อธิบาย .... ความสำคัญของ TA ( Technical Analysis )

กระทู้สนทนา
TA  ( Technical Analysis )   เป็นการวิเคราะห์หาโอกาส โดยใช้ข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลัง มาคำนวณหาความน่าจะเป็นว่า แนวโน้มราคาในอนาคตน่าจะเป็นไปในทิศทางไหน  และจุดใดที่เราน่าจะเสี่ยงซื้อ ( สัญญาณซื้อ )  และจุดใดน่าจะขายทำกำไร ( สัญญาณขาย )  โดยอาศัยการวัดแรงซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงในหุ้นตัวนั้นๆ มาเข้าสูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะขึ้นกับตัวแปรที่นำมาสร้างสูตรคำนวณนั้นด้วย...

     การนำ TA มาช่วยในการหาโอกาสสร้างผลตอบแทน เนื่องจาก ตลาดจะคงอยู่ได้ ต้องมีผู้เห็นต่างในเรื่องราคาเสมอจึงมีผู้ซื้อและผู้ขาย ที่ยินดีจะซื้อหรือขาย ณ ราคาที่ตกลงกัน ( Matching )  ...ไม่ว่า ผู้ซื้อหรือผู้ขาย จะใช้วิธีใดๆ เพื่อสรุปราคาหุ้นที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง เพื่อใช้ในการตัดสินใจควรซื้อ ( เพราะเชื่อว่าราคายังขึ้นต่อไป )  หรือควรขาย ( เพราะมองว่าราคาจะต่ำกว่านี้อีก )  ก็ขึ้นกับวิธีคิดที่แต่ละคนนำมาใช้กัน ....แต่ในที่สุดก็จะต้องมาสู้กันในกระดานเสมอว่า ฝ่ายใดคิดถูกหรือผิดกันแน่ ....บางครั้งอาจถูกในระยะ 1 วันแต่ คิดผิดในระยะ 1 สัปดาห์ก็ได้  คือ ขายแล้วหุ้นลงตามที่คิดแต่อีก 2-3 วันถัดมาราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงกว่าที่ขายเสียอีก  เป็นต้น

   อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของราคา ?   และเราจะตรวจสอบได้อย่างไร ?  ....

แรงซื้อ และ แรงขายที่เราเห็น เป็นการมองจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละช่วงเวลา ( Time frame )  ซึ่งนักเทคนิค จะเรียกว่า โมเมนตัม  ซึ่ง หมายถึง การวัดค่าความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาเทียบกับหน่วยเวลา  เพื่อให้ทราบว่า แต่ละช่วงเวลานั้น ราคามีการเปลี่ยนแปลงมากหรือน้อย  ซึ่งจะสามารถแปลนัยยะไปตามความต้องการซื้อ หรือขายในขณะนั้นได้ด้วยเช่นกัน .. แต่ เรื่องโมเมนตัม หรือความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างเดียว ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกได้ทั้งหมด  ควรพิจารณาถึง Volume ร่วมด้วยเสมอ เพราะ Volume คือ Transactions ที่เกิดขึ้นจริง เป็นการยืนยันการเคลื่อนที่ของโมเมนตัมไปในทิศทางตามแรงซื้อหรือแรงขายนั้น  และหากวันไหนที่มี Volume สูงมากๆ ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนมือในการถือหุ้นระหว่างรายใหญ่กับรายย่อยด้วยเสมอ...

    เทคนิคในการลงทุน ไม่ว่าจะใช้การวิเคราะห์พื้นฐานราคาหุ้นที่เหมาะสม ( VI )      หรือการเทรดด้วย TA   ...สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบ  ขึ้นกับลักษณะ ความถนัด และการพอใจของนักลงทุนมากกว่า  ...  นักลงทุนกลุ่ม VI  อาจไม่ชอบหรือไม่มีเวลาเฝ้าติดตามราคาเป็นรายชั่วโมงหรือรายวัน เพราะมีงานอื่นที่ต้องทำ  ลักษณะนี้ การลงทุนด้วย ปัจจัยพื้นฐานย่อมมีความเสี่ยงต่ำกว่า  ( แต่ต้องมี Money Management และจุดยอมรับความผิดพลาดเสมอ เผื่อวิเคราะห์ผิดจะได้ไม่เสียหายมากเกินที่ยอมรับได้ )     ส่วนเทรดเดอร์ที่มีเวลาเฝ้าราคาหุ้นมากหน่อย ก็คงชอบเทรด เพราะเห็นโอกาสที่จะเสี่ยงหากำไรได้ และเพราะเห็นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงหน้าจอ ย่อมสร้างความโลภให้เกิดขึ้นในใจอย่างแน่นอน ตามนิสัยของมนุษย์ที่มีความโลภอยู่...

    การหาความรู้..ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน เพื่อทำให้เรารู้กว้างขึ้น มากขึ้น ก็เพื่อให้เรามีข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น และเมื่อมีข้อมูลที่เราต้องการทราบมากขึ้น ความเสี่ยงก็จะต่ำลง ...เช่น หากเราสนใจหุ้นตัวหนึ่ง และเห็นว่าราคาเหมาะสมอยู่ที่ 180 บาท  ซึ่งตัวเลขนี้เราพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม แต่เราจะซื้อหุ้นตัวนั้นทันทีที่ราคาลงมาที่ 180 บาทเลยหรือเปล่า   หรือ หากเรามีความรู้ทาง TA ด้วย ก็อาจจะดูแนวรับ  และรอสัญญาณซื้อที่เกิดขึ้น แล้วค่อยซื้อ  ซึ่งราคาอาจลงไปต่ำกว่าราคาเหมาะสมที่เราต้องการซื้อที่ 180 บาทอีกเกิน 10% ก็เป็นได้  ถึงแม้ว่าราคาอีก 6 เดือนหรือ 1 ปี ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปเกิน 200 บาทถูกต้องอย่างที่เราคาดไว้แต่แรก   แต่ต้นทุน หรือการเสียโอกาส ที่เกิดขึ้น  มันย่อมมีผลต่อสภาพจิตใจ ในการทนดูราคาหุ้นต่ำกว่าที่ซื้อ ระยะเวลานาน เสียสุขภาพจิต  และต้องต่อสู้กับความสงสัยในจิตใจของตัวเองตลอดเวลาว่า เราคิดถุกหรือผิด และเสียหายมากน้อยแค่ไหน  หากเราคาดผิด ?

    จุดประสงค์หลักของการใช้ TA  ส่วนใหญ่ ก็คือ  ใช้หาสัญญาณซื้อ และสัญญาณขายที่เหมาะสม และใช้บอกความเสียงในการลงทุนครั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนก็จะเลือกใช้วิธีที่แตกต่างกันไปขึ้นกับความรู้ และประสบการณ์ ของแต่ละคน  .... บางเทคนิคที่เลือกใช้อาจให้ผลดีระยะสั้น  บางเทคนิคอาจใช้ได้ดี ในระยะยาว   บางเทคนิคใช้บอกแรงซื้อแรงขายระยะสั้นมากได้ดี แม่นยำ     บางเทคนิคอาจใช้กำหนดราคาเป้าหมายในอนาคตได้   ซึ่งแต่ละเทคนิคก็จะนำไปใช้เพื่อหาคำตอบที่เทรดเดอร์ต้องการทราบว่าต้องการทราบเรื่องเกี่ยวกับอะไร ในแต่ละเรื่อง ....คงไม่แตกต่างกับ ช่างซ่อมรถ หรือ แพทย์ ที่ต้องใช้เครื่องมือแต่ละชนิดในการตรวจสอบ เพื่อให้รู้ว่า มีอะไรผิดปกติ หรือเป็นไปในสิ่งที่เราคาดเอาไว้หรือไม่ ....

   ผมจะลองยกประโยชน์บางส่วนของ TA   ...ซึ่งไม่ได้หมายความว่า  TA  จะดีกว่า  VI  นะครับ  เป็นเพียงการยกเคสให้เห็นว่า หากเรามีเวลาติดตามราคาหุ้น และสามารถเทรดได้  และมีความรู้ทางเทคนิค  ก็สามารถหาผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ขึ้นลง แต่ละรอบได้  โดยไม่จำเป็นต้องถือหุ้นขาดทุนไปโดยไม่ทำอะไรเลย .....    นักลงทุนระยะยาวบางกลุ่มที่แม้จะถือหุ้นที่พื้นฐานดี  แต่ก็มีบางช่วงที่ต้องขาย SAP  ออกมาเช่นกัน เพื่อทำให้ต้นทุนราคาต่ำลง  ...หากนักลงทุนรายใหญ่กลุ่มนี้ไม่ขายหุ้นออกมา  ราคาหุ้นไม่มีทางจะลงมาต่อเนื่องระยะยาวได้เป็นเดือนๆหรอกครับ  อย่างไปคิดว่า นักลงทุนประเภท VI  จะไม่ขายหุ้นที่ถือเด็ดขาด ...มันเป็นความคิดหลอกเด็กเท่านั้น ...  ซึ่งนักเทคนิคเขาทราบถึงพฤติกรรมแบบนี้ดี  จึงหาวิธีตรวจสอบแรงขายเพื่อทุบราคาลงมา แล้วหาวิธีสังเกตว่า รายใหญ่จะเก็บหุ้นคืนเมื่อไหร่ เมื่อราคาหุ้นลงมาในราคาที่ต้องการรับกลับคืนแล้ว ...

     การใช้ TA  เป็นการเล่นกับตัวเลข และสูตรคำนวณที่สร้างขึ้น  โดยใช้ตัวแปร ที่เกี่ยวกับราคาหุ้นและ Volume เข้ามาคำนวณ ไม่สนใขข่าวสาร หรือผลประกอบการต่างๆ เพราะถือว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันย่ิมส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนและย่อมส่งผลในการตัดสินใจซื้อหรือขายทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไป และคำนวณออกมาเป็นค่า โมเมนตัม อยู่แล้ว  ...นักเทคนิคจึงดูจากโมเมนตัมที่เปลี่ยนแปลงไปว่า แรงซื้อหรือแรงขาย เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  เพื่อนำมาวางแผนว่า จะทำอย่างไรต่อไปในวันข้างหน้า  ครับ.....



   กราฟตัวอย่างหุ้น  KBANK  Daily    .... ราคาหุ้นลงมาจากแถว 234  บาท จนถึงปัจจุบัน ที่  159  บาท  ปรับตัวลงมาประมาณ 32 %  ใน 13-14 เดือน    หากเรามีความรู้ทางเทคนิค  ก็อาจไม่เสียหายมาก   และยังสามารถหากำไรจากรอบการเหวี่ยงขึ้นลงของราคา ด้วยระบบเทรด ในแต่ละรอบได้ด้วย  .......แต่ไม่ได้หมายความว่า  การใช้  TA   จะต้องให้ผลที่ดีกว่าถือระยะยาว  แบบ Buy & Hold  นะครับ  เพราะระยะเวลาแค่ 1 ปี สำหรับนักลงทุนกลุ่ม VI  ถือว่าเป็นระยะเวลาที่น้อยมาก  อาจเป็นแค่การปรับตัวระยะสั้น เมื่อปรับัตวเสร็จราคาอาจวิ่งขึ้นไป 300-400 ในอีก 2-3 ปีก็ได้  จึงไม่กระทบอะไรกับผลตอบแทนระยะยาวของเขา ..ซึ่งมุมมองของกลุ่มนี้ก็ถูกต้องเช่นกันครับ  ...... ดังนั้น จึงไม่ควรจะมาถกเถียงว่า แบบไหนดีกว่ากัน  ควรมองว่า เราถนัดการลงทุนแบบไหน และมีความสุขกับลงทุนแบบนั้นมากกว่า นะครับ  เพราะหากเราทำตามที่เราชอบและถนัดแล้ว แต่ยังสร้างผลตอบแทนไม่ได้ นั่นเพราะเราอาจมีความรู้ไม่เพียงพอในการลงทุนแบบนั้น ก็ได้  คงต้องสอบถามจากนักลงทุนประเภทเดียวกับเราว่าทำไมเขาถึงทำสำเร็จนะครับ  .....

   หมายเหตุ :   กระทู้นี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ความเห็น ประโยชน์ของการนำ TA  มาใช้ในการหากำไรจากการเทรด (ลงทุน )   ไม่มีเจตนาที่จะเปรียบเทียบว่า การลงทุนด้วย TA  จะดีกว่า  VI  ...   เพราะหากลงทุนระยะยาวในระยะเวลาหลายๆปี   การถือหุ้นที่ผลประกอบการดี พื้นฐานแข็งแรง จะให้ผลตอบแทนดีกว่าการใช้ TA   โดยทั่วไปนะครับ ....แต่หากเลือกหุ้นผิด  การใช้ TA  จะช่วยให้เรา Cutloss และเสียหายน้อยกว่า  เพราะสัญญาณขายจะเกิดขึ้นล่วงหน้าในกระดาน ก่อนที่งบการเงินจะออกมา  หรือเห็นการลดการลงทุนในหุ้นตัวนั้น โดยการขายหุ้นออกไปของรายใหญ่  เป็นต้น . .. ขอให้โชคดีครับ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่