2 ผัวเมียร้อง บก.ป. เงินหายจากบัญชี 2.7 ล. แบงก์รับปากคืนเงิน แต่ 1 ปี ได้คืนแค่ 8 หมื่น
เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 11 เมษายน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายมนัส ชื่นชวน อายุ 32 ปี พร้อมด้วย น.ส.นภารัตน์ บึ้งสลุง อายุ 33 ปี สองสามีภรรยาชาว จ.ลพบุรี เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ รอง สว.สอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้ช่วยตรวจสอบกรณียอดเงินในบัญชี ธนาคารกสิกรไทย ของ น.ส.นภารัตน์ ภรรยา จำนวน 2.7 ล้านบาทสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยนำหลักฐานการทำธุรกรรมการเงินในบัญชี มามอบให้กับพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายมนัสกล่าวว่า ตนและภรรยามีอาชีพเป็นผู้ค้ารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรชาวนาในจังหวัดลพบุรีไปขายต่อให้กับโรงสีข้าว ซึ่งหลังจากที่ทางโรงสีโอนเงินค่าข้าวเข้ามาในบัญชีธนาคารของภรรยาตนเรียบร้อยแล้ว ตนก็จะออกไปกดเงินจากบัญชีธนาคารดังกล่าวจากตู้เอทีเอ็มที่บริเวณด้านหน้าโรงงานเย็บผ้าแห่งหนึ่งใน อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี นำไปจ่ายคืนให้กับชาวนาเพื่อเป็นค่าข้าวที่ตนรับไปขาย กระทั่งเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา ตนพบว่าบัญชีธนาคารของภรรยาตนเริ่มมีปัญหา เมื่อเงินที่อยู่ในบัญชีถูกถอนออกไปโดยที่ตนและภรรยาไม่ทราบเรื่อง รวมๆ แล้วกว่า 2.7 ล้านบาท
นายมนัสกล่าวอีกว่า ได้ประสานไปยังสำนักงานใหญ่ธนาคารดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งทางธนาคารได้ตอบกลับมาว่ากรณีดังกล่าวน่าจะเกิดจากปัญหาการขัดข้องของระบบ ทางธนาคารจะดำเนินการแก้ไขและติดตามเงินที่หายไปกลับคืนมาให้ แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน พร้อมกับมีการชดใช้เงินที่หายไปกลับคืนมาให้เพียงแค่ 8 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือทางธนาคารยังปฏิเสธที่จะรับผิดชอบ โดยอ้างว่าขอเวลาในการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน อย่างไรก็ตาม จากรายละเอียดข้อมูลธุรกรรมการเงินของบัญชีดังกล่าวที่ทางธนาคารเคยนำมาให้ตนดู จะพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหลายอย่าง อาทิ ขณะที่ตนถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวผ่านตู้เอทีเอ็มบริเวณด้านหน้าโรงงานเย็บผ้า มักจะมีการถอนเงินออกต่อจากตนตามมาทุกครั้งโดยที่ตนไม่ทราบเรื่อง และจะมีการทำธุรกรรมสำเร็จภายในช่วงเวลา 2-3 วินาทีเท่านั้น ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้
นายมนัสกล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากต้องนำโฉนดที่ดินที่มีอยู่ไปจำนองเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าข้าวคืนให้กับชาวนา กลายเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ที่ผ่านมาตนได้เคยนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ม่วงค่อม จ.ลพบุรี และร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมอำเภอชัยบาดาล แต่เรื่องราวผ่านมาเกือบ 1 ปี ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด จนสุดท้ายจึงตัดสินใจมาที่กองบังคับการปราบปรามในวันนี้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมช่วยเหลือครอบครัวของตนด้วยอีกทาง เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้อง ก่อนทำเรื่องส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news/526588
--------------------------------------------------------
หายโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วยังคืนไม่ครบ แม้ว่า ผ่านมา 1 ปี เปนอะไรที่ สุดประหลาดกับ ธนาคารกสิกร กะว่าจะเปิดบันชีพอดี ยังงี้เสียวแว้บเลย
ขอตัวพินาธนาคารอื่นแป้บถ้ากสิกรยังไม่รุ้สาเหตุ ตอนนี้เรามี10ล้านไม่รุ้จะฝากธนาคารไหนดี ที่ไห้ดอกเบี้ยสุงๆบ้าง
คิดยังไงกับเงินในบัญชีหายอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 11 เมษายน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายมนัส ชื่นชวน อายุ 32 ปี พร้อมด้วย น.ส.นภารัตน์ บึ้งสลุง อายุ 33 ปี สองสามีภรรยาชาว จ.ลพบุรี เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ รอง สว.สอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้ช่วยตรวจสอบกรณียอดเงินในบัญชี ธนาคารกสิกรไทย ของ น.ส.นภารัตน์ ภรรยา จำนวน 2.7 ล้านบาทสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยนำหลักฐานการทำธุรกรรมการเงินในบัญชี มามอบให้กับพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายมนัสกล่าวว่า ตนและภรรยามีอาชีพเป็นผู้ค้ารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรชาวนาในจังหวัดลพบุรีไปขายต่อให้กับโรงสีข้าว ซึ่งหลังจากที่ทางโรงสีโอนเงินค่าข้าวเข้ามาในบัญชีธนาคารของภรรยาตนเรียบร้อยแล้ว ตนก็จะออกไปกดเงินจากบัญชีธนาคารดังกล่าวจากตู้เอทีเอ็มที่บริเวณด้านหน้าโรงงานเย็บผ้าแห่งหนึ่งใน อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี นำไปจ่ายคืนให้กับชาวนาเพื่อเป็นค่าข้าวที่ตนรับไปขาย กระทั่งเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา ตนพบว่าบัญชีธนาคารของภรรยาตนเริ่มมีปัญหา เมื่อเงินที่อยู่ในบัญชีถูกถอนออกไปโดยที่ตนและภรรยาไม่ทราบเรื่อง รวมๆ แล้วกว่า 2.7 ล้านบาท
นายมนัสกล่าวอีกว่า ได้ประสานไปยังสำนักงานใหญ่ธนาคารดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งทางธนาคารได้ตอบกลับมาว่ากรณีดังกล่าวน่าจะเกิดจากปัญหาการขัดข้องของระบบ ทางธนาคารจะดำเนินการแก้ไขและติดตามเงินที่หายไปกลับคืนมาให้ แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน พร้อมกับมีการชดใช้เงินที่หายไปกลับคืนมาให้เพียงแค่ 8 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือทางธนาคารยังปฏิเสธที่จะรับผิดชอบ โดยอ้างว่าขอเวลาในการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน อย่างไรก็ตาม จากรายละเอียดข้อมูลธุรกรรมการเงินของบัญชีดังกล่าวที่ทางธนาคารเคยนำมาให้ตนดู จะพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหลายอย่าง อาทิ ขณะที่ตนถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวผ่านตู้เอทีเอ็มบริเวณด้านหน้าโรงงานเย็บผ้า มักจะมีการถอนเงินออกต่อจากตนตามมาทุกครั้งโดยที่ตนไม่ทราบเรื่อง และจะมีการทำธุรกรรมสำเร็จภายในช่วงเวลา 2-3 วินาทีเท่านั้น ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้
นายมนัสกล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากต้องนำโฉนดที่ดินที่มีอยู่ไปจำนองเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าข้าวคืนให้กับชาวนา กลายเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ที่ผ่านมาตนได้เคยนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ม่วงค่อม จ.ลพบุรี และร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมอำเภอชัยบาดาล แต่เรื่องราวผ่านมาเกือบ 1 ปี ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด จนสุดท้ายจึงตัดสินใจมาที่กองบังคับการปราบปรามในวันนี้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมช่วยเหลือครอบครัวของตนด้วยอีกทาง เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ร้อง ก่อนทำเรื่องส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news/526588
--------------------------------------------------------
หายโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วยังคืนไม่ครบ แม้ว่า ผ่านมา 1 ปี เปนอะไรที่ สุดประหลาดกับ ธนาคารกสิกร กะว่าจะเปิดบันชีพอดี ยังงี้เสียวแว้บเลย
ขอตัวพินาธนาคารอื่นแป้บถ้ากสิกรยังไม่รุ้สาเหตุ ตอนนี้เรามี10ล้านไม่รุ้จะฝากธนาคารไหนดี ที่ไห้ดอกเบี้ยสุงๆบ้าง