สวัสดีคะทุกคน. 😊😊😊วันนี้เราจะมาเล่ามาแชร์ประการณ์ในชีวิตอย่างหนึ่งให้ฟังกันนะคะ. เนื่องจากเห็นกระทู้ฟินๆมาหลายกระทู้แล้ว. เลยนึกถึงตัวเองตอนนี้555จะว่ายังไงดีละ. เรื่องของเราก็ไม่ฟินเหมือนคนอื่นนะ. แต่มันเหมือนแจ็คพอตมากกว่าคะ. แบบคนที่เราชอบเค้ากลับมาชอบเราเหมือนกัน. แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้มันก็นานพอสมควร. ก่อนอื่นขอแทนตัวเองว่าเจแปนนะคะ. ส่วนพี่หมอที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ ขอแทนชื่อ ว่าพี่หมอม่อน. หรือพี่หมอ. หรือพี่ม่อนนะคะ
เริ่มยังไงดีละ คืออย่างที่บอกเรื่องนี้มันนานมากตั้งแต่สมัยเราอยู่ ม. 5 คะ คือเราตอนนั้นอยากเรียนหมอมากกก. เราก็เรียนพิเศษเรียนเป็นบ้าเป็นหลัง. แทบจะกินหนังสือแทนข้าว. อีกอย่างเราเป็นเด็กกิจกรรมของ รร. ด้วยคะตอนนั้น ต้องเป็นตัวแทนไปแข่งวิชาการบ้าง. ดนตรีบ้าง. ก็ต้องมีซ้อม. พอหลังจากทำงานของรร. เสร็จก็ไปเรียนพิเศษกลับบ้าน3ทุ่ม อ่านหนังสือถึงตี3. ตื่นตี5 เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือนคะ. จนเริ่มท้อ. สงสารร่างกายด้วย. ตอนนั้นแปลงร่างเป็นแพนด้าทุกวันไปเรียนคะ. หนักเข้าคือหลับกลางอากาศแต่ไม่ใช่ยืนอยู่แล้วล้มนะคะ. หลับทั้งยืนนี่แหละคะ. ตาก็ยังไม่หลับ. แต่สติหลับแล้วคะ. 555นึกแล้วก็ขำตัวเองตอนนั้น. แต่พอเอาเข้าจริงตอนนั้นเครียดมาก. ร่างกายไม่ไหวแน่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป. แล้วกลัวจะสอบไม่ติด. เลยไปบ่นกับเพื่อน ขอเเทนชื่อว่าส้มนะคะ. ส้มก็ให้กำลังใจแล้วเอารูปพี่หมอขาวตี๋มาฝากคะ. ส้มบอกหล่อมากลูกพี่ลูกน้องนางเองคะ ซึ่งก็คือพี่ม่อน. นางก็เล่าว่าพี่เค้าซิ่วเป็นปีกว่าจะได้หมอ. นางแนะนำให้ไปปรึกษาพี่เค้า. แล้วนางก็ให้เฟสพี่ม่อนมาคะ. นางอวยอีกว่าพี่ม่อนนางหล่อระดับ. #หมอหล่อบอกต่อด้วย. เราก็กดข้าไปส่องก็งั้นๆอะคะ ขาวแบบจีนอะคะ. แต่นางมีตาสองชั้นนะคะตาโตปกติ ปากแดงๆ จัดฟัน มีลักยิ้มอะคะ คือ. ก็ถือว่าเป็นคนที่ดูดีคนนึงคะ. แต่ยังไม่เข้าตาเรา. เราไม่ชอบแนวอาตี๋ ไม่ชอบคนที่ดูเรียบเนี๊ยบเนิร์ด เราชอบแบบฝรั่งคะ. ตาน้ำข้าว. ตาฟ้า เครานิดๆ. ซิ๊กแพคหน่อยๆ ดูไลฟ์สไตล์ลุยๆ ผมนิ่มเป็นไหมทอง. โอ้ย. ฟินคะแปนช๊อบชอบ😍😍😍. แต่มาตกหลุมพลางพี่หมอม่อนอาตี๋ได้ไงเดี๋ยวมาดูกันคะ. 😊😊😊
หลังจากที่เราได้เฟสพี่เค้ามาเราก็แอดพี่เค้าไปคะ. แล้วก็ให้ส้มไปเกริ่นก่อนว่าจะมีเพื่อนมาปรึกษา
หลังจากแอดเฟสไปเราก็รอนานมากคะ. นานจนคิดว่าเอาว่ะ. ถ้าไม่รุก เอ้ย.😊 ถ้าไม่ทักไปหาพี่เค้าชาตินี้คงไม่ได้คุยคะ. เราตัดสินใจทักไปคะแล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร. นานมากคะ.กว่าจะตอบ. พี่เค้าก็ออนบ้างไม่ออนบ้าง. จนลืมเลยคะว่าเคยทัก. แบบชั้นมีเฟสคนนี้ด้วยหรอ. คนนี้ใคร555. ตอนที่เค้าตอบมาอะคะ. แถมตอบมาสั้นๆ ได้ใจความคะ. "ครับ"😂😂😂
พอทักเค้าไปแล้ว เค้าก็ตอบมาสั้นๆแค่คำว่าครับใช่ไหมคะ แปนก็เลยถามเข้าเรื่องเค้าเลยคะ แบบประมาณว่าพี่มีทริคยังไง อะไรเป็นแรงหึดให้พี่สู้ คือนึกออกไหมคะว่าเด็กซิ่วไม่ได้ไปเรียนที่ไหนหยุดอ่านหนังสือเป็นปีเพื่อคณะที่เค้าอยากเข้า มักจะมีมนุษย์ป้า มนุษย์ลุงเข้ามาวุ่นวายคะ ซึ่งตอนนั้นพี่ม่อนเค้าก็เจอคะ สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้สามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับน้องๆที่จะสอบเข้า หรือน้องๆที่กำลังท้อได้นะคะ เรื่องในส่วนนี้ได้ขออนุญาติพี่ม่อนไว้แล้วคะ แต่ขออย่าสืบเรื่องเราสองคนนะคะ ตัวแปนเองไม่เป็นไร แต่ห่วงตัวพี่ม่อน เพราะเค้าค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวคะ
เค้าบอกว่าตอนนั้นเค้ามีแรงผลักดันคือครอบครัวเค้าคะ พี่ม่อนตั้งใจเรียนอ่านหนังสือสอบมาตั้งแต่ม.2 เพราะเมื่อก่อนเค้าเกเร ชอบทำให้แม่เสียใจ เค้าบอกว่าตอนม.1 เค้าเอาแต่ใจมากๆ แล้วปล่อยให้แม่ทำงานคนเดียว จนวันนึงเค้าไปเห็นน้ำตาของแม่ที่แอบนั่งร้องไห้คะ
คือ...พี่ม่อนบอกว่าตอนนั้นเค้าจุกมาก พูดอะไรไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เค้าเห็นแม่ร้องไห้ ตั้งแต่นั้นมาเค้าก็เริ่มตั้งใจเรียนน แล้วถามถึงอนาคตตัวเองคะว่าอยากเป็นอะไร คำตอบเค้าก็คืออยากช่วยคน อยากเป็นหมอ เค้าก็เลยตั้งใจเรียนเพื่อแม่ และเพื่อความฝันของเค้า ตอนที่เค้าสอบครั้งแรก เค้าสอบไม่ติด แต่เค้าติดเภสัช เทคนิคการแพทย์ อะไรประมาณนี้อะคะ คือถ้าเป็นเราเราเอาไปนานแล้วคะ5555 แต่พี่ม่อนไม่อยากได้เลย ก็เลยสละสิทธิ์ทุกอย่าง (แล้วไปสอบกันที่เค้าทำไม??? คำตอบคือนางอยากลองสนามคะ ถ้านางสละสิทธิ์เดี่ยวเค้าก็เรียกตัวสำรองนางบอกนะคะ) หลังจากนั้นพี่ม่อนแกก็ตัดสินใจซิ่วคะ 1 ปี 1ปีเลยนะคะ คือเค้าบอกมีญาติๆเค้าก็มาว่าเสียเวลาทำำไม?? ทำไมไม่เอาอันที่สอบได้?? แล้วสอบปีนี้จะติดไหม?? มันเป็นเรื่องยอดฮิตของเด็กซิ่วจริงๆ เพราะเเปนก็ซิ่วปีนี้ ก็พอจะเจอคำถามแบบนี้เหมือนกัน พี่ม่อนบอกว่าเค้าใช้วิธีเก็บคำพูดเหล่านั้นมาทำให้คนอื่นๆเห็นว่าเค้าสามารถทำได้คะ เก็บมาเป็นแรงผลักดันคะ เราตอนที่รู้เรื่องนี้ คืออึ้งคะ พี่เค้าสตรองมากตอนนั้นเลยเริ่มเป็น FCหมอม่อนคะ คงเพราะแพ้คนรักครอบครัวด้วยมั้งคะ แล้วความคิดหลายๆอย่างเค้าดูเป็นผู้ใหญ่ สอนเราได้อะคะ เรื่องนี้พี่ม่อนเองก็ไม่รู้นะคะ จะรู้ก็ตอนนี้แหละคะ555
หลังจากเค้าพูดเรื่องเเรงบันดาลใจ เราก็ถามเค้าเรื่องอื่นต่อคะที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันต่อคะเราก็เลยคอยเป็นFCพี่เค้าอยู่ห่างๆคะ ไม่กล้าทักไม่มีเรื่องคุยเเล้ว5555 พอผ่านไปสักพักพี่เค้าก็มีแฟนคะ เจ็บนิดๆแต่พี่เค้าสองคนก็น่ารักดีคะ ตอนนั้นเราก็เป็นแค่ FCอะเนอะ555 คิดแค่นั้นจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้คุยกับพี่ม่อนเลย จนกระทั่งเราม.6เราติดรับตรงมาเรื่อยๆ จนมาติดในคณะสายสุขภาพ 2 ที่ ที่นึ่งอยู่มหาลัยเดียวกันกับพี่ม่อนคะ 555 อีกที่ก็คนละที่กันเลยคะ เลือกไม่ถูกเลย ถ้าเลือกคณะแรกได้เจอพี่ม่อน เลือกคณะที่2ไม่ได้เจอ555 ตอนนั้นเลือกยากอยู่เพราะ2คณะนี้คือคณะเดียวกันแต่คนละที่ และคณะที่2ก็อยู่ไกลบ้านพอควรคะ555 โชคเริ่มเข้าข้างแน่ๆเลยตอนนั้น ทักไปถามพี่เค้าว่าจะเอาไงดี เลือกไม่ถูกคะ ถามพ่อแม่แล้วเค้าก็บอกแล้วแต่เราเลย พี่ม่อนเค้าก็บอกว่า เเล้วแต่เราเพราะเลือกอันไหนที่ไหนก็สายงานเดียวกัน มีโอกาสได้เจอกันอยู่ดี ตอนนั้นสะดุดคำว่า"ได้เจอกันอยู่ดี" คืออะไร ??? พี่อยากเจอแปนหรอคะ555 แอบคิดเข้าข้างตัวเองนิดนึง
สุดท้าย เราก็เลือกมาอยู่มอเดียวกันกับพี่ม่อน ไม่ใช่เลือกเพราะเค้านะคะ แต่เลือกเพราะมันใกล้บ้าน ทีนี้หลังจากนั้นเราก็ได้เข้ามาศึกษาเป็นนิสิตที่นั่น ตอนช่วงรับน้องก็คิดอยู่นะคะว่าจะได้เจอเค้ามั๊ย??? สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ ก็ปล่อยวางคะ555 เราก็ส่องคนโน้นชอบคนนี้ไปเรื่อยไม่ได้จริงจังอะไร
มีคนเข้ามาจีบตามประสาเฟรชชี่ เราก็คุยแต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสานต่อ คงเพราะโสดมานาน555 มีความปอดร่วมด้วย
แต่หลังจากเราเรียนมาได้สักพักเราก็เจอพี่เค้าคะ เจอกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาลที่มอคะ เห็นแค่ด้านหลังของพี่เค้าคะ เราก็รู้สึกว่าต้องใช่พี่เค้าแน่ๆ เลยแอบเดินผ่านโต๊ะพี่เค้าเล็กน้อย555 แล้วเหล่มองขวานิดๆ ปรากฏว่าเป็นพี่เค้าจริงๆด้วยคะ พี่เค้าอยู่ในชุดกาวน์ยาว ออร่าหนักมากคะ นั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนๆพี่เค้า เราเลยรีบหันกลับมาคะเขิน555 พอเย็นวันนั้นพี่เค้าก็ทักมา คือเค้าบอกว่าเค้าเห็นเรา แต่ไม่ได้ทักเห็นเรารีบเดิน555 แล้วพี่ม่อนก็ชวนไปกินเลี้ยงรับน้องคะ ตอนแรกก็ไม่ไปคือมันแปลกๆ เลยบอกพี่เค้าให้ชวนส้มไปด้วย แล้วเราคุยกันมาเรื่อยๆอะคะ เรื่องเรียนพี่เค้าก็ช่วย เรื่องไหนที่เราไม่ไหว แต่พี่เค้าก็ไม่ค่อยมีเวลามากนักเพราะต้องเข้าเวร ต้องอ่านหนังสือสอบ ต้องขึ้นวอร์ด วันๆอยู่แต่ รพ. สงกรานต์เค้าก็ไม่ได้หยุด เราก็เป็นกำลังใจให้เค้า พี่เค้าก็เป็นกำลังใจในการซิ่วให้เรา
จนมาถึงวันที่เค้าว่างพาเรากับส้มไปเลี้ยงคะ วันนั้นทำให้เรารู้จักพี่เค้ามากขึ้น คือเค้าไม่ใช่เด็กเรียนเด็กเนิร์ด และชอบอะไรหลายๆอย่างเหมือนเรา เค้าชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบเที่ยวแอดเวนเจอร์ ชอบดำน้ำ ปีนเขา ขับATV ชอบกินอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะแซลม่อนดิบ และแน่นอนวันนั้นที่พี่ม่อนพาไปเลี้ยงก็ร้านอาหารญี่ปุ่น555 คือลาบปากเราเลยยกเว้นแต่ส้ม ที่ไม่ชอบกินนั่งเขี่ยวาซาบิเล่นคนเดียวเลย มีแต่เรากับพี่ม่อนที่อิ่มหนักมาก หลังจากนั้น เค้าก็ชวนเราไปกินบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น ตอนที่เค้ามีเวลาว่างและอยากกิน พากันกินเลย
คือตอนนั้นเราก็แบบเปลี่ยนจากFCมาเป็นพี่น้อง คือพี่น้องที่สนิทกันจริงๆคะ จนวันนึงที่หยุดยาวเค้าชวนเราไปดรีมเวิล์ดคะ เราก็ไป พอไปถึงปรากฏว่านางชวนคุณแม่มาด้วยจ้า เราก็ประหม่าอยู่ ทำตัวไม่ถูก แต่คุณแม่น่ารักมากคะ คือคุณแม่วัยรุ่นมาก อบอุ่นมาก ตอนนั้นเราก็ถามว่ามาแบบครอบครัวทำไมไม่บอกจะได้ไม่มา พี่ม่อนก็บอกว่า ถ้าบอกแปนแปนก็ไม่มา แล้วอีกอย่างวันนั้นเป็นวันหยุดพี่เค้าทั้งที เค้าไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว คะใช่คะถ้าบอกแปน แปนไม่มาแน่ๆ 555 แล้วรู้สึกว่าทริปนั้น นางถึงเนื้อถึงตัวเยอะมากกว่าปกติ คือแบบถ้าไม่ใช่พี่นี่ตบไปนานแล้ว คือเอะอะก็ดึงแก้ม เอะอะก็ยีหัวเราเล่น เราเตี้ยกว่าเค้าอยู่พอสมควร เราสูง160 พี่เค้าสูง177มั้ง แบบหัวเราชนอกเค้าพอดี เวลาขึ้นเครื่องเล่นที่เสียวๆพี่เค้าก็จับมือเราตลอด คือเรากลัว เราไม่ไหว แม่พี่ม่อนก็รอยู่ข้างล่าง ก็เตรียมยาดมไว้ให้เลยจำได้ แม่พี่ม่อนก็ดีตลอดคือดูแลเราสองคนดีมาก อาหารการกินไม่ขาด แล้วหลังจากวันนั้น พี่เค้าก็ขอเราคบคะ คือ เค้าไม่ถามก่อนเลยว่าเรามีแฟนไหม คุยกับใครอยู่หรือป่าว ตอนที่เค้าขอคบเราก็เริ่มปอดอีกครั้ง เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วคะ เริ่มถอยห่าง เริ่มหายไป ตอบแชทตอบไลน์บ้างเล็กน้อย แล้วด้วยความที่พี่เค้าไม่ค่อยมีเวลาเหมือนกันคะ เลยห่างๆกันไป
จนมาเจอที่มออีกครั้งโดยบังเอิญคะ คือเราปั่นจักรยานในมอ ส่วนเค้ากำลังเดินกลับหอคะ ก็แอบมองแวบนึงคะ
เค้าก็เห็นเราคะ แต่หลังจากนั้นก้ไม่มีอะไรไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันอีก จนเราป่วยหนักมากครั้งนั้น เกือบตายอะคะ
เราป่วยเป็น ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่เคยบูมอยู่ช่วงนึงอะคะ แอดมิดเข้าโรงพยาบาลคือตอนรู้ว่าเป็นเศร้ามาก คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ตอนนั้นโทรบอกแม่ก่อนเลยคะ คิดถึงแม่คนแรกเลย พอได้ยินเสียงน้ำตาไหลเลยคะ
แล้วเรามาเป็นตอนที่แม่ต้องไปดูงานที่ต่างประเทศพอดีเลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อเราก็ต้องอยู่ที่บ้านดูน้องคะน้องยังเด็กอยู่ตอนนั้น เราเลยให้พ่ออยู่กับน้อง ไม่ต้องมาเพราะกลัวติดไข้คะ ส่วนเราก็แอดมิดอยู่โรงพยาบาลที่มอคะ เราโดนสั่งแอดมิดอยู่ในห้องเดี่ยวแยกกับคนอื่น ใส่เครื่องช่วยหายใจ ที่ให้O2อะคะที่เป็นสายเข้าจมูก แล้วสายระโยงระยางมาก ทั้งน้ำเกลือ ทั้งสายให้ยา เต็มไปหมด เห็นแล้วสงสารตัวเอง
เวลาใครจะเข้าห้องมาเยี่ยมต้องใส่แมซปิดปากทุกคน เวลาจะกลับออกไปต้องกดเจลล้างมือหน้าประตู ล้างให้เรียบร้อยก่อนออกคะ คือตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวเชื้อโรค เหนื่อยแล้วก็ท้อมาก
เราก็เริ่มเพ้อ เช็คอินตั้งตัส เหมือนคนจะตายอะคะ เพราะเหนื่อยมากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกเดินไปห้องน้ำเองยังไม่ไหวเลยคะ กินอะไรก็อ้วกออกตลอด กินอะไรไม่ได้ กินก็อ้อวก ไม่กินก็อ้วก อ้วกจนเขียวอะคะ ถ้าใครเคยเป็นจะรู้คะว่า อ้วกจนจนไม่มีอะไรให้อ้วกมันเป็นยังไง แล้วหลังจากนั้นเราก็หลับเพราะยา
FC พี่หมอจน...กลายมาเป็นแฟน😊😊😊 (เรียบเรียงใหม่คะ)
เริ่มยังไงดีละ คืออย่างที่บอกเรื่องนี้มันนานมากตั้งแต่สมัยเราอยู่ ม. 5 คะ คือเราตอนนั้นอยากเรียนหมอมากกก. เราก็เรียนพิเศษเรียนเป็นบ้าเป็นหลัง. แทบจะกินหนังสือแทนข้าว. อีกอย่างเราเป็นเด็กกิจกรรมของ รร. ด้วยคะตอนนั้น ต้องเป็นตัวแทนไปแข่งวิชาการบ้าง. ดนตรีบ้าง. ก็ต้องมีซ้อม. พอหลังจากทำงานของรร. เสร็จก็ไปเรียนพิเศษกลับบ้าน3ทุ่ม อ่านหนังสือถึงตี3. ตื่นตี5 เป็นแบบนี้อยู่หลายเดือนคะ. จนเริ่มท้อ. สงสารร่างกายด้วย. ตอนนั้นแปลงร่างเป็นแพนด้าทุกวันไปเรียนคะ. หนักเข้าคือหลับกลางอากาศแต่ไม่ใช่ยืนอยู่แล้วล้มนะคะ. หลับทั้งยืนนี่แหละคะ. ตาก็ยังไม่หลับ. แต่สติหลับแล้วคะ. 555นึกแล้วก็ขำตัวเองตอนนั้น. แต่พอเอาเข้าจริงตอนนั้นเครียดมาก. ร่างกายไม่ไหวแน่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป. แล้วกลัวจะสอบไม่ติด. เลยไปบ่นกับเพื่อน ขอเเทนชื่อว่าส้มนะคะ. ส้มก็ให้กำลังใจแล้วเอารูปพี่หมอขาวตี๋มาฝากคะ. ส้มบอกหล่อมากลูกพี่ลูกน้องนางเองคะ ซึ่งก็คือพี่ม่อน. นางก็เล่าว่าพี่เค้าซิ่วเป็นปีกว่าจะได้หมอ. นางแนะนำให้ไปปรึกษาพี่เค้า. แล้วนางก็ให้เฟสพี่ม่อนมาคะ. นางอวยอีกว่าพี่ม่อนนางหล่อระดับ. #หมอหล่อบอกต่อด้วย. เราก็กดข้าไปส่องก็งั้นๆอะคะ ขาวแบบจีนอะคะ. แต่นางมีตาสองชั้นนะคะตาโตปกติ ปากแดงๆ จัดฟัน มีลักยิ้มอะคะ คือ. ก็ถือว่าเป็นคนที่ดูดีคนนึงคะ. แต่ยังไม่เข้าตาเรา. เราไม่ชอบแนวอาตี๋ ไม่ชอบคนที่ดูเรียบเนี๊ยบเนิร์ด เราชอบแบบฝรั่งคะ. ตาน้ำข้าว. ตาฟ้า เครานิดๆ. ซิ๊กแพคหน่อยๆ ดูไลฟ์สไตล์ลุยๆ ผมนิ่มเป็นไหมทอง. โอ้ย. ฟินคะแปนช๊อบชอบ😍😍😍. แต่มาตกหลุมพลางพี่หมอม่อนอาตี๋ได้ไงเดี๋ยวมาดูกันคะ. 😊😊😊
หลังจากที่เราได้เฟสพี่เค้ามาเราก็แอดพี่เค้าไปคะ. แล้วก็ให้ส้มไปเกริ่นก่อนว่าจะมีเพื่อนมาปรึกษา
หลังจากแอดเฟสไปเราก็รอนานมากคะ. นานจนคิดว่าเอาว่ะ. ถ้าไม่รุก เอ้ย.😊 ถ้าไม่ทักไปหาพี่เค้าชาตินี้คงไม่ได้คุยคะ. เราตัดสินใจทักไปคะแล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร. นานมากคะ.กว่าจะตอบ. พี่เค้าก็ออนบ้างไม่ออนบ้าง. จนลืมเลยคะว่าเคยทัก. แบบชั้นมีเฟสคนนี้ด้วยหรอ. คนนี้ใคร555. ตอนที่เค้าตอบมาอะคะ. แถมตอบมาสั้นๆ ได้ใจความคะ. "ครับ"😂😂😂
พอทักเค้าไปแล้ว เค้าก็ตอบมาสั้นๆแค่คำว่าครับใช่ไหมคะ แปนก็เลยถามเข้าเรื่องเค้าเลยคะ แบบประมาณว่าพี่มีทริคยังไง อะไรเป็นแรงหึดให้พี่สู้ คือนึกออกไหมคะว่าเด็กซิ่วไม่ได้ไปเรียนที่ไหนหยุดอ่านหนังสือเป็นปีเพื่อคณะที่เค้าอยากเข้า มักจะมีมนุษย์ป้า มนุษย์ลุงเข้ามาวุ่นวายคะ ซึ่งตอนนั้นพี่ม่อนเค้าก็เจอคะ สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้สามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับน้องๆที่จะสอบเข้า หรือน้องๆที่กำลังท้อได้นะคะ เรื่องในส่วนนี้ได้ขออนุญาติพี่ม่อนไว้แล้วคะ แต่ขออย่าสืบเรื่องเราสองคนนะคะ ตัวแปนเองไม่เป็นไร แต่ห่วงตัวพี่ม่อน เพราะเค้าค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวคะ
เค้าบอกว่าตอนนั้นเค้ามีแรงผลักดันคือครอบครัวเค้าคะ พี่ม่อนตั้งใจเรียนอ่านหนังสือสอบมาตั้งแต่ม.2 เพราะเมื่อก่อนเค้าเกเร ชอบทำให้แม่เสียใจ เค้าบอกว่าตอนม.1 เค้าเอาแต่ใจมากๆ แล้วปล่อยให้แม่ทำงานคนเดียว จนวันนึงเค้าไปเห็นน้ำตาของแม่ที่แอบนั่งร้องไห้คะ
คือ...พี่ม่อนบอกว่าตอนนั้นเค้าจุกมาก พูดอะไรไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เค้าเห็นแม่ร้องไห้ ตั้งแต่นั้นมาเค้าก็เริ่มตั้งใจเรียนน แล้วถามถึงอนาคตตัวเองคะว่าอยากเป็นอะไร คำตอบเค้าก็คืออยากช่วยคน อยากเป็นหมอ เค้าก็เลยตั้งใจเรียนเพื่อแม่ และเพื่อความฝันของเค้า ตอนที่เค้าสอบครั้งแรก เค้าสอบไม่ติด แต่เค้าติดเภสัช เทคนิคการแพทย์ อะไรประมาณนี้อะคะ คือถ้าเป็นเราเราเอาไปนานแล้วคะ5555 แต่พี่ม่อนไม่อยากได้เลย ก็เลยสละสิทธิ์ทุกอย่าง (แล้วไปสอบกันที่เค้าทำไม??? คำตอบคือนางอยากลองสนามคะ ถ้านางสละสิทธิ์เดี่ยวเค้าก็เรียกตัวสำรองนางบอกนะคะ) หลังจากนั้นพี่ม่อนแกก็ตัดสินใจซิ่วคะ 1 ปี 1ปีเลยนะคะ คือเค้าบอกมีญาติๆเค้าก็มาว่าเสียเวลาทำำไม?? ทำไมไม่เอาอันที่สอบได้?? แล้วสอบปีนี้จะติดไหม?? มันเป็นเรื่องยอดฮิตของเด็กซิ่วจริงๆ เพราะเเปนก็ซิ่วปีนี้ ก็พอจะเจอคำถามแบบนี้เหมือนกัน พี่ม่อนบอกว่าเค้าใช้วิธีเก็บคำพูดเหล่านั้นมาทำให้คนอื่นๆเห็นว่าเค้าสามารถทำได้คะ เก็บมาเป็นแรงผลักดันคะ เราตอนที่รู้เรื่องนี้ คืออึ้งคะ พี่เค้าสตรองมากตอนนั้นเลยเริ่มเป็น FCหมอม่อนคะ คงเพราะแพ้คนรักครอบครัวด้วยมั้งคะ แล้วความคิดหลายๆอย่างเค้าดูเป็นผู้ใหญ่ สอนเราได้อะคะ เรื่องนี้พี่ม่อนเองก็ไม่รู้นะคะ จะรู้ก็ตอนนี้แหละคะ555
หลังจากเค้าพูดเรื่องเเรงบันดาลใจ เราก็ถามเค้าเรื่องอื่นต่อคะที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันต่อคะเราก็เลยคอยเป็นFCพี่เค้าอยู่ห่างๆคะ ไม่กล้าทักไม่มีเรื่องคุยเเล้ว5555 พอผ่านไปสักพักพี่เค้าก็มีแฟนคะ เจ็บนิดๆแต่พี่เค้าสองคนก็น่ารักดีคะ ตอนนั้นเราก็เป็นแค่ FCอะเนอะ555 คิดแค่นั้นจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้คุยกับพี่ม่อนเลย จนกระทั่งเราม.6เราติดรับตรงมาเรื่อยๆ จนมาติดในคณะสายสุขภาพ 2 ที่ ที่นึ่งอยู่มหาลัยเดียวกันกับพี่ม่อนคะ 555 อีกที่ก็คนละที่กันเลยคะ เลือกไม่ถูกเลย ถ้าเลือกคณะแรกได้เจอพี่ม่อน เลือกคณะที่2ไม่ได้เจอ555 ตอนนั้นเลือกยากอยู่เพราะ2คณะนี้คือคณะเดียวกันแต่คนละที่ และคณะที่2ก็อยู่ไกลบ้านพอควรคะ555 โชคเริ่มเข้าข้างแน่ๆเลยตอนนั้น ทักไปถามพี่เค้าว่าจะเอาไงดี เลือกไม่ถูกคะ ถามพ่อแม่แล้วเค้าก็บอกแล้วแต่เราเลย พี่ม่อนเค้าก็บอกว่า เเล้วแต่เราเพราะเลือกอันไหนที่ไหนก็สายงานเดียวกัน มีโอกาสได้เจอกันอยู่ดี ตอนนั้นสะดุดคำว่า"ได้เจอกันอยู่ดี" คืออะไร ??? พี่อยากเจอแปนหรอคะ555 แอบคิดเข้าข้างตัวเองนิดนึง
สุดท้าย เราก็เลือกมาอยู่มอเดียวกันกับพี่ม่อน ไม่ใช่เลือกเพราะเค้านะคะ แต่เลือกเพราะมันใกล้บ้าน ทีนี้หลังจากนั้นเราก็ได้เข้ามาศึกษาเป็นนิสิตที่นั่น ตอนช่วงรับน้องก็คิดอยู่นะคะว่าจะได้เจอเค้ามั๊ย??? สุดท้ายก็ไม่ได้เจอ ก็ปล่อยวางคะ555 เราก็ส่องคนโน้นชอบคนนี้ไปเรื่อยไม่ได้จริงจังอะไร
มีคนเข้ามาจีบตามประสาเฟรชชี่ เราก็คุยแต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสานต่อ คงเพราะโสดมานาน555 มีความปอดร่วมด้วย
แต่หลังจากเราเรียนมาได้สักพักเราก็เจอพี่เค้าคะ เจอกันที่โรงอาหารของโรงพยาบาลที่มอคะ เห็นแค่ด้านหลังของพี่เค้าคะ เราก็รู้สึกว่าต้องใช่พี่เค้าแน่ๆ เลยแอบเดินผ่านโต๊ะพี่เค้าเล็กน้อย555 แล้วเหล่มองขวานิดๆ ปรากฏว่าเป็นพี่เค้าจริงๆด้วยคะ พี่เค้าอยู่ในชุดกาวน์ยาว ออร่าหนักมากคะ นั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนๆพี่เค้า เราเลยรีบหันกลับมาคะเขิน555 พอเย็นวันนั้นพี่เค้าก็ทักมา คือเค้าบอกว่าเค้าเห็นเรา แต่ไม่ได้ทักเห็นเรารีบเดิน555 แล้วพี่ม่อนก็ชวนไปกินเลี้ยงรับน้องคะ ตอนแรกก็ไม่ไปคือมันแปลกๆ เลยบอกพี่เค้าให้ชวนส้มไปด้วย แล้วเราคุยกันมาเรื่อยๆอะคะ เรื่องเรียนพี่เค้าก็ช่วย เรื่องไหนที่เราไม่ไหว แต่พี่เค้าก็ไม่ค่อยมีเวลามากนักเพราะต้องเข้าเวร ต้องอ่านหนังสือสอบ ต้องขึ้นวอร์ด วันๆอยู่แต่ รพ. สงกรานต์เค้าก็ไม่ได้หยุด เราก็เป็นกำลังใจให้เค้า พี่เค้าก็เป็นกำลังใจในการซิ่วให้เรา
จนมาถึงวันที่เค้าว่างพาเรากับส้มไปเลี้ยงคะ วันนั้นทำให้เรารู้จักพี่เค้ามากขึ้น คือเค้าไม่ใช่เด็กเรียนเด็กเนิร์ด และชอบอะไรหลายๆอย่างเหมือนเรา เค้าชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบเที่ยวแอดเวนเจอร์ ชอบดำน้ำ ปีนเขา ขับATV ชอบกินอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะแซลม่อนดิบ และแน่นอนวันนั้นที่พี่ม่อนพาไปเลี้ยงก็ร้านอาหารญี่ปุ่น555 คือลาบปากเราเลยยกเว้นแต่ส้ม ที่ไม่ชอบกินนั่งเขี่ยวาซาบิเล่นคนเดียวเลย มีแต่เรากับพี่ม่อนที่อิ่มหนักมาก หลังจากนั้น เค้าก็ชวนเราไปกินบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น ตอนที่เค้ามีเวลาว่างและอยากกิน พากันกินเลย
คือตอนนั้นเราก็แบบเปลี่ยนจากFCมาเป็นพี่น้อง คือพี่น้องที่สนิทกันจริงๆคะ จนวันนึงที่หยุดยาวเค้าชวนเราไปดรีมเวิล์ดคะ เราก็ไป พอไปถึงปรากฏว่านางชวนคุณแม่มาด้วยจ้า เราก็ประหม่าอยู่ ทำตัวไม่ถูก แต่คุณแม่น่ารักมากคะ คือคุณแม่วัยรุ่นมาก อบอุ่นมาก ตอนนั้นเราก็ถามว่ามาแบบครอบครัวทำไมไม่บอกจะได้ไม่มา พี่ม่อนก็บอกว่า ถ้าบอกแปนแปนก็ไม่มา แล้วอีกอย่างวันนั้นเป็นวันหยุดพี่เค้าทั้งที เค้าไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว คะใช่คะถ้าบอกแปน แปนไม่มาแน่ๆ 555 แล้วรู้สึกว่าทริปนั้น นางถึงเนื้อถึงตัวเยอะมากกว่าปกติ คือแบบถ้าไม่ใช่พี่นี่ตบไปนานแล้ว คือเอะอะก็ดึงแก้ม เอะอะก็ยีหัวเราเล่น เราเตี้ยกว่าเค้าอยู่พอสมควร เราสูง160 พี่เค้าสูง177มั้ง แบบหัวเราชนอกเค้าพอดี เวลาขึ้นเครื่องเล่นที่เสียวๆพี่เค้าก็จับมือเราตลอด คือเรากลัว เราไม่ไหว แม่พี่ม่อนก็รอยู่ข้างล่าง ก็เตรียมยาดมไว้ให้เลยจำได้ แม่พี่ม่อนก็ดีตลอดคือดูแลเราสองคนดีมาก อาหารการกินไม่ขาด แล้วหลังจากวันนั้น พี่เค้าก็ขอเราคบคะ คือ เค้าไม่ถามก่อนเลยว่าเรามีแฟนไหม คุยกับใครอยู่หรือป่าว ตอนที่เค้าขอคบเราก็เริ่มปอดอีกครั้ง เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วคะ เริ่มถอยห่าง เริ่มหายไป ตอบแชทตอบไลน์บ้างเล็กน้อย แล้วด้วยความที่พี่เค้าไม่ค่อยมีเวลาเหมือนกันคะ เลยห่างๆกันไป
จนมาเจอที่มออีกครั้งโดยบังเอิญคะ คือเราปั่นจักรยานในมอ ส่วนเค้ากำลังเดินกลับหอคะ ก็แอบมองแวบนึงคะ เค้าก็เห็นเราคะ แต่หลังจากนั้นก้ไม่มีอะไรไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันอีก จนเราป่วยหนักมากครั้งนั้น เกือบตายอะคะ เราป่วยเป็น ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ที่เคยบูมอยู่ช่วงนึงอะคะ แอดมิดเข้าโรงพยาบาลคือตอนรู้ว่าเป็นเศร้ามาก คิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ตอนนั้นโทรบอกแม่ก่อนเลยคะ คิดถึงแม่คนแรกเลย พอได้ยินเสียงน้ำตาไหลเลยคะ แล้วเรามาเป็นตอนที่แม่ต้องไปดูงานที่ต่างประเทศพอดีเลยไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อเราก็ต้องอยู่ที่บ้านดูน้องคะน้องยังเด็กอยู่ตอนนั้น เราเลยให้พ่ออยู่กับน้อง ไม่ต้องมาเพราะกลัวติดไข้คะ ส่วนเราก็แอดมิดอยู่โรงพยาบาลที่มอคะ เราโดนสั่งแอดมิดอยู่ในห้องเดี่ยวแยกกับคนอื่น ใส่เครื่องช่วยหายใจ ที่ให้O2อะคะที่เป็นสายเข้าจมูก แล้วสายระโยงระยางมาก ทั้งน้ำเกลือ ทั้งสายให้ยา เต็มไปหมด เห็นแล้วสงสารตัวเอง เวลาใครจะเข้าห้องมาเยี่ยมต้องใส่แมซปิดปากทุกคน เวลาจะกลับออกไปต้องกดเจลล้างมือหน้าประตู ล้างให้เรียบร้อยก่อนออกคะ คือตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวเชื้อโรค เหนื่อยแล้วก็ท้อมาก เราก็เริ่มเพ้อ เช็คอินตั้งตัส เหมือนคนจะตายอะคะ เพราะเหนื่อยมากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกเดินไปห้องน้ำเองยังไม่ไหวเลยคะ กินอะไรก็อ้วกออกตลอด กินอะไรไม่ได้ กินก็อ้อวก ไม่กินก็อ้วก อ้วกจนเขียวอะคะ ถ้าใครเคยเป็นจะรู้คะว่า อ้วกจนจนไม่มีอะไรให้อ้วกมันเป็นยังไง แล้วหลังจากนั้นเราก็หลับเพราะยา