พ่ออาละวาด โมโหง่ายมาก อยากมีsexทุกคืน ชอบแกล้งทำเป็นป่วย หวาดระแวงไปทุกเรื่อง จนเรากลายเป็นโรคซึมเศร้า

ผ่านมา 2 ปีแล้วตั้งแต่ที่เราเรียนจบมหาลัย เรากลับบ้าน เพราะตั้งใจว่าจะมาพักก่อนเพื่อหาทางว่า จะทำงานที่ไหนหรือเรียนต่อที่ไหน เหมือนกลับมาตั้งหลักอะ แต่ซักเดือนกว่าใจเรามันก็ไม่อยู่บ้าน เราเริ่มอยากทำงาน อยากเรียนต่อ อยากกลับไปอยู่กรุงเทพอีกรอบ แต่พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพ่อเราก็โมโห ด่าว่าเรา อาละวาดเขวี้ยงถ้วยจานใส่เรา จนเรากลัว ซึ่งเค้าให้เหตุผลว่า จะไปอยู่ทำไมที่กรุงเทพ เงินเดือนก็น้อย บ้านก็ไม่มีต้องเช่าหอ เปลืองเงินเปล่าๆ ไปให้คนอื่นโขกสับทำไม อะไรทำนองนี้ แต่เรายังอยากไปต่อยังไม่อยากอยู่บ้าน
     เราได้มองเห็นทางที่เราสามารถไปต่อได้(หมายถึงพ่อเราให้ไปแน่นอน) คือการเรียนหมอ แม่เราเสนอว่าลองบอกป๊าว่าจะสอบแพทย์ดิ เราบอกพ่อไป พ่อเราดีใจมากอะ มากแบบมากๆๆ แค่สอบนะ พ่อเราเชื่อว่าเราติดแน่นอนและจะให้ไปเรียน เราตัดสินใจทิ้ง 1 ปีที่เราจะได้เริ่มต้นชีวิตทำงาน เจอสังคมใหม่ๆเจอเพื่อนใหม่ เราทิ้งไปหมดเพื่อที่จะอ่านหนังสืออยู่บ้าน ชีวิต 1 ปีที่อยู่แต่บ้านทำเอาเราแทบบ้า เราร้องไห้ติดกันหลายคืน มันทุกข์ทรมาณมากจริงๆอะ เหมือนถูกขังคุกเลย ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือแต่ก็ต้องอ่าน พอประกาศคะแนน กสพท.รอบแรก เราได้ 51 คือไม่ติดอะไรเลย พ่อเราก็บอกให้เราอยู่บ้านทำร้านต่อ

    บ้านเราขายหนังสือ ซึ่งเราบอกเลยว่ามันแทบจะไม่มีลูกค้า เพราะมันคือร้านแบบstand alone ไม่ได้ขึ้นห้าง ไม่ได้ขายดิบขายดี และถ้าเรามาอยู่คือนั่งเฝ้าร้านเฉยๆอะ เราเบื่อมาก เราไม่มีสังคม เราขอพ่อไปทำงาน อยากได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา พ่อเราก็อาละวาดอีก ด่าเราว่าลูกอกตัญญู ทิ้งพ่อแม่ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปอยู่คนเดียว
     ตอนอยู่บ้านนะ เราต้องทำงานบ้านช่วยแม่เราทุกอย่าง น้องเราเรียนแพทย์ ตอนไปเยี่ยมน้อง เราก็ต้องไปทำความสะอาดห้อง พับกางเกงในให้น้อง คือทำทุกอย่างอะแหละ น้องเราก็อ่านแต่หนังสือ คือพ่อเราโอ๋น้องที่เรียนหมอมากๆ ตัวอย่าง น้องเราขับรถกลับมาจากมหาลัย พ่อเราก็รีบไปรับ ไปช่วยขนหนังสือลงมาจากรถ คืองานบ้านอื่นๆน้องไม่ต้องแตะเลย ให้อ่านหนังสืออย่างเดียว ซึ่งถามว่าเราเต็มใจทำให้น้องมั้ย เราก็เต็มใจแหละ ไม่ได้คิดรังเกียจอะไร แต่แค่เราก็อยากทำงานของตัวเองไง อยากเรียนต่อด้านที่เราเรียนมา คือเอาง่ายๆมีชีวิตเป็นของตัวเองอะ แต่นี่คือถูกบังคับให้อยู่แต่บ้านๆๆ ทำงานบ้าน อะไรแบบนี้

    ปี 2015 เราขอพ่อไปทำงานไม่สำเร็จ เราเลยตัดสินใจทิ้งอีกปี เพื่อจะสอบ กสพท.อีกรอบ เราลงเรียนครูอุ๊ หมอพิชญ์ อ.อรรณนพ คือแบบใช้เงินเก็บทั้งหมดของเราจ่ายไป (คือตอนปี 2014 ที่เราเตรียมสอบ กสพท.รอบแรก ก็มีงานเข้ามาให้เราทำเรื่อยๆนะ จากเพื่อนเรานี่แหละ เราเป็นฟรีแลนซ์ออกแบบกราฟิก เลยทำให้เรามีรายได้ไปด้วย) โห เราบอกเลย เป็นอีกปีที่นรกสุดๆ เวลาเล่นเฟสบุ๊คงี้อะ เราเลื่อนดูชีวิตเพื่อนเราแต่ละคน บางคนได้เลื่อนขั้นแล้วทำงานแค่ปีเดียว บางคนสอบชิงทุนได้ บางคนพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ คือแบบทุกคนดูโตขึ้นมาก ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนภูมิใจกับเงินที่หามาได้ แต่เรายังมัวมาสอบอะไรนี่ แล้วไม่รู้จะติดรึเปล่าด้วย ท้อแท้แบบจะตายให้ได้เลย ร้องไห้ทุกวัน แต่ระหว่างนี้ เราโชคดีมากที่ได้เพื่อนดีคอยส่งงานให้เราทำตลอด เราก็ได้รายได้เรื่อยๆ มันทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

    จนมาถึงตอนช่วงเดือนตุลา เราไม่ไหวจริงๆเราเลยตัดสินใจบอกพ่อเราอีกที ว่าเตรียมตัวสอบไม่ไหวแล้ว ขอไปทำงานได้มั้ย อยากทำงาน อยากมีสังคม อยากเรียนรู้ พ่อเราก็ไม่ให้ ทั้งด่าว่าเรา และบังคับเราว่าถ้าไม่สอบก็เฝ้าร้าน เราไปนั่งเฝ้าร้านได้ไม่กี่วันเราหันไปตั้งใจอ่านหนังสือสอบดีกว่า อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกดีกว่านั่งเฝ้าร้านเฉยๆ คือเราเป็นคนประเภทที่แบบอยู่เฉยๆไม่ได้ แต่พ่อเราจะชอบพูดว่าอยู่บ้านนี่แหละ อยากได้อะไรเดี๋ยวหามาให้ เดี๋ยวซื้อมาให้ แต่ในขณะที่สังคมของเราเพื่อนเราแต่ละคนหามาได้เองกันแล้ว บางคนซื้อไอโฟนใช้เองแล้ว บางคนอยากไปเที่ยวต่างประเทศตอนไหนก็ได้ไป บางคนผ่อนคอนโดแล้ว มันทำให้ Self-esteem ของเราต่ำลงเรื่อยๆ เราบอกพ่อไปเรื่องนี้ เค้าก็ไม่เข้าใจนะ บอกว่าอยู่บ้านนี่แหละจะไปทำไมกรุงเทพ ทำงานแล้วได้อะไรไปเป็นลูกจ้างเค้าเปล่าๆ หรือเรียนต่อโทไปทำไม จะได้ใช้หรอ เรียนไปก็แค่นั้น ซึ่งเราก็เคยบอกพ่อเราไปแล้วว่าเป้าหมายของเราคืออะไร พ่อเราก็ไม่เคยรับฟังซักที บอกว่าทำไมไม่ช่วยกันทำร้าน ซึ่งเราบอกเลยนะว่า เราไม่ถนัดขายของ เราไม่ชอบ เราไม่เหมาะกับมันจริงๆและเราว่าเราทำไม่ได้ดีด้วย เราอยากเอาดีด้านการศึกษามาก แต่เหมือนพ่อจะเห็นด้านการศึกษาว่าคือการเรียนหมอเท่านั้นอะ

    การขอพ่อไปทำงานแต่ละรอบใช้พลังงานเยอะมาก มันทำให้เราร้องไห้ทุกครั้ง เราเสียใจว่าทำไมพ่อเราไม่เปิดใจเลย ทั้งเสียใจทั้งต้องรับมือกับถ้อยคำรุนแรงและไม่รู้จะอาละวาดอะไรใส่เราอีก อีกทั้งยังขู่ด้วยว่าถ้าเราไป ไม่รับรองนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวและแม่ของเรา เราขอให้แม่เราช่วยแม่เราก็พยายามช่วยพูดนะ แต่บ้านเราพ่อเราเหมือนเป็นคนใหญ่สุดอะ ปกครองแบบคนจีนสมัยก่อน แล้วอีกอย่างพ่อเราพูดกับเราอย่างนึง แต่ไปบอกแม่เราอีกอย่างนึง เช่น เราบอกพ่อว่าอยากออกไปทำงาน พ่อเราบังคับให้เราอยู่บ้าน แต่พ่อเราไปบอกแม่เราว่าเราอยากลองทำร้านดู อ้าวว แม่เราก็เชื่อพ่อ เราเลยไม่รู้จะทำไง เวลาเราบอกว่า คุยกันสามคนมั้ยคะ จะได้รู้กันไปเลยว่าจะใครต้องการอะไร พ่อเราก็ไม่เคยมาคุยแบบสามคน จะชอบเรียกเราไปคุยกับเค้าสองคน จนเรากลัวเลยอะเวลาที่แบบพ่อเราเรียกเราไปคุย เพราะเรารู้ว่าอย่างน้อยเค้าต้องด่าเรา และบังคับเรา

    มีครั้งนึงเราขับรถจากครูอุ๊จะกลับบ้าน พ่อเรานั่งมาด้วย เราจำไม่ได้แล้วว่าพ่อเราโกรธเราเรื่องอะไร โห ตะโกนใส่เราทั้งๆที่เราขับรถอยู่อะ ด่าแบบฉอดๆๆๆ จนเราร้องไห้ กลับมาบ้านแม่เราก็เห็นหน้าตาเราก็ดูออก แม่เราเลยไปว่าพ่อว่าทำอะไรใส่เรา พ่อเราก็โมโหแม่กลับ ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลย เราต้องพาพ่อเราออกมาข้างนอกให้แม่อยู่บ้าน พ่อเราก็มาด่าเราต่อคือแบบเรากลายเป็นที่รองรับอารมณ์ทุกอย่างไปเลย ช่วงนั้นเราเตรียมตัวสอบอยู่ด้วยนะ พอสงบใจได้แล้วก็พาพ่อกลับมาบ้าน เราก็อ่านหนังสือต่อทั้งๆที่ร้องไห้ไปด้วย ทรมาณสุดๆเลย

    สรุปผลสุดท้าย ประกาศคะแนนกสพท.ปี 2015 เราได้ 57 ก็ไม่ติดอีกนั่นแหละ เราเลยขอพ่ออีกครั้งว่าป๊า ขอไปทำงานนะ ไม่ชอบเฝ้าร้านจริงๆ พ่อเราก็พูดใส่ว่ายังไม่เห็นอีกหรอที่พ่อแม่ทะเลาะกันเพราะใครเป็นต้นเหตุ ทำไมไม่รู้จักสำนึกซะบ้าง พ่อเราก็ไม่ใ้ห้ และมานั่งด่าเราเวลาที่เค้าระแวงสงสัยเราว่าเราแอบสมัครงานหรือเวลาเค้าเห็นเรานั่งดูเว็บทุนการศึกษา

    เราเครียดทุกวันหลังจากประกาศผลสอบ อารมณ์เหมือนต้องติดคุกไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ อยากตายมากๆ แต่เรามีสติที่จะบอกตัวเองว่า เราต้องได้ออกไปเจอโลกข้างนอก ได้ทำงาน ได้เจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่ความคิดเหล่านี้มักจะพังครืนลงมาเวลาที่เราอยู่กับพ่อ เหมือนเค้าดึงรั้งเราไว้ ไม่ให้เราไปไหน ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไม

    หลังประกาศผลว่าเราไม่ติดกสพท. เราตัดสินใจว่าเราต้องไปแล้ว เราเลยแอบสมัครงานกระทรวงเอาไว้ และสมัครเรียนต่อโทเอาไว้ หนังสือที่อ่านเรายังต้องเอาปกการ์ตูนมาห่อทับ ไม่ให้พ่อรู้อะ คิดดู แล้วเราก็ต้องเข้ากรุงเทพเพื่อไปสอบ ปกติเวลาเข้ากรุงเทพ พ่อเราจะไปด้วยทุกครั้งคือจะประกบติดตลอดเวลาอะ แต่ครั้งนี้เราบอกพ่อเราไปว่าจะเข้าไปรับงานเอากลับมาทำที่บ้านแป๊บๆเดี๋ยวกลับ เค้าเลยให้ สรุปคือใน 1 เดือนเราเดินทางเข้ากรุงเทพทั้งหมด 5 ครั้ง เล่นเอาป่วยเลย (ที่เค้าเชื่อเพราะเค้ารู้ว่าเราทำฟรีแลนซ์ และบางทีต้องเข้ากรุงเทพไปรับงานมากลับมาทำ) แต่ล่าสุดเหมือนเค้าจะจับได้ว่าเราแอบไปสอบ เพราะเค้าค้นกระเป๋าเดินทางของเราและเจอใบสมัครสอบ ก็เลยเรียกเราไปคุยด้วย เรารู้เลยว่าถึงคุยไปก็แบบเหมือนเดิมอะ ด่าๆๆ แล้วก็บังคับเราอีก เราเลยต้องบอกไปว่า ไปสอบวัดระดับภาษาเฉยๆไม่มีไร แล้วเราก็หนีออกจากบ้านมานั่งร้านกาแฟ

    แต่วันถัดมา พ่อเรา(น่าจะแกล้ง)ป่วย นอนขยับตัวไม่ได้ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร บอกว่าตัวเองแก่มากๆแล้ว และตอนนี้ปวดหลังมาก ทำท่าแบบคนเป็นอัมพาตอะ เราก็ต้องนั่งเฝ้าพ่อที่นอนร้องไห้ ขยับไปไหนไม่ได้เหมือนคนเป็นอัมพาต น้ำตาพ่อก็ไหล คือเรารู้สึกแย่มากๆ แย่ที่เห็นพ่อทำตัวแบบนี้ เหมือนเรียกร้องความเห็นใจจากเรา ให้เราอยู่แต่บ้านๆๆๆเท่านั้น คือเราเกลียดพฤติกรรมที่คนนึงร้องไห้โดยไม่คิดถึงอีกคน พ่อเราไม่เห็นเราร้องไห้ เราร้องไห้ทุกคืน เราร้องไห้ตอนไปเรียนพิเศษ เราร้องไห้ตอนอยู่ร้านกับแม่ แต่เค้าไม่เห็น ถึงเค้าเห็นเค้าก็บังคับเราอยู่ดี เราเลยนั่งดูเค้าอย่างนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่พอแม่เราเดินเข้ามาร้าน พ่อเราก็ลุกได้ปกติแล้วก็ขับรถออกไป

    ความรู้สึกตอนที่อยู่ร้านมันแย่มากๆ โดยเฉพาะกับเวลาที่เจอลูกค้า มีลูกค้าบางคนที่เค้าจะรู้ว่าร้านเรามีลูกเรียนหมอ เวลาเข้ามาเห็นเราเค้าก็จะพูดแบบ อ้าวสวัสดีคุณหมอ พอเราบอกไม่ใช่เป็นน้องเราต่างหากที่เรียน เค้าก็จะถามถึงน้องบ้าง พูดปลอบใจเราบ้าง ยกตัวอย่างนะ
ลูกค้า : เรียนจบยัง
เรา : จบแล้วค่ะ(งงว่ารู้จักเราด้วยหรอ)
ลูกค้า :  ไปประจำอยู่โรงพยาบาลไหนละครับคุณหมอ
เรา(นิ่งไปซักพัก) : อ่อ ไม่ได้เรียนหมอค่ะ 
ลูกค้า : อ้าว
เรา : น้องชายเรียนค่ะ
ลูกค้า : อ้อๆ เรียนอะไรก็ดีหมดแหละ กลับมาช่วยพ่อแม่ที่บ้านก็ดี เป็นหมอก็มาช่วยแบบนี้ไม่ได้นะ

    คือ...เรารู้ว่าเค้าคงพูดแบบรักษาน้ำใจเราอะ แต่มันรู้สึกแย่จริงๆนะ เหมือนพูดปลอบใจ มันแย่จริงๆ บทสนทนาแค่นี้ทำเราร้องไห้ได้เลยอะ คือเราไม่ได้อยากมาทำร้านไง ไม่ได้หางานไม่ได้แล้วมาช่วยพ่อแม่ เราอยู่แบบไม่มีความสุขเลยในแต่ละวัน เราเหมือนคนไม่มีที่ยืน ไม่มีเพื่อน เราไม่รู้ว่าพ่อแม่หรือใครต่อใครพูดไปถึงไหนว่าลูกร้านนี้เรียนหมอ แต่คือเราไม่ได้เรียนไง แล้วพอไม่ได้เรียนมาช่วยแบบนี้เหมือนคนที่หางานไม่ได้อะ 
    ทุกวันนี้นอนเยอะมาก แบบไม่อยากตื่น แต่ต้องตื่นเพราะต้องมาเฝ้าร้าน ปกติตื่นนอนในแต่ละวันเราจะมีแพลนในหัวทันทีเลยว่าวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เราจะทำ แต่ทุกวันนี้คือแบบ ตื่นมาเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะตื่นมาทำอะไร เบื่อ อยากนอนต่อไปเรื่อยๆ เพราะถึงตื่นมา ชีวิตเราก็นั่งเฝ้าร้าน อะไรที่เราชอบเช่น วาดรูป เราก็ไม่อยากทำ ข้าวเราก็ไม่อยากกิน เราเบื่อ เราร้องไห้เยอะมาก บ่อยมาก อะไรมากระทบจิตใจเล็กๆน้อยๆก็ร้องไห้ แล้วตอนกลางคืน พ่อจะชอบเรียกแม่ให้ขึ้นไปอยู่ในห้องนอนด้วยกัน คืนไหนแม่ไม่ขึ้นไป พ่อจะโมโหแบบโวยวาย พูดด่าๆ จนเรากลัว แม่เล่าให้ฟังว่าพ่ออยากมีsex ด้วย 
คืนไหนแม่เหนื่อยก็ต้องมีทะเลาะกัน เป็นแบบนี้เกือบทุกคืน    จนเรารู้สึกกลัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความสุขเลย
  
         เดือนพ.ค.เราเลยไปพบจิตแพทย์ ก็ได้ยารักษาโรคซึมเศร้ามา แต่ไม่ได้บอกพ่อ จนมาวันนี้ แม่บอกพ่อเรื่องเราต้องกินยารักษาโรคซึมเศร้า พ่อเราตอบกลับมาว่า เออ! ผมก็อยากฆ่าตัวตายเหมือนกันนั่นแหละ อันนี้แม่เล่าให้เราฟัง เห็นได้ว่าพ่อไม่ได้ห่วงเราเลยว่าเราเป็นอะไร แล้วส่งไลน์มาหาเราแบบนี้






    คือแบบ...พ่อเราไม่รู้จริงๆหรอว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เราเกลียดการไปนั่งเฝ้าร้านมากแบบไม่ไหวแล้ว เราตัดสินใจว่าจะบอกพ่อเรื่องเรียนต่อ (พอดีสอบติดโทไปแล้ว) แต่เราไม่รู้จะบอกตอนไหน ยังไง แล้วเราต้องเตรียมรับมือกับอะไรบ้าง เรากลัวมากที่จะบอก กลัวเค้าอาละวาดใส่เราอีก

    เราคิดว่าตอนนี้เราต้องการความช่วยเหลือในเรื่องของพฤติกรรมพ่อเรา เราว่ามันผิดปกตินะ มีพ่อแม่ใครเป็นแบบนี้บ้างรึเปล่า เราควรพาพ่อเราไปพบจิตแพทย์ดีไหม เราควรทำยังไงกับพ่อเราดี คือคุยก็แล้ว บอกเหตุผลของการไปทำงานและเรียนต่อก็ไม่เข้าใจซักที คือมันแปลกมากเลยนะ เราบอกว่าเราจะสอบหมอซึ่งถ้าสอบติดไปเรียนก็ใช้เวลา 6 ปี พ่อเราก็โอเค แต่เรียนโทใช้เวลา 2 ปี หรือทำงานอะอย่างน้อยก็ 4 ปี ก็ต้องเรียนต่อ 2 ปี ก็ 6 ปีเหมือนกัน แถมเรายังได้ประสบการณ์อีกมากมายและได้ทำงานที่เรารักด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
แปลว่าน้องเรียนจบปริญญาตรีไปแล้ว แต่กลับไปสอบหมออีกเหรอคะ? สรุปตอนนี้น้องอายุเท่าไหร่แล้วคะ? พ่อแม่อายุเท่าไหร่?

ถ้าสอบโทได้แล้วก็ไปเรียนเลยค่ะ บอกพ่อแล้วไปเลย ให้แม่ช่วยพูด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่