กว่าจะได้เป็นออแพร์ที่เยอรมนี

กว่าจะได้มาต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่มีทุนน้อยอย่างเรา แต่นิสัยการชอบเที่ยวและอยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทำให้ตัดสินใจหาโอกาสที่จะไปต่างประเทศ ซึ่งการเป็นออแพร์คือตัวเลือกแรกของเราเพราะ ค่าใช้จ่ายไม่สูงนักเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ แถมสามารถอยู่ได้ตั้ง 1 ปี  แต่......เป็นออแพร์ต้องทำงานกับเด็กกกกกกก!!!!   สำหรับใครหลายๆคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องง่าย แค่เล่นด้วย ป้อนข้าว ป้อนน้ำ พานอน เปลี่ยนแพมเพิส  จริงๆแล้วมันก็ไม่ยากจนเกินความสามารถแค่ต้องมี "ความอดทน" ขอเล่าก่อนว่า เราตัดสินใจจะมาเป็นออแพร์ตอนอายุ 22 และตอนนั้นกำลังเรียนมหาลัยปีสุดท้าย(เราเรียนช้าอ่ะ ^^) เราหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับโครงการออแพร์ว่าเป็นอย่างไร คืออะไร ทำงานอย่างไร และได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่  เราตั้งใจว่าจะไปเป็นออแพร์ที่อเมริกาและจะสมัครกับเอเจนซี่ แต่เราดันไปเจอเว็บไซต์นึงซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับออแพร์เยอรมัน ใจเราคิดว่าสมัครไว้เล่นๆ ดูว่าเผื่อมีครอบครัวติดต่อมาไหม ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราไม่มีความรู้ภาษาเยอรมันและไม่คิดว่าจะไปประเทศเยอรมนี (แต่ก็ดันได้มาอยู่ที่นี่ยันปัจจุบัน) ช่วงนั้นเรายุ่งกับการสอบก็ไม่ได้เข้าไปดูที่เว็บนั้นเลย พอเข้าไปดูอีกทีมีหลายครอบครัวที่ติดต่อเข้ามาทั้งภาษาอังกฤษและเยอรมัน เราใช้คุณปู่กูเกิ้ลช่วยแปลตลอดและตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ เราคุยกับครอบครัวนึงจนตกลงที่จะแมชกัน โฮสพ่อเป็นเยอรมัน โฮสแม่เป็นคนไทยและเค้าก็มีออแพร์เป็นคนไทยอยู่ ซึ่งเราคิดว่ามันง่ายกับการปรับตัวที่นั่น

                ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุด คือ เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะไปต่างประเทศก็จำเป็นที่ต้องบอกพ่อแม่ให้รับรู้และขออนุญาติ และอย่างที่เราคาดไว้พ่อไม่เห็นด้วยเพราะเรายังเรียนไม่จบ ซึ่งตอนนั้นเหลืออีก 2 เทอม ก็จะจบแต่ตัวเราคิดว่าไม่เป็นไรก็แค่ดรอปไว้ ไปแค่ปีเดียวแล้วก็กลับมาเรียนต่อ ยังไงซะเราก็เรียนช้าอยู่แล้วซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิด แต่ด้วยความดื้อรั้นและลูกอ้อนของเราเองจึงขอพ่อไปเรียนภาษาเยอรมัน เพื่อสอบเอาใบประกาศA1 ซึ่งมันจำเป็นต้องใช้ในการขอวีซ่า เราเรียนคอรส์ Intensive  ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน พอจบคอร์ส A1 เราก็ลงทะเบียนสอบและก็สอบผ่านมาได้ ซึ่งพ่อเห็นความตั้งใจของเราและพูดว่า "ก็แล้วแต่เอ็ง แต่ข้าไม่เห็นด้วย" เราก็ตีความเอาเองว่าพ่ออนุญาติแล้ว ^^  หลังจากนั้นโฮสก็ส่งเอกสารทั้งหมดมาให้เราก็กรอกๆและโทรนัดวันสัมภาษณ์ที่สถานทูตเยอรมนี

                  วันนั้นก็มาถึงวันที่ต้องไปเจอกับเจ้าหน้าที่สายโหดตามความล่ำลือ เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปให้ถึงสถานทูตก่อน 8 โมง(บ้านเราอยู่นนทบุรี) มันเป็นอะไรที่โคตรตื่นเต้น กลัวตอบคำถามไม่ได้เพราะอ่านผ่านๆจากหลายกระทู้ เจ้าหน้าที่จะสัมภาษณ์เป็นภาษาเยอรมันด้วย  รับบัตรคิวแล้วก็นั่งรอๆ ใจเต้นตุบๆ พอถึงคิวเราเจ้าหน้าที่ก็ขอดูเอกสาร เปิดไปเปิดมาและถามว่าขอวีซ่าไปทำอะไร โฮสอยู่ที่ไหน เราก็ตอบ ตอบไป........ และสิ่งสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่พูด คือ  โฮสแม่เป็นคนไทยหรอ งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปถามหัวหน้าก่อน ตอนนั้นใจเราตกไปอยู่ตาตุ่ม คือ อะไร ทำไม ไม่ได้หรออออออ หรือ ยังไง ซักพักเจ้าหน้าที่ก็กลับมาและบอกว่า มันผิดจุดประสงค์ของการเป็นออแพร์ถ้ามีโฮสแม่เป็นคนไทย แล้วน้องจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมได้อย่างไร ภาษาเยอรมันก็คงไม่ได้พูด พี่แนะนำให้น้องหาโฮสใหม่ หรือน้องจะยื่นเรื่องก็ได้นะแต่ยังไงก็ไม่น่าจะผ่าน เสียดายเงินด้วย ไปหาโฮสที่เป็นเยอรมันทั้งคู่แล้วค่อยกลับมายื่นเรื่องใหม่ดีกว่า แล้วนางก็ยื่นเอกสารคืนเรามา ไอ้เราก็ยื่นอึ้ง............O_O สรุป ไม่ได้>>>  กลับบ้าน >>> ความตั้งใจที่เต็มล้น>>> หายไปหมด !!!!  กลับบ้านค่ะ บอกพ่อแม่ขอวีซ่าไม่ได้เพราะโฮสแม่เป็นคนไทย พ่อเรายิ้มแก้มจะระเบิดเพราะดีใจที่ลูกไม่ต้องไปต่างประเทศ แต่อีเรานี่โคตรเศร้าอ่ะ !  แต่ก็คิดในใจมันคงยังไม่ใช่เวลาของเรา ตั้งใจเรียนให้จบแล้วค่อยว่ากันใหม่  เราคิดว่าเรียนให้จบแล้วค่อยไปสมัครกับเอเจนซี่เพื่อไปอเมริกาตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก   แต่แล้วก็มีครอบครัวเยอรมันติดต่อมาเรื่อยๆ  จนมาเจอครอบครัวนึงเสนอเงินเดือน 500 ยูโร ต่อเดือน (ปกติออแพร์เยอรมันจะได้ค่าขนมประมาณ 260 ยูโรต่อเดือน) แต่เราต้องทำความสะอาดบ้านอาทิตยละ 2 ครั้ง บ้านนี้เด็กผู้หญิง 3 คน อายุ 2,6,10 และโฮสแม่ก็อยู่บ้านช่วยดูลูก แถมเคยมีออแพร์มาแล้ว 2 คน เราตกลงแมช (เดี๋ยวเงินเดือนที่จูงใจ) ทั้งที่ไม่เคยวีดีโอคอลคุยกัน ได้แต่ส่งรูป,แชท และอีเมล์บ้าง แต่ด้วยความรู้สึกเราคิดว่าบ้านนี้เป็นกันเองดี น่าจะไม่มีปัญหาอะไร โฮสจ่ายคอร์สเรียนภาษาเยอรมันและค่าเดินทางไปเรียนให้ พร้อมวันหยุด 30 วันต่อปี มีห้องส่วนตัวพร้อมห้องน้ำในตัวถึงแม้จะเป็นห้องใต้หลังคาแต่ก็สะดวกสบายดี เราตกลงกับโฮสว่าจะเดินทางเดือนธันวาคม เพราะเราสอบเสร็จแล้วแค่รอลุ้นว่าจะผ่านหรือไม่ โฮสก็ส่งเอกสารทุกอย่างมาให้เหมือนครอบครัวที่แล้วเป๊ะ! เราก็กรอกๆและโทรนัดสถานทูตเหมือนเดิม แต่ต่างตรงที่ว่าครั้งนี้เราไม่ตื่นเต้นเลย รู้สึกเฉยๆมาก พอถึงคิวก็ยื่นเอกสาร ถาม ถาม ถาม จ่ายตังค์ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกให้รอประมาณ 4-8 สัปดาห์ เราก็แบบ อ้าว เสร็จแล้วหรอ คือ งงๆ เพราะความรู้สึกมันต่างจากครั้งแรกอ่ะ แต่ก็แอบดีใจ เค้ารับเอกสารแล้วเว้ยยยยยย วีซ่าน่าจะผ่านในอีกไม่นาน กลับบ้านบอกพ่อแม่ว่ารออีกประมาณ 2 เดือนได้วีซ่านะ

                   หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่าๆ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากสถานทูตให้เอาใบจองตั๋วเครื่องบินและประกันสุขภาพไปรับวีซ่า  โฮสบอกให้บินไปลงแฟรงเฟริตและจะมารับที่สนามบินซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไม่เกินครึ่งชั่วโมง ตอนนั้นเราบินกับเอมิเรตค่าตั๋วขาเดียว 24,000 บาท(โฮสไม่ได้ออกค่าตั๋วให้) เห็นหลายๆคนว่าการบริการดีแต่ต้องไปต่อเครื่องที่ดูไบ จองตั๋วเสร็จก็เอาใบจองพร้อมประกันสุขภาพ(โฮสทำให้)ไปรับวีซ่าได้ที่สถานทูต(ถ้าจำไม่ผิดจะได้ช่วงบ่าย) และแล้วก็รอแค่ถึงวันเดินทางอย่างเดียว เราเหลือเวลาอีก 2 เดือนก่อนเดินทาง ใครที่คิดจะมาเป็นออแพร์ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม อยากบอกว่าให้ลองดู ไม่ชอบยังไงเราก็กลับบ้านได้เสมอถ้ามีโอากาสและเจอโฮสที่ใช่ก็บินกันเลยจ้าจุ๊บๆ

                                  
                 สิ่งที่ต้องมีเมื่อจะมาเป็นออแพร์
เวลา >>> เราใช้เวลาเกือบปีถึงได้แมชกับโฮสบ้านนี้ (ไม่ต้องรีบแมช รอคุยหลายๆบ้านแล้วเลือกบ้านที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเรา)
ความอดทนและความใส่ใจ >>>ใช้เวลา 2 เดือนในการเรียนภาษาเยอรมัน ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลยแต่มันก็ไม่ได้ยาก(มั้ง) >_<
เงิน >>> ค่าคอร์สเรียนภาษา ค่าสอบวัดระดับ ค่าธรรมเนียมขอวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าจิปาถะ (เราหมดประมาณ 50,000 บาท)
                เอกสารที่ใช้ในการขอวีซ่าออแพร์
พาสปอรต์ และสำเนา
ใบเชิญจากครอบครัว
สัญญาออแพร์
รูปไบโอเมตริก
ฟอร์มการขอวีซ่า

             อมยิ้ม16 อยากบอกว่านี่คือกระทู้แรกที่โพสเพื่ออยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองที่ผ่านมา เพราะจำได้ว่าตอนที่ตัวเองหาข้อมูลใหม่ๆ ในเน็ตมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับออแพร์เยอรมัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่