นับถอยหลัง เตรียมบอกเลิกเมีย หลังจากแกล้งทำเป็นโดนสวมเขาอยู่ปีกว่า

สวัสดีครับ ยืมอมยิ้มรุ่นพี่ มาตั้งกระทู้นะครับ  ...  พอดีมีเรื่องที่ผมทนทุกข์ทรมานมาปีกว่าแล้ว เคยหาทางออกไม่ได้ แต่ตอนนี้ความคิดเริ่มตกผลึกแล้ว สภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว จึงมาตั้งกระทู้เพื่อแชร์เรื่องราว และบันทึกความทรงจำไปด้วยครับ

          ผมกับแฟน คบกันได้ประมาณ 2 ปี ก็ตัดสินใจไปเปิดโลก ที่อเมริกา ด้วยกัน เนื่องจากแฟนผมใฝ่ฝันจะไปอเมริกามานานแล้ว  ประกอบกับผมที่ทำงานมา 7-8 ปี เกิดความเบื่อหน่ายงาน เลยอยากออกไปเปิดโลก เติมไฟให้ชีวิต และฝึกภาษาอังกฤษ เลยตัดสินใจไปด้วยกัน

          ก่อนไปก็เตรียมจะหมั้นกันไว้ก่อน แต่ทางผู้ใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วย เนื่องจากเหตุผลเรื่องความเหมาะสม สรุปว่าจับพลัดจับผลูแต่งงานกันไปเลย ผู้ใหญ่จะได้สบายใจ  สำหรับผม ตอนนั้น แต่งงานก็โอเค เพราะผมก็อายุขึ้นเลขสามแล้ว กับผู้หญิงคนนี้ ก็มีความเหมาะสมกันดี ทัศนคติ(ในตอนนั้น) ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทางบ้านของทั้งสองฝ่ายก็ชอบทั้งผมและแฟน ตอนนั้นเลยคิดว่ายังไงก็หยุดที่คนนี้แล้ว จะแต่งก่อนไป หรือกลับมาแล้วค่อยแต่ง ก็ไม่น่าต่างกัน จึงตัดสินใจแต่งงาน แต่ยังไม่จดทะเบียน เพราะจะมีปัญหาในการขอวีซ่าไปอเมริกา ( เคยมีเคสเพื่อนเพิ่งแต่งงาน จดทะเบียน แล้วขอวีซ่าไปอเมริกาด้วยกันไม่ผ่าน เพราะเขาพิจารณาว่ามีแนวโน้ม จะโดดวีซ่า ) ดังนั้นจึงขอเรียกเธอว่า “แฟน” นะครับ เพราะการแต่งงานยังไม่สมบูรณ์

          หลังจากแต่งงานแล้วก็บินไป อเมริกา ไปเรียนภาษาก่อน จากนั้นพอมีลู่ทางก็หางานเสิร์ฟในร้านอาหารไทย ( เป็นงานผิดกฏหมายแน่นอนครับ แต่มองแบบโลกไม่สวย มันก็ต้องทำ เพื่อความอยู่รอด )

          อยู่ปีแรกก็มีความสุข-ทุกข์ตามประสา ได้ลงเรียนนู่นนี่ ได้ไปเที่ยวหลายๆเมือง แต่ไม่ค่อยมีตังค์เก็บ เพราะหาเงินมาได้ก็เอามาใช้จ่ายค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง ค่าเรียน ชอปปิ้ง เที่ยว

          ตอนแรกกะแพลนอยู่ปีเดียว แล้วกลับไทยมาหางานออฟฟิศทำเหมือนเดิม ( ก่อนจะไปอเมริกา ผมก็ถือว่ามีรายได้สูงพอตัว และมั่นใจว่ากลับมาก็สามารถหางานทำได้ไม่ยาก ) แต่ติดใจอเมริกา อยากเที่ยวอีก เลยอยู่ต่ออีกปีนึง และวางแผนกลับตอนครบปีที่สอง ซึ่งเธอก็เห็นด้วย เราวางแผนว่าจะกลับมาหางานและซื้อคอนโด หรือบ้าน อยู่ด้วยกัน

          ระหว่างอยู่ที่นี่ ก็มีดราม่าส่วนตัวของผมนิดนึง ที่อาจจะส่งผลต่อเนื้อเรื่อง  คือผมไม่ชอบทำงานร้านอาหารมากๆ เนื่องจากไม่ถนัด ไม่คล่อง  คือผมถนัดทำงานนั่งโต๊ะ ค่อยๆใช้ความคิด มีสมาธิ ทำงานให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่งานร้านอาหารนี่ต้องอาศัยความคล่องแคล่วว่องไง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า วาทะศิลป์ ถึงจะทำให้ลูกค้าพอใจ และให้ทิปดีๆ  ซึ่งผมไม่มีจุดนี้ จึงโดนทั้งผู้จัดการ และเพื่อนร่วมงาน ดุด่า บ่น เป็นประจำ พาลให้เกิดความแอนตี้งานร้านอาหาร ผมจึงทำร้านอาหารแค่ไม่กี่วัน เพื่อให้มีเงินสดใช้จ่ายที่นี่ ส่วนเวลาที่เหลือผมก็เป็นฟรีแลนซ์ รับงานจากไทย รับเงินไทย เอาไว้จ่ายค่าบัตรเครดิต เวลาใช้บัตรเครดิตรูดซื้อของที่นี่ ก็เอาตัวรอดอยู่ได้สบายๆ มีตังค์ชอป เที่ยว  แค่ไม่มีเงินเก็บ 555

          ส่วนแฟนผมก็เข้ากับงานร้านอาหารได้ดี ดูเขาทำก็มีความสุขดีระดับหนึ่ง เพราะได้ตังค์เยอะ เขาก็มีเงินเก็บพอสมควร ( เราทั้งคู่แยกกระเป๋ากันครับ มีกองกลางที่เก็บด้วยกันบางส่วน ) ซึ่งจุดนี้เริ่มเห็นความแตกต่างกันแล้วว่า ผมมีความสุขกับงานที่ไทยมากว่า หาเงินได้มากกว่าทำงานร้านอาหารที่นี่ ส่วนแฟนผมสามารถหาเงินที่นี่ ได้มากกว่าที่เมืองไทย หลายเท่า

          ทีนี้ก็อาจจะมีดราม่ากันเล็กน้อย ตรงที่ผมไม่มีเงินเก็บที่อเมริกา แล้วก่อนจะกลับไทย ก็วางแผนเที่ยวส่งท้าย และซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน พร้อมแวะเที่ยวประเทศรายทางที่แวะเปลี่ยนเครื่อง ผมก็ช็อตเงินครับ 555 ไม่มีตังซื้อตั๋วเครื่องบิน  ตอนแรกคิดว่าจะขายหุ้นที่ไทยบางส่วน เพื่อเอามาซื้อตั๋วเครื่องบินสำหรับเที่ยวและกลับไทย ( pocket money ระหว่างเที่ยวด้วย )  แต่แฟนผมเสนอว่าให้ใช้เงินเก็บเธอ  ไว้กลับไปไทยผมค่อยหาเงินคืนเธอทีหลังแสนนึง ... สำหรับผม แสนนึง ผมหาที่ไทยไม่กี่เดือน ก็คืนได้แล้ว ก็โอเค  แต่ก็แอบรู้สึกผิดที่ผมต้องยืมตังค์เธอ คือเราเป็นผู้ชาย เป็นผู้นำ ก็ควรจะหาเงินได้เยอะกว่า เป็นฝ่ายเลี้ยงภรรยาไง  แต่ที่อเมริกา มันไม่ใช่ที่ๆผมทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้ากลับมาไทย ผมถึงจะใช้ความสามารถของผมได้เต็มที่

          หลังจากเที่ยวส่งท้ายที่อเมริกาเสร็จ ก็ถึงคราวเตรียมตัวกลับบ้าน มันเริ่มมีความแปลกๆกับแฟนผมช่วงนี้แหละครับ เธอเริ่มติดมือถือมากขึ้น แทบจะไม่เอาวางห่างตัว ไปอาบน้ำก็เอาเข้าไปด้วย แล้วก็แอบเห็น text คุยกะฝรั่งบ้าง เธอบอกว่าเป็นเพื่อน อยากฝึกภาษา  ซึ่งเธอก็มีเพื่อนฝรั่งบ้างอยู่แล้ว เป็นเพื่อนที่โรงเรียนบ้าง สามีของเพื่อนบ้าง เลยยังไม่ได้เอะใจ เพราะไว้ใจมากด้วย

          ความพีคเริ่มบังเกิด เมื่อเดือนสุดท้ายก่อนกลับไทย เธอเริ่มกลับบ้านดึกขึ้น จากดึกขึ้นกลายเป็นไม่กลับบ้าน บอกว่าปาร์ตี้ส่งท้ายกะพวกเพื่อนสาวๆ ไม่อยากกลับตอนดึกๆ มันอันตราย  ผมก็เริ่มตะหงิดๆล่ะ ว่าจะปาร์ตี้บ่อยอะไรขนาดนั้น ปกติเธอไม่ใช่คนชอบปาร์ตี้นะ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

          จู่ๆวันนึง เธอก็ text มาหาผม  ข้อความประมาณว่า ( ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เค้าก็ยังรักตัวที่สุดนะ ) ผมก็กลับไปถามว่าเกิดไรขึ้น เธอก็ไม่บอก ไม่พูดอะไรสักอย่าง …… มันเริ่มน่าสงสัยใช่มั๊ยครับ

          ช่วงท้ายๆที่ต้องเตรียมความพร้อมหลายอย่าง เช่นแพคของลงเรือกลับบ้าน ขายรถยนต์ จัดการเอกสารหลายอย่าง ผมต้องเป็นคนทำคนเดียวหมดเลย รู้สึกเหนื่อยนะ แอบคิดว่า “เมิงหายไปไหน ทำไมต้องทิ้งงานพวกนี้ให้ตรูทำคนเดียว!!! )

          คืนสุดท้ายก่อนกลับไทย เธอก็ไม่กลับบ้านอีก โทรไปไม่รับ ปล่อยให้ผมต้องเชคความพร้อมขั้นสุดท้ายคนเดียว มันใช่มะ !!!  แล้วเธอก็กลับมาสายๆ กลับมาถึง มาเก็บของส่วนตัว แล้วก็นั่งร้องไห้ เธอบอกว่าเธอสับสน  มันเริ่มชัดแล้ว ว่าเกิดไรขึ้นบางอย่าง !!!  พอเก็บของเสร็จ ผมเข้าไปอาบน้ำ เธอก็มาเคาะประตูห้องน้ำ ตะโกนบอกว่าจะออกไปแบงค์ แล้วรีบออกไปเลย ( ไปแบงค์วันอาทิตย์เนี่ยนะ  ที่อเมริกา แบงค์ปิดวันเสาร์ อาทิตย์ครัช 555 )  จากนั้นก็หายไปอีกหลายชั่วโมง โทรไปไม่รับตามเคย กว่าจะกลับมาบ้านก็เกือบได้เวลาต้องออกไปสนามบินแล้ว

          ก่อนจะกลับ ก็ร่ำลากับเจ้าของบ้านที่เช่าอยู่ แกถามว่าจะกลับมาอีกมั๊ย ผมบอกว่าอยากจะกลับมาอีก ชอบอเมริกามาก แต่สายงานของผมหางานแบบถูกกฏหมายที่นี่ยาก แกเลยแนะนำแบบติดตลก ว่า ถ้าอยากอยู่แบบกฏหมาย ก็แต่งงานกับฝรั่งอเมริกันไง ( แกเป็นคนลาว ได้สัญชาติอเมริกันก็เพราะแต่งงานเหมือนกัน ) ผมก็หัวเราะแห้งๆ ส่วนแฟนผมตอบมาแบบติดตลก ว่า โอเค มีแล้ว ( แต่ผมตลกไม่ออกแล้ว !!! )


          ช่วงเวลาที่แวะเที่ยว 12 วัน นี่ผมโคตรจะไม่มีความสุข เพราะความคิดมันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมๆๆ ( จะเปลี่ยนตั๋ว ยกเลิกทริปก็ไม่ทันแล้วครับ เพราะเริ่มรู้ตัวไม่กี่วันก่อนจะบิน ต้องซื้อตั๋วใหม่เลย ตังก็ไม่มี )  ตอนกลางวันนี่ก็เที่ยวแบบเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น  พอตอนกลางคืน กลับเข้าที่พักแล้ว เธอไม่อยู่ในห้องครับ  บอกว่า wifi ไม่แรง  นั่งที่ลอบบี้ wifi แรงกว่า  ผมแอบย่องตามไปดูบ้าง เธอก็หลบทันตลอด ( ช่วงนั้นผมงดกิจกรรมเข้าจังหวะแล้วครับ เหมือนมีเซนส์อะไรบางอย่างว่าไม่ควร )

ต่อความเห็นล่างนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่