ถ้าจะให้ผมมีเมีย ผมมีคติ 2อย่าง 1.ตาย 2.หายตัวเข้าป่า(เป็นอาหารสัตว์ก็ยอม)

นอกจากเข้าสมาธิตายแล้ว เพื่อนๆมีวิธีไหนแนะนำมั้ง ที่ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย!!!
ผมรู้แต่ว่า นิพพาน อยู่ระหว่างรูป กับ นาม ถ้าเข้าถูกจุดก็นิพพาน ถ้าพลาดจิตทรงฌานเป็นพรหม เพื่อนๆมีวิธีแนะนำผมไหมครับ
การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
เมื่อพระบรมศาสดาประทานปัจฉิมโอวาทเป็นวาระสุดท้ายแล้วก็หยุดมิได้ตรัสอะไรอีกเลย

ทรงทำพระนิพพาน บริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลม (ตามลำดับ) ดังนี้

ทรงเข้าปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าอากิญจักญายตนะ ออกจากอากิญจักญายตนะแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติ ๙ อันเป็นนิโรธสมาบัติที่มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา คือไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุดสงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเช่นพระอานนท์เข้าใจว่าพระบรมศาสดาเข้าสู่นิพพานแล้ว แต่พระอนุรุทธเถระผู้เชี่ยวชาญสมาบัติชี้แจงว่าบัดนี้พระพุทธองค์กำลังเสด็จอยู่ใน สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงเสด็จออกจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ถอยเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือถอยตามลำดับจนถึงปฐมยาม (เหมือนขึ้นสู่ตึกชั้นที่ ๙ แล้วถอยลงมาสู่ชั้นที่ ๘ ตามลำดับจนถึงชั้นที่ ๑) แล้วย้อนจากปฐมยาม ขึ้นไปสู่ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นลำดับสุดท้าย จึงปรินิพพานอยู่ในฌาน เป็นธรรมเนียมนิยมทั่วไปเพราะขณะอยู่ในฌาน อานุภาพของฌานย่อมรักษาตลอดเวลาที่ยังดำรงอยู่ในฌานนั้น  ๆ เป็นการนิพพานโดยไม่ติดในรูปฌานหรือในอรูปฌาน
ขอบพระคุณเพื่อนๆทุกคนนะครับ ที่ช่วยหาทางออกปัญญานี้เสมอมา ตอนนี้ผมทำสำเร็จแล้ว ผมแสดงธรรมให้พ่อแม่ฟัง แสดงเรื่องความไม่เที่ยงของโลก และ แสดงเรื่องความตายมาเยือนทุกวินาที พ่อแม่ถึงขนาดซึ้งแล้วยิ้มบาน แล้วให้คำสัญญากับผมว่า จะไม่บังคับเรื่องแต่งงาน จะไม่บังคับเรื่องคู่ชีวิต ทุกอย่างให้ผมตัดสินใจเอง ส่วนเรื่องบวช พ่อแม่บอก รออีกสักระยะ ท่านให้เหตุผลว่า มีของดีอยู่ในบ้าน มีพระในบ้านแท้ๆ ต้องขอชิมลิ้มรสพระธรรมให้อิ่มก่อน แล้วลูกค่อยไปโปรดผู้อื่น ตอนนี้พ่อกับแม่ยังไม่อิ่ม เหตุผลของท่านผมฟังแล้ว ก็สมเหตุสมผล ผมจึงบอกกับพ่อแม่ไปว่า เรื่องบวชนั้นผมถือใจเป็นหลัก ร่างกายจะห่มเหลืองหรือไม่ห่ม ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจ ถ้าใจเราเป็นพระ รักการปฏิบัติธรรม ก็สามารถสำเร็จมรรคผลได้ เอาใว้ให้พ่อแม่อิ่มในธรรมเมื่อไหร่ ผมค่อยบวชก็ได้ ในที่สุดผมพ่อแม่ ก็ปรับความเข้าใจกันลงตัวเสียที ปัญหาก็จบแต่เพียงเท่านี้ ครับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่