขอคุณพยาบาลไปห้องน้ำ กระโถนไม่ไหวล่ะ ให้ใช้ต่อไปท่าจะโดนสวนอีกรอบ พอไปห้องน้ำก็สบายบรื๋อปกติสุดๆ สรุปไอ้ที่ไม่ฉี่จนต้องโดนสวนนี่เป็นเพราะไม่ชินแค่นั้นเองล่ะมั้ง ส่วนแผลปวดน้อยลง แต่ยังโดนให้ยาแก้ปวดไปหลายเข็มเหมือนเดิม


สภาพหลังจากผ่าตัด


วันที่ ๑๙ พฤษภาฯ คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ก่อนกลับคุณหมอมาตรวจ เปิดแผลและเปลี่ยนเฝือกใหม่ เพราะเฝือกเก่าเกินเยียวยา เลือดซึมเยอะมากกกกกกก เห็นแผลตัวเองครั้งแรกตะลึงและสะพรึงไปเลย บวม มีลวดสามเส้นจิ้มที่เท้า ยึ่ยย สยองงง  หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดอีกหกอาทิตย์เพื่อมาดูอาการ

NOTE :: การผ่าตัดในครั้งนี้ผิดกับที่เราคิดไว้สุดๆ เลย เพราะเคยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไว้เป็นการรักษาอีกแบบ คือเป็นการรักษาโดยการผ่าตัดเหมือนกัน แต่มีการใส่เครื่องมือ เพื่อเป็นการยืดกระดูกที่เท้าให้ค่อยๆ ยาวออก ซึ่งกินเวลามากต้องยืดทุกวัน หรือไม่ก็ยืดเดือนละกี่ครั้งๆ ตามคำสั่งแพทย์หรือให้แพทย์ยืดให้ (ถ้าจำไม่ผิด) หน้าตาเครื่องมือก็ตามรูปด้านล่าง (จากอินเตอร์เน็ต) ผ่าตัดใส่เครื่องมือเข้าไป แล้วก็ขันๆๆ จนนิ้ว (จริงๆ คือกระดูก) จะยาวออกมาอย่างที่ควรจะเป็น สมดุลกับนิ้วอื่นๆ ส่วนในกรณีของเรานั้นคุณหมอเฉือนๆๆ ไม่มีการใส่เครืองมือดังกล่าวค่ะ คลิ๊กสปอยด์เพื่อดูภาพ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

กลับบ้าน
พอกลับมาอยู่ที่บ้านก็นอนเบ็บเสียส่วนใหญ่ หากจะลุกเดินก็ต้องพึ่งไม้ค้ำยันทั้งสองข้าง จะเดิน จะนอน จะนั่ง จะอาบน้ำทุกอย่างเป็นไปด้วยความยากลำบาก ลำบากมารดาเสียส่วนใหญ่ ช่วงนั้นช่วยตัวเองมากไม่ได้รู้สึกจิตตกสุดๆ บ่นโอดโอยทุกวัน จนแม่ต้องปลอบใจว่า ‘เลือกเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องยอมรับมันให้ได้’ หนทางสู่การมีนิ้วที่ปกติช่างยากลำบาก!

ปล. ขออนุญาตซ่อนชื่อแพทย์และโรงพยาบาลนะคะ อยากทราบชื่อและโรงพยาบาลกรุณาหลังไมค์มาค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่