[หนังโรงเรื่องที่ 137] The Man Who Knew Infinity - อัจฉริยะเพื่อนไม่รัก ; (Matt Brown,2015) by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนน : 9/10
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นหนังชีวประวัติของหนึ่งในนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะของโลกอย่าง 'รามานุจัน' (Dev Patel) เด็กหนุ่มผู้ไม่จบการศึกษาระดับปริญญาจากเมืองเล็กในอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษ ผู้ซึ่งสามารถขีดเขียนคิดค้นสูตรลับคณิตศาสตร์มากมายที่นักวิชาการตะวันตกทั้งหลายในยุคนั้นยังไม่สามารถแก้โจทย์ได้ ด้วยพรสวรรค์นี้เขาจึงถูกเชื้อเชิญไปร่วมวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้พบและร่วมงานกับ 'ฮาร์ดี้' (Jeremy Irons) และทั้งคู่จะร่วมกันค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ได้ในเวลาต่อมา..
สิ่งแรกที่ชอบคือการที่หนังมีเส้นเรื่องที่เรียบง่ายโดยการโฟกัสเรื่องราวไปที่การความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรามานุจันและฮาร์ดี้ได้อย่างน่าสนใจ และในขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่ความเป็นคณิตศาสตร์มากจนเกินไปซึ่งอาจทำให้คนทั่วๆไปเข้าถึงเนื้อเรื่องได้ยาก เรียกได้ว่าหนังมีเสน่ห์ที่สามารถรักษาสมดุลตรงนี้ได้อย่างดี
หนังนำเสนอการประสานกันของสองตัวละครที่แตกต่างกันสุดขั้ว สำหรับรามานุจันนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาในฐานะ 'believer' คือตัวเขาเองมีความเชื่อทางศาสนาที่แรงกล้าและยึดมั่นปฏิบัติตามหลักของศาสนาฮินดูของตนอย่างเคร่งครัด (กินมังสวิรัติ,สวดมนต์พิธีกรรมสม่ำเสมอ) ในขณะที่ฮาร์ดี้นั้นก็เป็นด้านตรงกันข้ามในฐานะ 'non-believer' คือเขาไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นพระเจ้า และยึดมั่นใจความสามารถและความมุมานะของคนเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนมีจุดร่วมเดียวกันก็คือการเป็น 'แกะดำของสังคม' ซึ่งตัวรามานุจันเองก็ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะนักวิชาการอันเนื่องมาจากแนวคิดเรื่องชนชั้นในยุคนั้นที่อินเดียตกเป็นอานานิคมของอังกฤษ ในขณะเดียวกันฮาร์ดี้ก็ไม่ได้มีความนิยมที่ดีเด่เท่าไหร่ในแวดวงนักวิชาการจนมีหลายคนปรามาสว่า 'เขาเป็นคนไม่มีเพื่อน', ดังนั้นคณิตศาสตร์และความผิดแผกจึงกลายเป็นจุดเชื่อมโยงของแกะดำทั้งสองคนนี้เข้าด้วยกัน
สิ่งที่ทั้งสองคนนี้ร่วมกันทำตลอดเรื่องก็คือ 'หาข้อพิสูจน์' ให้ทฤษฏีของรามานุจันเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการ เพราะว่า ณ ช่วงเวลานั้นไม่มีใครสามารถเข้าใจทฤษฏีที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้ ซึ่งทั้งฮาร์ดี้กับรามานุจันเองก็มุมานะหามรุ่งหามค่ำคิดหาคำตอบของสมการนี้ จนกระทั่งสุขภาพของรามานุจันก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆอันเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอและสารอาหารไม่ครบถ้วน จุดที่น่าสนใจคือตัวฮาร์ดี้นั้นแม้ปากจะบอกว่ารามานุจันเป็นมิตรของตน แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของมิตรคนนี้เลยแม้แต่น้อย จนมันสื่อถึงลักษณะของความสัมพันธ์ที่เปราะบางเหลือเกิน
การแสดงของเจเรมี ไออ้อนส์คือสิ่งที่ดีงามที่สุดในหนังเรื่องนี้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงคือการสื่ออารมณ์ของผู้ที่พึ่งค้นพบตัวเองได้อย่างไม่มีที่ติ ถึงแม้ฮาร์ดี้จะหนักแน่นในจุดยืนของตนมาตลอดในแนวคิดไม่เชื่อในพระเจ้า แต่สุดท้ายก็ต้องโอนอ่อนให้กับความสัตย์ซื้อของรามานุจันที่ยืนกรานว่าปัญญาของคนนั้นเป็นของขวัญจากพระเจ้าจนนาทีสุดท้าย เพราะจำนนต่อสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะถูกค้นพบได้กลับถูกค้นพบในตัวเด็กหนุ่มชาวอินเดียธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ดีของหนังเรื่องนี้คือเส้นเรื่องที่คงเส้นคงวาชัดเจน และการแสดงที่มีเสน่ห์ของตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่โคจรเข้ามาในจอแต่ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ อีกทั้งเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงก็ยิ่งทำให้น้ำหนักของหนังมันดีมากขึ้น จนสามารถโน้มน้าวเราให้อินได้ไม่ยาก อาจจะไม่มีอะไรที่หวือหวามากให้พูดถึงมากนัก แต่มันก็หนังนอกกระแสที่ดีที่ควรจะลองดูซักครั้งนะ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] The Man Who Knew Infinity - อัจฉริยะเพื่อนไม่รัก by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 137] The Man Who Knew Infinity - อัจฉริยะเพื่อนไม่รัก ; (Matt Brown,2015) by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนน : 9/10
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นหนังชีวประวัติของหนึ่งในนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะของโลกอย่าง 'รามานุจัน' (Dev Patel) เด็กหนุ่มผู้ไม่จบการศึกษาระดับปริญญาจากเมืองเล็กในอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษ ผู้ซึ่งสามารถขีดเขียนคิดค้นสูตรลับคณิตศาสตร์มากมายที่นักวิชาการตะวันตกทั้งหลายในยุคนั้นยังไม่สามารถแก้โจทย์ได้ ด้วยพรสวรรค์นี้เขาจึงถูกเชื้อเชิญไปร่วมวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้พบและร่วมงานกับ 'ฮาร์ดี้' (Jeremy Irons) และทั้งคู่จะร่วมกันค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ได้ในเวลาต่อมา..
สิ่งแรกที่ชอบคือการที่หนังมีเส้นเรื่องที่เรียบง่ายโดยการโฟกัสเรื่องราวไปที่การความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรามานุจันและฮาร์ดี้ได้อย่างน่าสนใจ และในขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้เน้นหนักไปที่ความเป็นคณิตศาสตร์มากจนเกินไปซึ่งอาจทำให้คนทั่วๆไปเข้าถึงเนื้อเรื่องได้ยาก เรียกได้ว่าหนังมีเสน่ห์ที่สามารถรักษาสมดุลตรงนี้ได้อย่างดี
หนังนำเสนอการประสานกันของสองตัวละครที่แตกต่างกันสุดขั้ว สำหรับรามานุจันนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาในฐานะ 'believer' คือตัวเขาเองมีความเชื่อทางศาสนาที่แรงกล้าและยึดมั่นปฏิบัติตามหลักของศาสนาฮินดูของตนอย่างเคร่งครัด (กินมังสวิรัติ,สวดมนต์พิธีกรรมสม่ำเสมอ) ในขณะที่ฮาร์ดี้นั้นก็เป็นด้านตรงกันข้ามในฐานะ 'non-believer' คือเขาไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นพระเจ้า และยึดมั่นใจความสามารถและความมุมานะของคนเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนมีจุดร่วมเดียวกันก็คือการเป็น 'แกะดำของสังคม' ซึ่งตัวรามานุจันเองก็ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะนักวิชาการอันเนื่องมาจากแนวคิดเรื่องชนชั้นในยุคนั้นที่อินเดียตกเป็นอานานิคมของอังกฤษ ในขณะเดียวกันฮาร์ดี้ก็ไม่ได้มีความนิยมที่ดีเด่เท่าไหร่ในแวดวงนักวิชาการจนมีหลายคนปรามาสว่า 'เขาเป็นคนไม่มีเพื่อน', ดังนั้นคณิตศาสตร์และความผิดแผกจึงกลายเป็นจุดเชื่อมโยงของแกะดำทั้งสองคนนี้เข้าด้วยกัน
สิ่งที่ทั้งสองคนนี้ร่วมกันทำตลอดเรื่องก็คือ 'หาข้อพิสูจน์' ให้ทฤษฏีของรามานุจันเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการ เพราะว่า ณ ช่วงเวลานั้นไม่มีใครสามารถเข้าใจทฤษฏีที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้ ซึ่งทั้งฮาร์ดี้กับรามานุจันเองก็มุมานะหามรุ่งหามค่ำคิดหาคำตอบของสมการนี้ จนกระทั่งสุขภาพของรามานุจันก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆอันเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอและสารอาหารไม่ครบถ้วน จุดที่น่าสนใจคือตัวฮาร์ดี้นั้นแม้ปากจะบอกว่ารามานุจันเป็นมิตรของตน แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจในชีวิตความเป็นอยู่ของมิตรคนนี้เลยแม้แต่น้อย จนมันสื่อถึงลักษณะของความสัมพันธ์ที่เปราะบางเหลือเกิน
การแสดงของเจเรมี ไออ้อนส์คือสิ่งที่ดีงามที่สุดในหนังเรื่องนี้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงคือการสื่ออารมณ์ของผู้ที่พึ่งค้นพบตัวเองได้อย่างไม่มีที่ติ ถึงแม้ฮาร์ดี้จะหนักแน่นในจุดยืนของตนมาตลอดในแนวคิดไม่เชื่อในพระเจ้า แต่สุดท้ายก็ต้องโอนอ่อนให้กับความสัตย์ซื้อของรามานุจันที่ยืนกรานว่าปัญญาของคนนั้นเป็นของขวัญจากพระเจ้าจนนาทีสุดท้าย เพราะจำนนต่อสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะถูกค้นพบได้กลับถูกค้นพบในตัวเด็กหนุ่มชาวอินเดียธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ดีของหนังเรื่องนี้คือเส้นเรื่องที่คงเส้นคงวาชัดเจน และการแสดงที่มีเสน่ห์ของตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่โคจรเข้ามาในจอแต่ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ อีกทั้งเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงก็ยิ่งทำให้น้ำหนักของหนังมันดีมากขึ้น จนสามารถโน้มน้าวเราให้อินได้ไม่ยาก อาจจะไม่มีอะไรที่หวือหวามากให้พูดถึงมากนัก แต่มันก็หนังนอกกระแสที่ดีที่ควรจะลองดูซักครั้งนะ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..