อยากไปเที่ยวอเมริกาแบบประหยัด 14 วัน งบไม่เกิน 2 แสนบาท แต่กลัวหลักฐานการงานไม่ผ่าน

(ข้อความยาวไปหน่อยต้องขออภัย อยากจะถามสั้นๆก็สรุปใจความไม่เป็นครับ ถ้าเขียนวกวน ทนอ่านเอาหน่อย)

ได้ตัดสินใจลุยไปแล้วครับ ยังไม่รู้หมู่หรือจ่า เตรียมตัวมาเกือบหนึ่งเดือน คาดว่าถ้าวีซ่าไม่ผ่าน สรุปจะเสียเงินไปไม่น้อยครับ ลองฟังรายละเอียดและช่วยชี้แนะหน่อย

กระผมปัจจุบันอายุ 66 ปี วุฒิ ป.ตรีศึกษาศาสตร์ ภรรยา 55 ปี วุฒิ ปวช.คหกรรม แต่งงานมา 34 ปี จดทะเบียนสมรสไม่บุตร อยู่ด้วยกันมาตลอด
การทำงานแบ่งเป็นสองภาคใหญ่ๆ 13 ปีแรกที่แต่งงานอยู่ต่างจังหวัด ฐานะแย่ รายได้น้อยมีหนี้สินจึงตัดสินใจย้ายมาพัทยาเมื่อปี 2538 ตอนนั้นกระผมอายุ 45 ปี ภรรยา 34 ปี

การประกอบอาชีพที่พัทยา ปี 2538-2559 รวม 21 ปี มีดังนี้
กระผม ปี 2538-2544 ประมาณ 6 ปี ทำงานสถานบริการ ลูกจ้างในร้านอาหาร เข้าออกอยู่หลายที่ ค่าจ้างเฉลี่ยประมาณ 6000 บาทต่อเดือน ไม่มีสัญญาจ้าง ไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
ปี 2545-2559 ประมาณ 15 ปี อายุ 51 ปี หยุดงานร้านอาหาร มาช่วยกิจการร้านผ้าม่านและขายกาแฟโบราณของภรรยา ยามว่างงานผ้าม่านไม่มีก็ไปรับจ้างงานรากหญ้าอิสระทำมาทีละอย่างหลายยุคเช่น ขายของมือสองตลาดนัด ขับวินมอเตอร์ไซค์ ช่วยญาติติดงานร้านเหล็กดัด เป็นช่างซ่อมคอมพ์ตลาดนัด รับจ้างบริการงานเครื่องเสียงตามงานโรงแรม สถานที่ต่างๆ

การประกอบอาชีพของภรรยา ปี 2538-2559 รวม 21 ปี
ปี 2538 เป็นแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ขายของกิน ผลไม้หลายอย่าง เริ่มจากข้าวแกงริมทาง ข้าวเหนียวไก่ย่างปากซอย ขายผลไม้ตลาดนัด ต่อมาข้าวแกง ข้าวเหนียวต้องหยุด ขายไม่ดี ทุนหาย กำไรหด
ปี 2539 เริ่มเช่าที่ว่างในซอย ปลูกเพิงขายผลไม้ เพิ่มกาแฟโบราณและน้ำอัดลม ต่อมาเอาจักรเย็บผ้าเก่าๆมารับจ้างปะเย็บ เปลี่ยนซิบแก้ทรงเสื้อผ้า(จบ ปวช.คหกรรม) เป็นงานหาบเร่แผงลอย
เพิงไม้สังกะสีชั่วคราว ไม่มีเลขที่ ไม่มีน้ำไฟ เท่าที่รู้ไม่เข้าระบบภาษีการค้า ทั้งหมดนี้ภรรยาทำคนเดียวในแต่ละวัน กระผมไปช่วยทำในยามที่ว่างงานของตัวเอง
ปี2540-2545 ประมาณ 5 ปีเป็นจุดเปลี่ยนฐานะครอบครัว ยุคนั้นเป็นยุคทองการก่อสร้างและหมู่บ้านจัดสรรเกิดขึ้นในซอยมากกว่าสิบโครงการ จำนวนบ้านจัดสรรเป็นพันหลัง ลูกค้าปะเย็บเห็นฝีมือและตรงเวลาจึงแนะนำให้ลองศึกษาการตัดเย็บผ้าม่าน
กลางปี 2540 เริ่มกิจการตัดเย็บผ้าม่าน โดยตัดการขายผลไม้ออกไป รับตัดเย็บผ้าม่านโดยไม่มีหน้าร้าน ไม่มีจักรอุตสาหกรรม ไม่มีลูกน้อง ติดต่อออฟฟิศ หมู่บ้านจัดสรร และลูกค้าด้วยตัวเอง รับงานใช้สมุดงานจดบันทึก ไม่มีสัญญาจ้าง ช่วงค่ำเอามาทำที่บ้านโดยซื้อจักรมือสองเพิ่ม 1 ตัว ต่อเติมร้านกาแฟให้พอรับงานและตัดเย็บผ้าม่านได้ ทำงานกันอย่างหนักนอนดึกตื่นเช้ามืด ชีวิตประหยัดสุดๆ ใช้เงินน้อย หุงหาข้าวกินเอง ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่กินเหล้าสูบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ขายของได้หยอดกระปุกทุกวัน เหลือไว้แค่กินใช้จำเป็นและทำทุนซื้อของ เรามีแค่สองปากท้อง ไม่มีลูก โชคดีไม่เคยป่วยหนัก หรือประสบอุบัติเหตุรุนแรง ภรรยาขยันมาก วินัยในการหาและเก็บออมสูงสุด คติของเธอตอนนั้นคือ หาเป็น ใช้ไม่เป็น ผ่านไปหกปีที่ร้านเพิงแผงเล็กๆตรงนี้ ภรรยากลายเป็นแม่ค้าริมทางที่มีเงินฝากธนาคารหลัก แสนบาท ชีวิตเราก็ยังเหมือนเดิม ขี่มอเตอร์ไซค์ บ้านเช่า กับข้าวหุงหากินเอง ปี 2543 ซื้อรถยนต์มือสอง 1 คัน ราคา 180,000 บาทเอาไว้ขับขนของและกลับต่างจังหวัดตอนปีใหม่หรือสงกรานต์ แทนรถเก๋งเก่าๆที่ใช้ตอนอยู่ต่างจังหวัด มันผุพังมาก ขายเป็นซากได้หมื่นกว่าบาท สมบัติอื่นไม่ได้ซื้อหาอะไร ตรงทำเลจุดนี้ เราเริ่มตั้งตัวได้ อยู่ได้หกปีเจ้าของที่ดินก็ขายที่เพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร เราก็ต้องโยกย้ายพเนจรไปตามระเบียบ ลำบากอยู่พักหนึ่ง ไม่มีที่ทำมาหากิน ต้องตระเวนไปหาที่ใหม่ ให้ใกล้ที่เก่าในซอยเดิม เพื่อลูกค้าเก่าจะติดต่อเราได้
ปี 2545- จนถึงปี2559 ปัจจุบัน รวม 14 ปี
หาเช่าที่ดินใกล้ทำเลเดิม ลึกเข้ามาในซอยได้ที่ดินว่างเปล่าขนาดกว้าง 8 x 12 เมตร ปลูกอาคารชั่วคราวเอาเอง ค่าเช่าเริ่มแรก(ปี 2545) เดือนละ 1500 บาท น้ำไฟไม่มี ต้องลากสายพ่วงจากเจ้าของบ้าน คิดเพิ่มตามปริมาณการใช้งาน สัญญาเช่าคราวละสามปี เปิดเป็นร้าน ผ้าม่านเล็กๆ มีขายกาแฟโบราณและรับปะเย็บเสื้อผ้า ช่วงนี้ดีมากสำหรับเรา นอกจากงานที่ทำอยู่ ยังมีญาติผู้ใหญ่ชักนำภรรยาเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ รับจำนอง ขายฝากบ้านและที่ดิน เป็นรายย่อยเล็กๆ รับลูกค้าแค่สองสามรายทุนก็หมด ค่อยๆต่อทุนไป หุ้นกับญาติผู้ใหญ่บ้าง ทำเองบ้าง ธุรกิจจัดว่าดี มีได้มากกว่าเสีย ทำอสังหาฯเป็นรายได้เสริมได้ไม่นาน น่าจะปี 2555  บ้านจัดสรรและที่ดินเริ่มอิ่มตัว เศรษฐกิจการค้าแผ่วลง งานอสังหารายย่อยก็หมดไปเหลือแต่นายทุนระดับสิบล้านร้อยล้านสายป่านยาวๆ

ปี 2551-2555 ประมาณ 5 ปียังเช่าอยู่ที่เดิม
ค่าเช่าที่ขึ้นมาเป็น2500 ต่อเดือนช่วงนี้เราเริ่มแต่งร้านก่อเป็นซีเมนต์บล๊อก
มียี่ห้อป้ายชื่อ เสียภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีเงินได้ ภรรยามีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และยื่นสรรพากรแบบเหมาจ่าย (การค้ารายย่อย รับจ้างฯ)ทุกปี น่าจะตั้งแต่ปี 2551 (มีร้านมีป้ายชื่อ)เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ที่ตรงนั้นยุคนั้นเป็นเขตปกครอง อบต.กำลังจะเปลี่ยนเป็นเทศบาลเมือง การจดแจ้งกิจการต่างๆค่อนข้างสับสน
แต่อาคารชั่วคราวที่ปลูกเป็นร้านก็ไม่มีเลขที่ ก่อนหน้านั้นไปถาม อบต.บอกว่าไม่ต้องจดทะเบียนการค้า เพราะเป็นอาคารชั่วคราว แจ้งเสียภาษีท้องที่ และภาษีสรรพากร มีใบเสร็จก็พอ สรรพากรมาตรวจก็ให้เสียภาษีแบบเหมาจ่าย เราไม่รู้อะไรมากนัก จนท.ว่าทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น เลยจนปัจจุบันเราก็ไม่มีทะเบียนการค้า มีแต่หลักฐานใบเสร็จต่างๆมาหลายปี ปรึกษาเรื่องนี้ส่งหลักฐานกับเอเย่นต์วีซ่า เขาดูหลักฐานแล้วให้คำตอบว่าตรงนี้ไม่มีปัญหาอะไร สมาชิกท่านผู้รู้เห็นว่าอย่างไรครับตรงนี้ เป็นปัญหาหรือเปล่า สำหรับหลักฐานการประกอบอาชีพของเรา

(ข้ามเหตุการณ์ไปบ้าง เรื่องมันเริ่มยาว)

ปัจจุบัน ปี 2559 กิจการผ้าม่านซบเซา การแข่งขันสูง มีการตัดราคารับจ้าง เศรษฐกิจแย่ลง ร้านเราก็ยังเปิดอยู่ ได้อาศัยอาชีพเก่ากาแฟโบราณ(ขายมาเกือบยี่สิบปี) กับการปะเย็บเสื้อผ้า อาชีพรากหญ้าริมถนนแท้ๆ เลี้ยงชีวิตเรามาได้จนวันนี้ และน่าจะอีกนานเท่าที่ชีวิตยังอยู่และทำไหว
นี่แหละครับ แล้วกระผมจะเขียนบรรยายใน ds-160 อย่างไร กงศุลจะเข้าใจวิถีอาชีพคนไทยพื้นๆแบบครอบครัวกระผมได้

ไม่รู้ว่าเราอยู่ในเกณฑ์ไหน ในการขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา
เพื่อประเมินตัวเองกระผมจึงลองติดต่อเอเย่นต์รับทำวีซ่าอเมริกาดู เริ่มหาเริ่มดูเริ่มพูดคุย จากเจ้าแรก
เจ้าที่สอง จนมาถึงเจ้าที่สาม คุยรายละเอียดซักถาม แสดงหลักฐานต่างๆการงานและการเงินปัจจุบัน
สรุปผมตกลงให้เอเย่นต์เจ้านี้รับทำวีซ่าให้ครับ ทำสัญญาจ้างทำวีซ่าอเมริกา 2 คนเมื่อประมาณปลายเดือน เมย.59 ที่ผ่านมา ราคาหลักหมื่นต่อคนครับ วางมัดจำครึ่งหนึ่ง ที่เหลือชำระวันสัมภาษณ์วีซ่าก่อนเข้าสถานฑูต ราคาจัดว่าแพงครับ จากการติดต่อตามเอเย่นต์ก่อนหน้า ได้ข้อมูลตรงกันว่า วีซ่าอเมริกาขอยากสุด และราคาสูงสุดอันดับต้นๆ เนื่องจากกระผมสูงอายุ สายตาแย่ และภาษาอังกฤษอ่อนแอทั้งพูดและเขียน จึงต้องการทีมงานช่วย ก็ขอให้คุณเอเย่นต์ทำวิชาชีพของคุณอย่างเต็มที่ ลูกค้าอย่างกระผมก็พอใจ รับรู้ได้ครับ

   ก็ติดต่อกับเอเย่นต์มาเรื่อยๆครับ มันช้าตรงหลักฐานหลายอย่าง บ้านเดิมอยู่ต่างจังหวัด ปัจจุบันย้ายมาอยู่พัทยาได้ 21 ปีแล้วครับ
          สูติบัตร หาไม่ได้ทั้งคู่ (เกิดต่างจังหวัด นานมาแล้ว)
         ทะเบียนสมรส ตัวจริงหาย มีแต่แผ่นที่ถ่ายเอกสารไว้
         ใบเปลี่ยนนามสกุลภรรยา(หลังจากจดทะเบียนสมรส)หาย หาไม่เจอ
       หลักฐานการดำเนินธุรกิจ หายากมาก ไม่ได้จดทะเบียนการค้า(ที่ผ่านมาคิดว่าไม่เข้าข่ายจดทะเบียน)
      พาสปอร์ตภรรยาหมดอายุ ต้องทำใหม่ ได้เล่มใหม่เมื่อ 13 พค.59ที่ผ่านมา
      เมื่อติดต่อกันระยะสิบวันแรก ดูเอเย่นต์ค่อนข้างพอใจหลักฐานที่มี ระดับหัวหน้างานบอกว่าเคสกระผมมีโอกาสผ่านอยู่หลายเปอร์เซ็นต์ (คงจะหยอดมุกให้มีความหวัง)เนื่องจาก กระผมอายุมากแล้ว ไปทำงานอะไรที่อเมริกาไม่ได้ หลักฐานการเงินและทรัพย์สินที่เมืองไทยก็มั่นคงพอในระดับหนึ่ง การไปเที่ยวต่างประเทศกระผมและภรรยาก็ไปกัน6-7 ครั้งในรอบสิบกว่าปี (ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไม่ใช้วีซ่า)

     ตอนนี้เท่าที่นึกได้ คำถามและอยากจะขอความคิดเห็นสมาชิกห้องนี้ก็คือ

1  อยากเห็นรายละเอียด ใบ ds-160 ที่เอเย่นต์จะเขียนให้ ขออ่านและedit ก่อนที่จะกดส่งแบบฟอร์มไป
แต่กลัวเอเย่นต์ไม่พอใจ หาว่าอวดรู้อวดฉลาด เอาไงดีครับตรงนี้
2  จม.แนะนำตัวเอง เขียนอย่างไร เขียนแล้วส่ง จม.นี้ในขั้นตอนไหน
3 การจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จุดหมายไปที่บอสตัน เดินทางรวมไปกลับไม่เกิน 14 วันพักโรงแรมเกรดไม่เกินสองดาว10 วัน จะจองเอง ทำเอง ไม่ไปกับกรุ๊ปทัวร์ ไปต่างประเทศ 5 ครั้งหลังสุดทำเองหมด  ตรงนี้เคยบอกเอเย่นต์ไว้ว่าทำเอง แต่เหมือนเขาก็ยังจะจองให้เรา ตรงนี้ถ้าได้ไปจริงมันเป็นเงินมาก ไปสองคนรวมหลักแสน ท่านสมาชิกผู้รู้คิดว่าอย่างไรครับ

วันนี้รบกวนถามแค่นี้ก่อน

หลักฐานที่ยื่นให้เอเย่นต์ไป
    สเตทเม้นท์ธนาคาร สามแสนห้าหมื่นบาท หนังสือรับรองบัญชีธนาคารจนถึงวันขอวีซ่า
  บ้านหนึ่งหลังปลูกบนโฉนดที่ดิน 112 ตารางวา ไม่ติดผ่อนหรือจำนอง รถยนต์ 2 คัน vigo hilux 4 ประตู ปี2005 1 คัน/และ fortuner 3.0 auto ปี 2011  1 คันไม่ติดผ่อนหรือสินเชื่อใดๆ
เอกสารหลักฐานต่างๆ รูปถ่ายร้านค้า การทำงาน พาสปอร์ตเก่าใหม่ รูปถ่ายแต่งงาน ท่องเที่ยว ฯ
(มีเงินสดในมือหมุนเวียนการค้าและสำรองใช้จ่ายประมาณหนึ่งแสนบาท ไม่ได้ยื่นไป) กิจการค้าขายปัจจุบันไม่คึกคัก แต่ก็เพียงพอกับค่าครองชีพ มีเหลือเก็บออมบ้างนิดๆหน่อยๆ ไม่ถึงกับต้องกินทุนเก่า ส่วนแผนชีวิตยามแก่ชราภาพ เราได้คุยกันบ่อยๆและวางแผนไว้มากพอสมควร อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
ยาวเลยครับเขียนแล้วมันบานปลาย มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก สอบถามได้ครับ ไหวไหมครับเคสนี้ ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าพอไหวช่วยชี้แนะแก้ไขหน่อย ถ้าไม่ไหวกระผมก็ต้องทำใจ เปลี่ยนไปประเทศอื่นที่จะขอวีซ่าง่ายกว่านี้ (หรือที่ไม่ต้องขอ)ออกความเห็น สอบถามเพิ่มเติม เและวิจารณ์ได้ตามสบายครับ

ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่