จ่าพิเชษฐ์โดนยึดล็อคอิน เลยหนีไปเล่น fb แล้วค่ะ
http://ppantip.com/topic/35233040
แท็กการเมืองนะคะ
เพราะอาลีเป็นบุคคลสาธารณะ
ที่นอกจากจะเป็นคนดังในแวดวงกีฬาแล้ว
เขามีบทบาททางการเมืองในสมัยสงครามเวียดนามค่ะ
เนื่องจากอาลีออกมาต่อต้านสงครามเพราะไม่อยากถือปืนไปเข่นฆ่าพวกเวียดกงค่ะ
______________________________________________________________
"ไอไม่เคยมีเรื่องโกรธหรือเคืองแค้นอะไรกับพวกเวียดกง
เพราะไม่มีเวียดกงคนไหนที่เรียกไอแบบเหยียดหยามว่า 'นิโกร' เลย
(แล้วทำไมจะต้องให้ไอถือปืนไปรบ ไปเข่นฆ่าคนที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันเล่า ?????)"
"I ain't got no Quarrel With The VietCong...No VietCong Ever Called Me Nigger.”
http://www.goodreads.com/quotes/192738-i-ain-t-got-no-quarrel-with-the-vietcong-no-vietcong-ever
ไอ้เคลย์ตายแล้ว...!!!!
"แคสเซียส เคลย์" หรือ "มูฮะหมัด อาลี"
ถึงคราวลาโลกไปเฝ้าพระเจ้าในวัย 74 กะรัต
หลังจากที่ป่วยเป็น พาร์คินสัน ดิซีส มานมนาน....เอ้าาาาา...พักผ่อนนะไอ้เคลย์
แต่รูปถ่ายของ "สิงห์ขี้โม้" รูปนี้
มันอาจจะเป็นรูปถ่ายภาพกีฬาที่สุดยอดที่สุดในศตวรรษเลย
Niel Leifer เป็นคนกดชัตเตอร์ภาพที่ว่ากันว่า "perhaps the greatest sports photo of the century"
ลองไปอ่านกันดูครับ
http://time.com/4357436/muhammad-ali-dead-sonny-liston-fight-photo/
นีลทำงานให้กับ Sport illustrated
ก็อย่างที่รู้ๆกันแหละ
ว่าการที่ช่างภาพจะได้ภาพดีๆนั้น
มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่สำคัญต้องอยู่ ""ถูกที่ถูกเวลา"
ภาพนี้เป็นภาพที่อาลีขึ้นเวที
เพื่อประหมัดกับ "ซอนนี่ ลิสตั้น"ในการชกชิงเข็มขัดรุ่นเฮฟวี่เวท
ที่ เซ็นต์ดอมินิค อารีน่า ลิววิสตั้น ในรัฐเมนส์ ปี 1965 ...ในข่าวเขาบรรยายว่า
"Muhammad Ali after first round knockout of Sonny Liston during World Heavyweight Title fight at St. Dominic’s Arena in Lewiston, Maine on 5/25/1965"
นีลบอกว่า...
"ไออยู่ที่ชั้นริงไซ้ด์ (ข้างๆเวที)
และ ไอไม่พลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวที"
ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเพียงแค่ 1 นาที 44 วินาทีของยก 1 เท่านั้น
อาลีก็ปล่อยหมัดขวาตูมเข้าที่ปลายคางของลิสตั้น
แหมมม...จะเหลืออะไรล่ะครับ พลังหมัดของอาลีในตอนนั้นอย่างกับ "ช้างถีบ"...!!!
ลิสตั้นร่วงโครมลงไปกองกับพื้น
ส่วนนีลที่อยู่ขอบเวทีนะเหรอ
มันก็กดชัตเตอร์รัวๆๆๆแบบไม่ยั้ง
เพื่อที่จะบันทึก "อารมณ์แห่งประวัติศาสตร์" นี้
นีลบอกว่าอาลียืนทะมึนค้ำร่างลิสตั้น
แล้วคำรามว่า "ไอ้อ่อนเอ๊ยยยย.....ลุกขึ้นมาสู้ต่อดิ"
“Get up and fight, sucker!”
ทุกอย่างมัน "พอดี" ไปหมดใน shot นี้
เพราะมีทั้งแสงไฟจากสป็อทไล้ท์ที่สาดลงมาบนเวที
มีกลุ่มควันอวลๆไปทั้งเวทีที่มาจากซิก้าร์ และ บุหรี่ ของแฟนมวย
ทั้งแสง ทั้งควัน ที่เกิดขึ้นเองจากบรรยากาศรอบๆข้าง
เลยทำให้เวทีแห่งนี้ had turned the ring into the perfect studio กลายเป็นฉากในสตูดิโอดีๆนี่เอง
ภาพนี้ทำให้อาลี "ขึ้นหม้อ"
กลายเป็นนักกีฬาที่ได้รับความนิยมที่สุดในสมัยนั้น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ กีฬา การเมือง และ ป๊อบคัลเจอร์ กำลังอยู่ในช่วงชี้นำสังคม
แต่ที่แน่ๆ
ชัยชนะของอาลีที่มีต่อลิสตั้นนั้น
มีคน 4 คนที่อยู่คนละฝากมหาสมุทรที่เกาะอังกฤษนั่งหัวเราะด้วยความสะใจ
จะใครล่ะครับ ถ้าไม่ใช่วง The Beatles สุดที่รักของจ่านี่แหละ...55555.....!!!!!!
ตอนที่ The Beatles ไปอเมริกานั้น
1 ในแผนการตลาดก็คือการจับเอาพวกเต่าทอง กับ ลิสตั้น มาถ่ายรูปร่วมกัน
เป็นแผนการตลาดที่จะดัน The Beatles เพราะพวกเต่าทองเพิ่งดังในขณะที่ลิสตั้นนั้นดังอยู่แล้ว
แต่เมื่อถึงเวลานัด
ลิสตั้นมันไม่เอาด้วยเฉยเลย
เพราะมันไม่สนใจ The Beatles และ ไม่อยากเสียเวลามาเสวนาด้วย
แต่....ใน "วิกฤติ" ย่อมมี "โอกาส" ครับ...!!!!
ค่ายเพลงแก้ปัญหาด้วยการจับเอาอาลีมาถ่ายรูปโปรโมทกับ The Beatles แทน....!!!!
พวกเต่าทอง กับ อาลี เข้ากันได้ดี
ทั้ง 2 ฝ่ายหยอกล้อกันอย่างสนุก และ ได้ภาพสวยๆมากมาย
อาลีบอกกับพวกเต่าทองว่า "เฮ้ยยย...ไอว่าเรามาหาเงินกันเถอะพวก เราจะรวยไปด้วยกัน..เชื่อไอเถอะ"
หลังการเจอกันครั้งนั้น
The Beatles ก็ดังก้องโลกเพราะได้ออกรายการของ เอ็ด ซุลลิแว่น ที่อเมริกา
ส่วน มูฮะหมัด อาลี กลายเป็นแช้มป์โลกคนใหม่ด้วยการต่อยลิสตั้นหลับคาเวที
จ่ามั่นใจว่าพวกเต่าทองคงตบมือกระทืบเท้าอย่างสะใจที่ไอ้ลิสตั้นโดนน็อคครับ...5555....!!!
ปัจจุบันเต่าทองเหลือแค่ 2 คน
เพราะ จอห์น กับ จอร์จ ตายไปนานแล้ว
เหลือแค่ไอ้พอล กับ ไอ้ริงโก้ ที่ไม่รู้จะตายเมื่อไร
ป่านนี้ไอ้จอห์น กับ ไอ้จอร์จ คงไปยืนรอหน้าประตูสวรรค์เพื่อต้อนรับไอ้เคลย์แล้วแหละ
แต่ที่แน่ๆภาพนี้ของ Sport illustrated เป็นภาพคลาสสิคจริงๆ
ชนิดว่าดูกี่ครั้งก็มองเห็นตัวตนของ "สิงห์ขี้โม้" แบบไม่ต้องตีความเลย....!!!!!!!!
"ไอไม่รู้หรอก ไอก็แค่กดชัตเตอร์ไม่ยั้ง"
"I had no idea i had taken this picture"
ขอบคุณ Niel Leifer ที่บันทึกประวัติศาสตร์เพื่อให้โลกได้จดจำ
จ่าพิเชษฐ์
Muhammad Ali : จ่าพิเชษฐ์โดนลูกยุของคุณตระกองขวัญค่ะ
http://ppantip.com/topic/35233040
แท็กการเมืองนะคะ
เพราะอาลีเป็นบุคคลสาธารณะ
ที่นอกจากจะเป็นคนดังในแวดวงกีฬาแล้ว
เขามีบทบาททางการเมืองในสมัยสงครามเวียดนามค่ะ
เนื่องจากอาลีออกมาต่อต้านสงครามเพราะไม่อยากถือปืนไปเข่นฆ่าพวกเวียดกงค่ะ
______________________________________________________________
"ไอไม่เคยมีเรื่องโกรธหรือเคืองแค้นอะไรกับพวกเวียดกง
เพราะไม่มีเวียดกงคนไหนที่เรียกไอแบบเหยียดหยามว่า 'นิโกร' เลย
(แล้วทำไมจะต้องให้ไอถือปืนไปรบ ไปเข่นฆ่าคนที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันเล่า ?????)"
"I ain't got no Quarrel With The VietCong...No VietCong Ever Called Me Nigger.”
http://www.goodreads.com/quotes/192738-i-ain-t-got-no-quarrel-with-the-vietcong-no-vietcong-ever
ไอ้เคลย์ตายแล้ว...!!!!
"แคสเซียส เคลย์" หรือ "มูฮะหมัด อาลี"
ถึงคราวลาโลกไปเฝ้าพระเจ้าในวัย 74 กะรัต
หลังจากที่ป่วยเป็น พาร์คินสัน ดิซีส มานมนาน....เอ้าาาาา...พักผ่อนนะไอ้เคลย์
แต่รูปถ่ายของ "สิงห์ขี้โม้" รูปนี้
มันอาจจะเป็นรูปถ่ายภาพกีฬาที่สุดยอดที่สุดในศตวรรษเลย
Niel Leifer เป็นคนกดชัตเตอร์ภาพที่ว่ากันว่า "perhaps the greatest sports photo of the century"
ลองไปอ่านกันดูครับ
http://time.com/4357436/muhammad-ali-dead-sonny-liston-fight-photo/
นีลทำงานให้กับ Sport illustrated
ก็อย่างที่รู้ๆกันแหละ
ว่าการที่ช่างภาพจะได้ภาพดีๆนั้น
มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่สำคัญต้องอยู่ ""ถูกที่ถูกเวลา"
ภาพนี้เป็นภาพที่อาลีขึ้นเวที
เพื่อประหมัดกับ "ซอนนี่ ลิสตั้น"ในการชกชิงเข็มขัดรุ่นเฮฟวี่เวท
ที่ เซ็นต์ดอมินิค อารีน่า ลิววิสตั้น ในรัฐเมนส์ ปี 1965 ...ในข่าวเขาบรรยายว่า
"Muhammad Ali after first round knockout of Sonny Liston during World Heavyweight Title fight at St. Dominic’s Arena in Lewiston, Maine on 5/25/1965"
นีลบอกว่า...
"ไออยู่ที่ชั้นริงไซ้ด์ (ข้างๆเวที)
และ ไอไม่พลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวที"
ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเพียงแค่ 1 นาที 44 วินาทีของยก 1 เท่านั้น
อาลีก็ปล่อยหมัดขวาตูมเข้าที่ปลายคางของลิสตั้น
แหมมม...จะเหลืออะไรล่ะครับ พลังหมัดของอาลีในตอนนั้นอย่างกับ "ช้างถีบ"...!!!
ลิสตั้นร่วงโครมลงไปกองกับพื้น
ส่วนนีลที่อยู่ขอบเวทีนะเหรอ
มันก็กดชัตเตอร์รัวๆๆๆแบบไม่ยั้ง
เพื่อที่จะบันทึก "อารมณ์แห่งประวัติศาสตร์" นี้
นีลบอกว่าอาลียืนทะมึนค้ำร่างลิสตั้น
แล้วคำรามว่า "ไอ้อ่อนเอ๊ยยยย.....ลุกขึ้นมาสู้ต่อดิ"
“Get up and fight, sucker!”
ทุกอย่างมัน "พอดี" ไปหมดใน shot นี้
เพราะมีทั้งแสงไฟจากสป็อทไล้ท์ที่สาดลงมาบนเวที
มีกลุ่มควันอวลๆไปทั้งเวทีที่มาจากซิก้าร์ และ บุหรี่ ของแฟนมวย
ทั้งแสง ทั้งควัน ที่เกิดขึ้นเองจากบรรยากาศรอบๆข้าง
เลยทำให้เวทีแห่งนี้ had turned the ring into the perfect studio กลายเป็นฉากในสตูดิโอดีๆนี่เอง
ภาพนี้ทำให้อาลี "ขึ้นหม้อ"
กลายเป็นนักกีฬาที่ได้รับความนิยมที่สุดในสมัยนั้น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ กีฬา การเมือง และ ป๊อบคัลเจอร์ กำลังอยู่ในช่วงชี้นำสังคม
แต่ที่แน่ๆ
ชัยชนะของอาลีที่มีต่อลิสตั้นนั้น
มีคน 4 คนที่อยู่คนละฝากมหาสมุทรที่เกาะอังกฤษนั่งหัวเราะด้วยความสะใจ
จะใครล่ะครับ ถ้าไม่ใช่วง The Beatles สุดที่รักของจ่านี่แหละ...55555.....!!!!!!
ตอนที่ The Beatles ไปอเมริกานั้น
1 ในแผนการตลาดก็คือการจับเอาพวกเต่าทอง กับ ลิสตั้น มาถ่ายรูปร่วมกัน
เป็นแผนการตลาดที่จะดัน The Beatles เพราะพวกเต่าทองเพิ่งดังในขณะที่ลิสตั้นนั้นดังอยู่แล้ว
แต่เมื่อถึงเวลานัด
ลิสตั้นมันไม่เอาด้วยเฉยเลย
เพราะมันไม่สนใจ The Beatles และ ไม่อยากเสียเวลามาเสวนาด้วย
แต่....ใน "วิกฤติ" ย่อมมี "โอกาส" ครับ...!!!!
ค่ายเพลงแก้ปัญหาด้วยการจับเอาอาลีมาถ่ายรูปโปรโมทกับ The Beatles แทน....!!!!
พวกเต่าทอง กับ อาลี เข้ากันได้ดี
ทั้ง 2 ฝ่ายหยอกล้อกันอย่างสนุก และ ได้ภาพสวยๆมากมาย
อาลีบอกกับพวกเต่าทองว่า "เฮ้ยยย...ไอว่าเรามาหาเงินกันเถอะพวก เราจะรวยไปด้วยกัน..เชื่อไอเถอะ"
หลังการเจอกันครั้งนั้น
The Beatles ก็ดังก้องโลกเพราะได้ออกรายการของ เอ็ด ซุลลิแว่น ที่อเมริกา
ส่วน มูฮะหมัด อาลี กลายเป็นแช้มป์โลกคนใหม่ด้วยการต่อยลิสตั้นหลับคาเวที
จ่ามั่นใจว่าพวกเต่าทองคงตบมือกระทืบเท้าอย่างสะใจที่ไอ้ลิสตั้นโดนน็อคครับ...5555....!!!
ปัจจุบันเต่าทองเหลือแค่ 2 คน
เพราะ จอห์น กับ จอร์จ ตายไปนานแล้ว
เหลือแค่ไอ้พอล กับ ไอ้ริงโก้ ที่ไม่รู้จะตายเมื่อไร
ป่านนี้ไอ้จอห์น กับ ไอ้จอร์จ คงไปยืนรอหน้าประตูสวรรค์เพื่อต้อนรับไอ้เคลย์แล้วแหละ
แต่ที่แน่ๆภาพนี้ของ Sport illustrated เป็นภาพคลาสสิคจริงๆ
ชนิดว่าดูกี่ครั้งก็มองเห็นตัวตนของ "สิงห์ขี้โม้" แบบไม่ต้องตีความเลย....!!!!!!!!
"ไอไม่รู้หรอก ไอก็แค่กดชัตเตอร์ไม่ยั้ง"
"I had no idea i had taken this picture"
ขอบคุณ Niel Leifer ที่บันทึกประวัติศาสตร์เพื่อให้โลกได้จดจำ
จ่าพิเชษฐ์