เล่าเรื่องเมืองประทับใจในฝรั่งเศส: Briançon เหิรฟ้าท้าภูเขาหิมะ
กีฬาผาดโผน เหิรฟ้า ท้ามฤตยูนี่ เป็นความฝันอยู่ในใจตั้งแต่เด็ก
บันจี้จัมพ์ กระโดดร่ม นี่อยากมาก…แต่พอเดินขึ้นที่สูงทีไร ทำไมมันโคตรหวิว ใจสั่น ขาสั่น ตัวสั่น
เพราะเหตุนี้ โตมาจนถึงอายุปูนนี้ก็ไม่กล้าลองจริงจังซักที แต่เล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก รถไฟเหาะตีลังกาหลายตลบ ดันไม่เป็นไร เล่นได้หลายรอบ
หลายคนบอกว่า มันคือ “ความกลัวในใจ” ถ้าเราไม่กล้า เราก็จะผ่านมันไปไม่ได้
สมัยมัธยม มีวิชากรีฑาที่ต้องกระโดดข้ามรั้ว อารมณ์มันน่าจะเหมือนกระโดดยางไงละ คิดอยู่ในใจตอนนั้น แต่กระโดดหนังยาง ถ้าเราโดนมันยังไม่เจ็บนะ แต่กระโดดข้ามรั้วแล้วชนนี่ ไม่อยากคิด
อาจเพราะคิดแบบนี้….ทำให้ชั่วโมงแรกของการเรียน ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่กล้ากระโดด ออกวิ่งไปถึงหน้ารั้วแล้วหยุด…วิ่งกลับมาต่อแถวใหม่ ทำแบบนี้ไปจนหมดเวลาเรียน และหวังว่าคุณครูจะไม่ได้ทันสังเกตุ ผ่านไปซัก 2 ครั้งยังทำแบบเดิม เพราะใจมันไม่กล้าที่จะข้าม….
กลับบ้านนอนคิดแบบเครียด ถ้ายังเป็นแบบนี้รับรองไม่ผ่านวิชานี้แน่ๆ แล้วเกรดจะเป็นยังไง….ความกลัวชนิดใหม่เริ่มเกิดขึ้น
กลัวแบบไหนจะมีมากกว่ากัน ระหว่างกลัวเจ็บโดดไม่ข้ามรั้ว กับกลัวสอบตก!!!
สมัยนั้นการสอบตกเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เรียนดีมาทุกวิชาแต่มาตกวิชาพละ มันคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
เลยนัดเพื่อนร่วมแก๊งค์มาซ้อมกันหลังเลิกเรียน
แล้วเย็นวันนึงความกล้าก็บังเกิด…
วิ่ง วิ่ง วิ่ง………อย่าหยุดนะ
วินาทีนั้น เห็นภาพตัวเองลอยอยู่เหนือรั้วไม้ที่วางกั้นด้านหน้า แล้วลงมาเหยียบพื้นดิน แบบตัวไม่ชนแผงไม้
ดีใจน้ำตาจะไหล เอาชนะความกลัวได้แล้ว
หลังจากเย็นวันนั้น วิชาวิ่งข้ามรั้วเลยไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เกรดที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจทุกฝ่าย
ที่เล่ามาไม่ได้จะบอกว่า ตอนนี้กล้าบันจี้จัมพ์หรือกระโดดร่ม แต่ความกลัว มันเริ่มหายไป เลยกล้าที่จะลองอะไรที่หวาดเสียวน้อยกว่านั้นได้หน่อยนึง
คุณพ่อเป็นคนที่เริ่มไอเดียการโดดร่มจากเครื่องบิน พ่อบอกว่าอยากกระโดดมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาส
ตอนนี้อายุเกือบจะ60ปีแล้ว เลยขอใช้เวลาว่างฝึกร่มบิน(Paramotor) ร่มที่ติดใบพัดไว้ด้านหลัง เวลาจะบิน ก็ลอยตัวจากพื้นดินโดยใช้ลมจากใบพัดช่วย อารมณ์น่าจะคล้ายๆกัน
พอเห็นพ่อเล่นก็อยากลองบ้าง แต่การจะเรียนแล้วเล่นแบบนี้ต้องมีผู้ฝึกสอนอย่างจริงจัง ที่สำคัญพ่อบอกว่า paramotor อาจจะหนักไปสำหรับฉัน ควรลองเล่นแบบอื่นไปก่อนดีกว่า
มาเที่ยวฝรั่งเศสหลายครั้ง เห็นคนที่นี่เล่น ร่มร่อน (Paragliding) ที่ฝรั่งเศสเค้าเรียกว่าพาราปองต์ (Parapente) แล้วอาการอยากมันกลับมา ไม่รู้ทำไมเค้าเรียกว่าร่มร่อน แต่ฉันชอบเรียกง่ายๆเข้าใจว่ามันคือร่มบิน ดังนั้นตอนเขียนนี้ อาจจะมีทั้งร่อน ทั้งบิน ทั้งทับศัพท์ Paraglidingสสลับกันไป เอาเป็นว่าพยายามหมายถึงสิ่งเดียวกัน
ที่ฝรั่งเศสนี่เค้าเล่น Paragliding กันเยอะมาก อาจเพราะบ้านเค้ามีภูเขาสูงๆเยอะ การเล่นร่มร่อนต้องเดินขึ้นไปบนเขา แล้วร่อนลงมา โดยมีร่มช่วยรับลม คนที่เล่นเก่งๆเค้าก็ร่อนอยู่ได้นานมาก เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา สนุกสนานเพลิดเพลินกันไป เห็นแบบนั้นแล้วก็เช็คตาราง เช็คราคาโดยด่วน
ครั้งแรกที่เมืองแถบเทือกเขาแอล์ปในหน้าร้อน วันแรกคิวเต็ม ส่วนวันที่สองปรากฎว่าอากาศไม่ดี ลมแรงมาก ไม่เหมาะแก่การเล่นร่มบิน วันที่สามอากาศดี แต่เป็นวันที่ต้องกลับซะแล้ว
อด…ตามระเบียบ
ครั้งนี้มาเที่ยวเมืองแถบเทือกเขาแอล์ปในหน้าหนาว มีกิจกรรมร่มร่อนโฆษณาอยู่ โทรไปจองปรากฎว่า อากาศไม่ดี ไม่น่าจะเล่นได้…..เสียใจอีกครั้ง แต่ครูก็ยังให้ความหวังว่า ถ้าวันหลังอากาศดี จะรีบโทรมาบอกก่อนใคร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันถัดมา….ยิ้มไม่หุบ
เพราะครูแจ้งว่า พรุ่งนี้พยากรณ์อากาศดีมากนะ คิดว่าจะเล่นได้ นัดเวลาให้มาเจอกันตอนเช้า เรื่องเงินไว้ว่ากันทีหลัง เล่นเสร็จแล้วค่อยจ่ายก็ได้ เผื่ออากาศเปลี่ยนแปลงยังไง จะได้ไม่เสียเงินฟรีๆ เรียกว่าใช้บริการเสร็จค่อยว่ากัน
ตื่นแต่เช้าแต่งตัวพร้อมมาก ใส่เสื้อผ้าสำหรับเล่นสกี หมวก แว่นตา ถุงมือพร้อม เพราะเราจะร่อนลงมาจากเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เทือกเดียวกับนักเล่นสกีเค้าใช้งานนี่แหละ
จาก Serre Chevalier (เดี๋ยวจะเล่าถึงในตอนถัดไป) ขับรถมาที่ Briançon ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เราต้องหาที่จอดรถแล้วนัดเจอครูที่หน้าประตู Cable Car เพื่อขึ้นไปบนเขา ไม่ถึง 10 นาที ครูฝึกเดินมา 2 คน พร้อมแบกกระเป่าร่มและอุปกรณ์ใหญ่เกือบเท่าตัว และคาดว่าคงจะหนักไม่น้อย ทักทายกันพอเป็นพิธี ครูก็พาเราขึ้นไปด้านบน
วันนี้มีนักเรียน 2 คน (จริงๆเรียกว่านักเรียนก็ไม่ได้ เพราะครูคงไม่ได้สอนอะไร แค่พาเราบินร่อนไปพร้อมๆกับเค้า)
เคเบิ้ลคาร์ถึงจุดที่สูงที่สุดเท่าที่จะขึ้นได้ แต่ไม่ใช่จุดที่เราจะร่อนลงค่ะ เราต้องเดินเท้าขึ้นไปจากจุดนี้อีกซัก 10 นาที จริงๆก็ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เพราะเดินย่ำหิมะข้ามเนินไปหาพื้นที่ราบใกล้ผา ขาคงไม่เหนื่อยขนาดนี้ เอาเถอะ มาถึงแล้วก็ต้องไปต่อ
วิวด้านบนสวยมากๆ มองไปทางไหน ก็มีหิมะขาว ตัดกับฟ้าใสๆเต็มไปหมด เดินไป ถ่ายรูปสวยๆไป ก็ลืมว่ากำลังเหนื่อย
พอถึงลานที่เราจะใช้เป็นจุดสตาร์ท ครูก็เริ่มแกะอุปกรณ์ เอาร่มออกมากางแผ่ไว้บนลานหิมะ
สายร่มแต่ละสายต้องจัดให้เข้าที่ จะพันกันไม่ได้ เพราะถ้าร่อนลงไปแล้ว สายร่มพันกัน ร่มอาจจะพับได้
ฉันได้แต่ยืนดูอย่างตื่นเต้นและให้กำลังใจครู โดยรู้ว่าครูมีประสบการณ์มากกว่าแน่นอน ระหว่างรอ ฉันเดินเล่นรอบๆ ชมวิวทิวทัศน์จากมุมสูงไปพลางๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปชมในมุมของนก ใช่ไม่ช้า
ครูส่งสัญญานว่า “พร้อมแล้ว” ให้มาแต่งตัวได้
การแต่งตัวที่ว่าคือการใส่เสื้อชูชีพพร้อมร่มเล็กซ่อนอยู่ด้ายหลัง ติดอุปกรณ์ความปลอดภัยมากมาย ตะขอโน่นนี่ ดูแล้วไม่รู้หรอกเอาไว้ทำไรบ้าง ได้แต่ปล่อยให้ครูตรวจสอบทั้งหมด
ก่อนจะออกเดินทาง ทดสอบกล้องให้พร้อมสรรพ แล้วถามครูว่า
ฉัน: ครูคะ ฉันต้องทำยังไงบ้าง?
ครู: ไม่ต้องทำอะไร พอบอกให้วิ่ง ก็วิ่งอย่างเดียว อย่าหยุด!!!!
ตอนนั้นใจเต้นแรงมาก ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น เสียงครูบอกว่า พร้อมนะ 1 2 3 RUN!!
โกยสี่ขา หน้าสู้ฟัดมา…ไม่ถึง 10 วินาทีของการวิ่งนั้น ตัวก็ลอยในอากาศแล้วล่ะ ร่มที่ครูจัดไว้ กางรับลมเต็มที่
ครูบอกว่า ไม่ต้องเกร็งแล้ว เราขึ้นได้อย่างปลอดภัย นั่งได้แล้วล่ะ
ตอนนั้นแหละเพิ่งรู้ว่า เสื้อชูชีพที่ครูเอามาติดให้นั้น พอขึ้นมาบนอากาศบางส่วนของมันจะกลายเป็นที่นั่งของเราไปด้วยในตัว
พอนั่งได้ที่ ความตื่นเต้นก็เริ่มหายไปที่ละน้อย
ครูพาบินจากเขาลูกแรก วนไปดูเข้าลูกถัดไป แถมชี้ให้ดูหมู่บ้านด้านล่าง
ตอนนั้นเอง รู้สึกว่าตัวเองรู้ซึ้งถึงความเป็นนก ได้โบยบินบนอากาศ ผ่าแรงลม ผ่านภูเขา ผ่านสายน้ำ ผ่านชุมชน ความรู้สึกมันเป็นยังไง
เวลา 20 นาทีบนฟ้า ยาวนานสำหรับคนที่กลัวความสูง แต่สั้นมากสำหรับคนรักการผจญภัย
แอบถามครูว่าครูบินมานานเท่าไหร่แล้ว ครูบอกว่าเมื่อก่อนเริ่มจากชอบ ฝึกบิน เรียนและก็มาสอน ทำมาแบบนี้สิบกว่าปีแล้ว (อายุครูไม่เยอะ แปลว่าครูเล่นมาตั้งแต่เด็ก)
นอกจากเล่นร่มแล้ว ครูยังชอบเดินทาง พอเจอกันทีแรกแล้วเราบอกว่ามาจากประเทศไทย ครูบอก “สวัสดีครับ” เสียงชัดเจนมาก
ระหว่างอยู่บนฟ้าเลยเม้าท์มอยเรื่องประเทศไทยกันยกใหญ่ ไปเที่ยวไหนบ้าง ชอบอาหารไทยชนิดไหน ชอบอะไรที่เมืองไทยบ้าง
คุยสนุกถูกคอ ครูเลยแถมเวลาให้เพิ่ม 555
ก่อนจะร่อนลง ครูถามว่า เธอกลัวไหม จะพาเหวี่ยงตัว โอเคไหม? ก็แอบคิดว่าเหวี่ยงเล็กๆ ซ้ายขวา คงไม่น่ากลัวมาก ที่ไหนได้
เสียงกรี๊ดตัวเองดังลั่นหู เพราะครูพาเหวี่ยงซ้ายขวา แล้วตีลังกาหมุนรอบตัว
ตอนนี้แหละ ที่เสียงกรี๊ดดังยาว
แล้วก็พบว่าความสนุกของการเล่นร่ม มันอยู่ตรงนี้นี่เอง
ร่อนไปมาจนหมดเวลา เราก็มาถึงจุดที่ต้องร่อนลงจอด ที่จอดกับที่ขึ้นห่างกันอยู่หลายกิโล ครูให้ทีมงานเอารถมาจอดทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว เราร่อนลงจอดที่ลานกว้างไม่ไกลจากจุดที่จอดรถมากนัก น่าจะเป็นจุดที่ใช้ร่อนลงเป็นปกติ เพราะไม่ใช่แค่ทีมเราเท่านั้น แต่มีนักร่มร่อนคนอื่นด้วยที่ใช้บริการลานนี้
[CR] เหิรฟ้าท้าภูเขาหิมะ...เล่นร่มร่อน (Paragliding) ครั้งแรกในชีวิตที่ฝรั่งเศส
บันจี้จัมพ์ กระโดดร่ม นี่อยากมาก…แต่พอเดินขึ้นที่สูงทีไร ทำไมมันโคตรหวิว ใจสั่น ขาสั่น ตัวสั่น
เพราะเหตุนี้ โตมาจนถึงอายุปูนนี้ก็ไม่กล้าลองจริงจังซักที แต่เล่นเครื่องเล่นในสวนสนุก รถไฟเหาะตีลังกาหลายตลบ ดันไม่เป็นไร เล่นได้หลายรอบ
หลายคนบอกว่า มันคือ “ความกลัวในใจ” ถ้าเราไม่กล้า เราก็จะผ่านมันไปไม่ได้
สมัยมัธยม มีวิชากรีฑาที่ต้องกระโดดข้ามรั้ว อารมณ์มันน่าจะเหมือนกระโดดยางไงละ คิดอยู่ในใจตอนนั้น แต่กระโดดหนังยาง ถ้าเราโดนมันยังไม่เจ็บนะ แต่กระโดดข้ามรั้วแล้วชนนี่ ไม่อยากคิด
อาจเพราะคิดแบบนี้….ทำให้ชั่วโมงแรกของการเรียน ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่กล้ากระโดด ออกวิ่งไปถึงหน้ารั้วแล้วหยุด…วิ่งกลับมาต่อแถวใหม่ ทำแบบนี้ไปจนหมดเวลาเรียน และหวังว่าคุณครูจะไม่ได้ทันสังเกตุ ผ่านไปซัก 2 ครั้งยังทำแบบเดิม เพราะใจมันไม่กล้าที่จะข้าม….
กลับบ้านนอนคิดแบบเครียด ถ้ายังเป็นแบบนี้รับรองไม่ผ่านวิชานี้แน่ๆ แล้วเกรดจะเป็นยังไง….ความกลัวชนิดใหม่เริ่มเกิดขึ้น
กลัวแบบไหนจะมีมากกว่ากัน ระหว่างกลัวเจ็บโดดไม่ข้ามรั้ว กับกลัวสอบตก!!!
สมัยนั้นการสอบตกเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เรียนดีมาทุกวิชาแต่มาตกวิชาพละ มันคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
เลยนัดเพื่อนร่วมแก๊งค์มาซ้อมกันหลังเลิกเรียน
แล้วเย็นวันนึงความกล้าก็บังเกิด…
วิ่ง วิ่ง วิ่ง………อย่าหยุดนะ
ดีใจน้ำตาจะไหล เอาชนะความกลัวได้แล้ว
หลังจากเย็นวันนั้น วิชาวิ่งข้ามรั้วเลยไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เกรดที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจทุกฝ่าย
ที่เล่ามาไม่ได้จะบอกว่า ตอนนี้กล้าบันจี้จัมพ์หรือกระโดดร่ม แต่ความกลัว มันเริ่มหายไป เลยกล้าที่จะลองอะไรที่หวาดเสียวน้อยกว่านั้นได้หน่อยนึง
คุณพ่อเป็นคนที่เริ่มไอเดียการโดดร่มจากเครื่องบิน พ่อบอกว่าอยากกระโดดมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาส
ตอนนี้อายุเกือบจะ60ปีแล้ว เลยขอใช้เวลาว่างฝึกร่มบิน(Paramotor) ร่มที่ติดใบพัดไว้ด้านหลัง เวลาจะบิน ก็ลอยตัวจากพื้นดินโดยใช้ลมจากใบพัดช่วย อารมณ์น่าจะคล้ายๆกัน
พอเห็นพ่อเล่นก็อยากลองบ้าง แต่การจะเรียนแล้วเล่นแบบนี้ต้องมีผู้ฝึกสอนอย่างจริงจัง ที่สำคัญพ่อบอกว่า paramotor อาจจะหนักไปสำหรับฉัน ควรลองเล่นแบบอื่นไปก่อนดีกว่า
มาเที่ยวฝรั่งเศสหลายครั้ง เห็นคนที่นี่เล่น ร่มร่อน (Paragliding) ที่ฝรั่งเศสเค้าเรียกว่าพาราปองต์ (Parapente) แล้วอาการอยากมันกลับมา ไม่รู้ทำไมเค้าเรียกว่าร่มร่อน แต่ฉันชอบเรียกง่ายๆเข้าใจว่ามันคือร่มบิน ดังนั้นตอนเขียนนี้ อาจจะมีทั้งร่อน ทั้งบิน ทั้งทับศัพท์ Paraglidingสสลับกันไป เอาเป็นว่าพยายามหมายถึงสิ่งเดียวกัน
ที่ฝรั่งเศสนี่เค้าเล่น Paragliding กันเยอะมาก อาจเพราะบ้านเค้ามีภูเขาสูงๆเยอะ การเล่นร่มร่อนต้องเดินขึ้นไปบนเขา แล้วร่อนลงมา โดยมีร่มช่วยรับลม คนที่เล่นเก่งๆเค้าก็ร่อนอยู่ได้นานมาก เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา สนุกสนานเพลิดเพลินกันไป เห็นแบบนั้นแล้วก็เช็คตาราง เช็คราคาโดยด่วน
ครั้งแรกที่เมืองแถบเทือกเขาแอล์ปในหน้าร้อน วันแรกคิวเต็ม ส่วนวันที่สองปรากฎว่าอากาศไม่ดี ลมแรงมาก ไม่เหมาะแก่การเล่นร่มบิน วันที่สามอากาศดี แต่เป็นวันที่ต้องกลับซะแล้ว
อด…ตามระเบียบ
ครั้งนี้มาเที่ยวเมืองแถบเทือกเขาแอล์ปในหน้าหนาว มีกิจกรรมร่มร่อนโฆษณาอยู่ โทรไปจองปรากฎว่า อากาศไม่ดี ไม่น่าจะเล่นได้…..เสียใจอีกครั้ง แต่ครูก็ยังให้ความหวังว่า ถ้าวันหลังอากาศดี จะรีบโทรมาบอกก่อนใคร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันถัดมา….ยิ้มไม่หุบ
เพราะครูแจ้งว่า พรุ่งนี้พยากรณ์อากาศดีมากนะ คิดว่าจะเล่นได้ นัดเวลาให้มาเจอกันตอนเช้า เรื่องเงินไว้ว่ากันทีหลัง เล่นเสร็จแล้วค่อยจ่ายก็ได้ เผื่ออากาศเปลี่ยนแปลงยังไง จะได้ไม่เสียเงินฟรีๆ เรียกว่าใช้บริการเสร็จค่อยว่ากัน
ตื่นแต่เช้าแต่งตัวพร้อมมาก ใส่เสื้อผ้าสำหรับเล่นสกี หมวก แว่นตา ถุงมือพร้อม เพราะเราจะร่อนลงมาจากเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เทือกเดียวกับนักเล่นสกีเค้าใช้งานนี่แหละ
จาก Serre Chevalier (เดี๋ยวจะเล่าถึงในตอนถัดไป) ขับรถมาที่ Briançon ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เราต้องหาที่จอดรถแล้วนัดเจอครูที่หน้าประตู Cable Car เพื่อขึ้นไปบนเขา ไม่ถึง 10 นาที ครูฝึกเดินมา 2 คน พร้อมแบกกระเป่าร่มและอุปกรณ์ใหญ่เกือบเท่าตัว และคาดว่าคงจะหนักไม่น้อย ทักทายกันพอเป็นพิธี ครูก็พาเราขึ้นไปด้านบน
วันนี้มีนักเรียน 2 คน (จริงๆเรียกว่านักเรียนก็ไม่ได้ เพราะครูคงไม่ได้สอนอะไร แค่พาเราบินร่อนไปพร้อมๆกับเค้า)
เคเบิ้ลคาร์ถึงจุดที่สูงที่สุดเท่าที่จะขึ้นได้ แต่ไม่ใช่จุดที่เราจะร่อนลงค่ะ เราต้องเดินเท้าขึ้นไปจากจุดนี้อีกซัก 10 นาที จริงๆก็ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เพราะเดินย่ำหิมะข้ามเนินไปหาพื้นที่ราบใกล้ผา ขาคงไม่เหนื่อยขนาดนี้ เอาเถอะ มาถึงแล้วก็ต้องไปต่อ
วิวด้านบนสวยมากๆ มองไปทางไหน ก็มีหิมะขาว ตัดกับฟ้าใสๆเต็มไปหมด เดินไป ถ่ายรูปสวยๆไป ก็ลืมว่ากำลังเหนื่อย
พอถึงลานที่เราจะใช้เป็นจุดสตาร์ท ครูก็เริ่มแกะอุปกรณ์ เอาร่มออกมากางแผ่ไว้บนลานหิมะ
สายร่มแต่ละสายต้องจัดให้เข้าที่ จะพันกันไม่ได้ เพราะถ้าร่อนลงไปแล้ว สายร่มพันกัน ร่มอาจจะพับได้
ฉันได้แต่ยืนดูอย่างตื่นเต้นและให้กำลังใจครู โดยรู้ว่าครูมีประสบการณ์มากกว่าแน่นอน ระหว่างรอ ฉันเดินเล่นรอบๆ ชมวิวทิวทัศน์จากมุมสูงไปพลางๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปชมในมุมของนก ใช่ไม่ช้า
ครูส่งสัญญานว่า “พร้อมแล้ว” ให้มาแต่งตัวได้
การแต่งตัวที่ว่าคือการใส่เสื้อชูชีพพร้อมร่มเล็กซ่อนอยู่ด้ายหลัง ติดอุปกรณ์ความปลอดภัยมากมาย ตะขอโน่นนี่ ดูแล้วไม่รู้หรอกเอาไว้ทำไรบ้าง ได้แต่ปล่อยให้ครูตรวจสอบทั้งหมด
ก่อนจะออกเดินทาง ทดสอบกล้องให้พร้อมสรรพ แล้วถามครูว่า
ฉัน: ครูคะ ฉันต้องทำยังไงบ้าง?
ครู: ไม่ต้องทำอะไร พอบอกให้วิ่ง ก็วิ่งอย่างเดียว อย่าหยุด!!!!
ตอนนั้นใจเต้นแรงมาก ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น เสียงครูบอกว่า พร้อมนะ 1 2 3 RUN!!
โกยสี่ขา หน้าสู้ฟัดมา…ไม่ถึง 10 วินาทีของการวิ่งนั้น ตัวก็ลอยในอากาศแล้วล่ะ ร่มที่ครูจัดไว้ กางรับลมเต็มที่
ครูบอกว่า ไม่ต้องเกร็งแล้ว เราขึ้นได้อย่างปลอดภัย นั่งได้แล้วล่ะ
ตอนนั้นแหละเพิ่งรู้ว่า เสื้อชูชีพที่ครูเอามาติดให้นั้น พอขึ้นมาบนอากาศบางส่วนของมันจะกลายเป็นที่นั่งของเราไปด้วยในตัว
พอนั่งได้ที่ ความตื่นเต้นก็เริ่มหายไปที่ละน้อย
ครูพาบินจากเขาลูกแรก วนไปดูเข้าลูกถัดไป แถมชี้ให้ดูหมู่บ้านด้านล่าง
ตอนนั้นเอง รู้สึกว่าตัวเองรู้ซึ้งถึงความเป็นนก ได้โบยบินบนอากาศ ผ่าแรงลม ผ่านภูเขา ผ่านสายน้ำ ผ่านชุมชน ความรู้สึกมันเป็นยังไง
แอบถามครูว่าครูบินมานานเท่าไหร่แล้ว ครูบอกว่าเมื่อก่อนเริ่มจากชอบ ฝึกบิน เรียนและก็มาสอน ทำมาแบบนี้สิบกว่าปีแล้ว (อายุครูไม่เยอะ แปลว่าครูเล่นมาตั้งแต่เด็ก)
นอกจากเล่นร่มแล้ว ครูยังชอบเดินทาง พอเจอกันทีแรกแล้วเราบอกว่ามาจากประเทศไทย ครูบอก “สวัสดีครับ” เสียงชัดเจนมาก
ระหว่างอยู่บนฟ้าเลยเม้าท์มอยเรื่องประเทศไทยกันยกใหญ่ ไปเที่ยวไหนบ้าง ชอบอาหารไทยชนิดไหน ชอบอะไรที่เมืองไทยบ้าง
คุยสนุกถูกคอ ครูเลยแถมเวลาให้เพิ่ม 555
ก่อนจะร่อนลง ครูถามว่า เธอกลัวไหม จะพาเหวี่ยงตัว โอเคไหม? ก็แอบคิดว่าเหวี่ยงเล็กๆ ซ้ายขวา คงไม่น่ากลัวมาก ที่ไหนได้
ตอนนี้แหละ ที่เสียงกรี๊ดดังยาว
แล้วก็พบว่าความสนุกของการเล่นร่ม มันอยู่ตรงนี้นี่เอง
ร่อนไปมาจนหมดเวลา เราก็มาถึงจุดที่ต้องร่อนลงจอด ที่จอดกับที่ขึ้นห่างกันอยู่หลายกิโล ครูให้ทีมงานเอารถมาจอดทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว เราร่อนลงจอดที่ลานกว้างไม่ไกลจากจุดที่จอดรถมากนัก น่าจะเป็นจุดที่ใช้ร่อนลงเป็นปกติ เพราะไม่ใช่แค่ทีมเราเท่านั้น แต่มีนักร่มร่อนคนอื่นด้วยที่ใช้บริการลานนี้
https://www.facebook.com/ARemarkableJourney/
IG: aremarkablejourney
www.aremarkablejourney.com
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น