มาถึงตอน 34 กันแล้วนะครับ
งวดนี้เพื่อฉลองเนื่องในโอกาสเข้าสู่ช่วงเนื้อเรื่องใหม่ที่หลายๆ ท่านรอดูกันมาตลอด ขอเปลี่ยนภาพหัวกระทู้เป็นภาพคีย์วิชวลภาพล่าสุดซึ่งเป็นภาพของเนื้อเรื่องช่วงนั้นครับ
ถือเป็นเนื้อเรื่องช่วงที่ผมชอบที่สุด เรียกว่าชอบไม่แพ้ช่วงย้อนอดีตหอกสมิงเลยทีเดียว กับช่วงย้อนอดีตความลับที่แท้จริงของการกำเนิดของจอมอสูรสองตน ที่มีที่มาจากความเคียดแค้นของบรุษหนุ่มผู้หนึ่งกับความเจ้าเล่ห์ของอสูรอีกตนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องจะเป็นยังไงนั้น เชิญไปชมภาพของตอนนี้กันได้เลยครับ
ฮะกุเม็งเผยรอยยิ้มอย่างลำพองที่สามารถทำลายหอกสมิงศัตรูคู่อาฆาตได้สำเร็จ ท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของบรรดาพรรคพวกของเจ้าโอะ
ตัดฉากไปทางอาซาโกะที่รอดมาได้เพราะคนของกองกำลังป้องกันตนเองพาหนีออกมาทันฉิวเฉียด
ด้านกลุ่มนักบวชเวทนิกายโคฮะก็รอดมาได้เพราะรวมพลังกันกางเขตป้องกันกันไฟของฮะกุเม็งทัน
พวกนิกายโคฮะพยายามกางอาณาเขตสะกดฮะกุเม็งไว้ไม่ให้หนีไปอาละวาดที่ไหน
แต่เจอฮะกุเม็งเล่นมุกแสบ จับโมบิลสูทของอสูรตะวันตกเหวี่ยงไปชนอาณาเขตจนระเบิดตูม ส่วนตัวเองซิ่งฝ่าวงล้อมไปสบายใจเฉิบ
ขณะที่ทุกคนมัวแต่ตะลึงทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง โทร่ากลับเป็นอสูรตนเดียวที่มีสติพอจะไล่ตามฮะกุเม็งไป
ระหว่างนั้น คิริโอซึ่งใช้พลังของโทคิซากะย้อนอดีตไปหาจุดอ่อนของฮะกุเม็ง ก็ได้พบความจริงอันน่าตื่นตะลึงเกี่ยวกับ
"กำเนิดของฮะกุเม็ง" และ
"บ่วงกรรมที่ข้ามเวลายาวนานกว่า 3,000 ปีระหว่างโทร่ากับฮะกุเม็ง"
ตัดฉากไปทางเจ้าโอะที่โดนฮะกุเม็งฟาดตกทะเลไป
ขณะที่กำลังสิ้นหวังเพราะสูญเสียทุกอย่างแม้แต่หอกสมิงนั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเจ้าโอะ
ภาพเมืองขนาดใหญ่ที่เปลวไฟลุกท่วม กับโทร่าที่กำลังยืนตัวงออยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นราวกับกำลังโอบอุ้มบางสิ่งไว้ในอ้อมแขน
จากนั้นภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าโอะพบว่าตนเองกำลังมองเห็นภาพในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนผ่านสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า
"ชกาคช" ซึ่งถูกผู้คนรังเกียจมาตลอดชั่วชีวิตว่าเป็นตัวกาลกิณีที่พอเกิดมาครอบครัวก็ตายหมดบ้าน ส่งผลให้ชกาคชเติบโตมาพร้อมกับความเคียดแค้นชิงชังต่อผู้คนรอบตัว
หมายเหตุ - พยายามแกะเสียงอ่านชื่อเป็นภาษาสันสกฤตจากตัวเขียนคาตาคานะแล้ว (シャガクシャ) แต่ทำยังไงก็แกะเสียงไม่ออก เลยขอเรียกชกาคชตามคำแปลภาษาไทยไปก่อนนะครับ
เวลาผ่านไปจนเติบโตเป็นหนุ่ม ชกาคชก็ถูกเกณฑ์ไปรบในสงคราม และสร้างผลงานเข่นฆ่าศัตรูอย่างดุดันและเหี้ยมเกรียมจนเป็นที่หวาดกลัวไปทั่ว
ด้วยผลงานอันเอกอุนี้ สถานะของชกาคชจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในพริบตา
จากเด็กกาลกิณีถูกผู้คนรังเกียจ กลายเป็นยอดขุนพลผู้ปกป้องบ้านเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน
ทว่าเสียงยกย่องเหล่านั้นกลับไม่ช่วยให้ชกาคชรู้สึกยินดีเลย ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เขาเกลียดแค้นคนทั้งเมืองยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาคิดว่าคนทั้งเมืองไม่มีดีเลยแม้สักคน คิดว่าเป็นพวกหน้าไหวหลังหลอกขี้โกง
และทุกครั้งที่เกลียดแค้น ชกาคชก็จะรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ขวาอย่างไม่มีสาเหตุทุกครั้งไป
แต่ท่ามกลางความเคียดแค้นนั้น มีเพียงสองคนซึ่งเป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางจิตใจอันดำมืดด้วยความแค้นของชกาคช
คนแรกคือ
"ราม" เด็กรับใช้ของชกาคช ผู้แสดงความนับถือเขามาตลอด ไม่เคยหวาดกลัวเขาแม้ใครๆ จะหาว่าเป็นเด็กต้องสาปก็ตาม
คนที่สองคือพี่สาวของราม ซึ่งชกาคชช่วยเหลือไว้โดยบังเอิญระหว่างที่ถูกพวกขุนนางกลั่นแกล้ง
พี่น้องคู่นี้คือสองคนแรกที่มอบความรักและความเคารพนับถือให้แก่ชกาคชอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นเหมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตที่มีแต่ความมืดมนของชกาคช แสงสว่างที่สร้างความอบอุ่นแก่เขา ทำให้เขาได้พบความสงบทางใจอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
"ความแค้นไม่ทำให้อะไรงอกงามขึ้นมาได้หรอก"
คำพูดสั้นๆ ของพี่สาวราม ที่จะติดตัวชกาคชไปชั่วชีวิต ไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม
"แบบนี้ถ้ามีสงครามจริง ฉันคงต้องหนีไปอยู่ในปากท่านชกาคชแล้วละค่ะ"
จำบทพูดนี้ของพี่สาวรามไว้ให้ดีนะครับ เพราะหลังจากนี้จะมีกล่าวถึงคำพูดนี้อีกครั้งในตอนจบของเรื่องนี้ แม้จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ก็ตาม (ใครเดาได้ว่าตอนไหน อุบไว้ก่อนอย่าเพิ่งกระโตกกระตากนะครับ)
แต่สุขได้ไม่นานวิมานก็พังทลาย เมื่อแคว้นของชกาคชต้องทำสงครามกับแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่งซึ่งมีกำลังกล้าแข็ง ชกาคชประเมินดูแล้วเห็นว่ากองทัพแคว้นตัวเองไม่มีทางเอาชนะได้ จึงตัดสินใจพารามกับพี่สาวหนีไปด้วยกันสามคน (ส่วนพวกที่เหลือช่างมัน พวกนี้เกลียดตูตูก็เกลียดพวกนี้ทั้งนั้น จะไปช่วยมันทำไม)
แต่ชกาคชหาตัวรามไม่เจอ จึงพาพี่สาวของรามหนีไปก่อน โดยกะว่าพอพี่สาวรามไปอยู่ที่ปลอดภัยแล้วจะไปรับรามมาทีหลัง
แต่ระหว่างหนีกลับไปเจอหน่วยซุ่มโจมตีของแคว้นข้าศึก เลยโดนระดมยิงธนูใส่ ชกาคชพยายามปกป้องพี่สาวราม แต่ห่าธนูที่สาดมาไม่ขาดสายทำให้ชกาคชป้องกันไว้ไม่อยู่ ส่งผลให้พี่สาวของรามตายทันที
การตายของพี่สาวรามทำให้ชกาคชคลั่ง เปิดฉากใช้มือเปล่าฆ่าหน่วยซุ่มโจมตีของข้าศึกจนตายหมดด้วยตัวคนเดียว
ระหว่างที่ไล่ฆ่าหน่วยรบข้าศึกอยู่นั้นเอง ก็เกิดความผิดปกติขึ้นที่ไหล่ขวาของชกาคช
และสิ่งที่ปรากฏออกมาจากไหล่ขวานั้นก็คือ...ฮะกุเม็ง
ฮะกุเม็งเล่าให้ชกาคชฟังว่าตัวเองในตอนแรกนั้นไม่มีร่างเนื้อ จึงทำได้แค่สิงสู่ผู้คนให้เข่นฆ่ากัน แต่ตัวฮะกุเม็งอยากฆ่าคน อยากทำร้ายคนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านร่างคนอื่น จึงต้องการร่างเนื้อเป็นของตัวเอง
ฮะกุเม็งจึงตัดสินใจเลือกชกาคชเป็นร่างสิงสู่ โดยเปลี่ยนตัวเองเป็นดาวหางตกลงไปยังบ้านของชกาคช ส่งผลให้ครอบครัวชกาคชตายหมดเหลือแต่ตัวชกาคชรอดมาคนเดียว เพื่อให้จิตใจของชกาคชมีแต่ความเกลียดแค้นให้ฮะกุเม็งใช้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงจนสร้างร่างเนื้อขึ้นมาได้สำเร็จ (และสาเหตุที่เลือกชกาคชก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เพราะ
"บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าเลยเลือก" แค่นั้น)
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชกาคชแข็งแกร่งมีกำลังฟื้นตัวเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา เพราะมีฮะกุเม็งช่วยบัฟให้อยู่ตลอดนั่นเอง
ฮะกุเม็งบอกขอบใจเยาะเย้ยชกาคช ก่อนจะบินตรงไปเผาเมืองของชกาคชจนราบเป็นหน้ากลองในพริบตา
ชกาคชเห็นดังนั้นก็วิ่งกลับไปยังเมือง พยายามตามหารามที่ยังอยู่ในเมืองจนไปเจอรามในสภาพถูกเสาหินทับจนแทบขาดครึ่งตัว
ณ ตอนนี้เองที่ชกาคชได้รู้ความจริงจากปากราม ว่าคนในแคว้นเลิกคิดว่าเขาเป็นเด็กกาลกิณีมานานแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกผิดที่เคยเกลียดชังชกาคช อยากขอโทษชกาคชที่เคยทำตัวไม่ดีใส่มานาน แม้กระทั่งตอนที่โดนฮะกุเม็งฆ่าตายทุกคนก็ยังร้องเรียกชื่อชกาคชอยู่ตลอด
"ข้าอยากแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องพวกเขาได้ เหมือนกับท่านชกาคช"
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของราม ก่อนจะสิ้นใจตามพี่สาวและทุกคนในแคว้นที่ชกาคชเคยเชื่อว่าเกลียดชังเขามาตลอดไป
ทิ้งไว้แต่ความปวดร้าวจนร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้น ฮะกุเม็งก็โผล่หน้ามาเยาะเย้ยชกาคชอีกครั้งก่อนจากไป โดยบอกว่าในตัวชกาคชนั้นเป็นแหล่งกำเนิดร่างเนื้อของฮะกุเม็ง เลือดเนื้อในตัวชกาคชจึงกลายเป็นแบบเดียวกับฮะกุเม็ง ดังนั้นชกาคชจึงมีอายุขัยเข้าขั้นอมตะ ไม่มีวันตายเช่นเดียวกับฮะกุเม็ง
หลังจากนั้น ชกาคชก็ออกเดินทางตามล่าฮะกุเม็งไปทั่วทุกทิศ ด้วยร่างกายเป็นอมตะไม่มีวันตาย ทำให้เขาต่อกรกับบรรดาภูตพรายของฮะกุเม็งและอสูรต่างๆ ได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
หลายร้อยปีผ่านไปนับจากวันออกเดินทาง ชกาคชก็เดินทางไปถึงประเทศจีน ณ แคว้นแห่งหนึ่งที่ถูกฮะกุเม็งทำลาย
ณ ที่นั้นเองตัวเขาได้พบกับความหวังในการกำราบฮะกุเม็ง
นั่นคือ...หอกสมิง
ชกาคชจึงเปลี่ยนจากตามร่องรอยของฮะกุเม็งมาเป็นตามร่องรอยของหอกสมิงแทน โดยเสียเวลาไปอีกหลายร้อยปีจึงตามหาหอกสมิงที่ถูกพู่แดงสะกดอยู่เจอ และนำมันมาเป็นของตนในที่สุด
ภาพสุดท้ายของชกาคชที่เจ้าโอะได้เห็นก่อนจะหลุดจากภาพย้อนอดีตแสนไกล
โดยผู้ที่ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งที่ชกาคชยืนอยู่นั้นก็คือ...
หลังจากนั้น เจ้าโอะก็ฟื้นขึ้นมาในทะเลที่ตนเองโดนฮะกุเม็งฟาดตกลงมา และได้พบกับเศษชิ้นส่วนของหอกสมิงลอยวนอยู่รอบตัว
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณบอกให้เจ้าโอะรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ
[Spoil] ล่าอสูรกาย ภาคอนิเมทีวี #34 - อดีตของอีกหนึ่งจอมอสูร
มาถึงตอน 34 กันแล้วนะครับ
งวดนี้เพื่อฉลองเนื่องในโอกาสเข้าสู่ช่วงเนื้อเรื่องใหม่ที่หลายๆ ท่านรอดูกันมาตลอด ขอเปลี่ยนภาพหัวกระทู้เป็นภาพคีย์วิชวลภาพล่าสุดซึ่งเป็นภาพของเนื้อเรื่องช่วงนั้นครับ
ถือเป็นเนื้อเรื่องช่วงที่ผมชอบที่สุด เรียกว่าชอบไม่แพ้ช่วงย้อนอดีตหอกสมิงเลยทีเดียว กับช่วงย้อนอดีตความลับที่แท้จริงของการกำเนิดของจอมอสูรสองตน ที่มีที่มาจากความเคียดแค้นของบรุษหนุ่มผู้หนึ่งกับความเจ้าเล่ห์ของอสูรอีกตนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องจะเป็นยังไงนั้น เชิญไปชมภาพของตอนนี้กันได้เลยครับ
ฮะกุเม็งเผยรอยยิ้มอย่างลำพองที่สามารถทำลายหอกสมิงศัตรูคู่อาฆาตได้สำเร็จ ท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของบรรดาพรรคพวกของเจ้าโอะ
ตัดฉากไปทางอาซาโกะที่รอดมาได้เพราะคนของกองกำลังป้องกันตนเองพาหนีออกมาทันฉิวเฉียด
ด้านกลุ่มนักบวชเวทนิกายโคฮะก็รอดมาได้เพราะรวมพลังกันกางเขตป้องกันกันไฟของฮะกุเม็งทัน
พวกนิกายโคฮะพยายามกางอาณาเขตสะกดฮะกุเม็งไว้ไม่ให้หนีไปอาละวาดที่ไหน
แต่เจอฮะกุเม็งเล่นมุกแสบ จับโมบิลสูทของอสูรตะวันตกเหวี่ยงไปชนอาณาเขตจนระเบิดตูม ส่วนตัวเองซิ่งฝ่าวงล้อมไปสบายใจเฉิบ
ขณะที่ทุกคนมัวแต่ตะลึงทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง โทร่ากลับเป็นอสูรตนเดียวที่มีสติพอจะไล่ตามฮะกุเม็งไป
ระหว่างนั้น คิริโอซึ่งใช้พลังของโทคิซากะย้อนอดีตไปหาจุดอ่อนของฮะกุเม็ง ก็ได้พบความจริงอันน่าตื่นตะลึงเกี่ยวกับ "กำเนิดของฮะกุเม็ง" และ "บ่วงกรรมที่ข้ามเวลายาวนานกว่า 3,000 ปีระหว่างโทร่ากับฮะกุเม็ง"
ตัดฉากไปทางเจ้าโอะที่โดนฮะกุเม็งฟาดตกทะเลไป
ขณะที่กำลังสิ้นหวังเพราะสูญเสียทุกอย่างแม้แต่หอกสมิงนั้นเอง ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเจ้าโอะ
ภาพเมืองขนาดใหญ่ที่เปลวไฟลุกท่วม กับโทร่าที่กำลังยืนตัวงออยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นราวกับกำลังโอบอุ้มบางสิ่งไว้ในอ้อมแขน
จากนั้นภาพก็ตัดไปอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าโอะพบว่าตนเองกำลังมองเห็นภาพในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนผ่านสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า "ชกาคช" ซึ่งถูกผู้คนรังเกียจมาตลอดชั่วชีวิตว่าเป็นตัวกาลกิณีที่พอเกิดมาครอบครัวก็ตายหมดบ้าน ส่งผลให้ชกาคชเติบโตมาพร้อมกับความเคียดแค้นชิงชังต่อผู้คนรอบตัว
หมายเหตุ - พยายามแกะเสียงอ่านชื่อเป็นภาษาสันสกฤตจากตัวเขียนคาตาคานะแล้ว (シャガクシャ) แต่ทำยังไงก็แกะเสียงไม่ออก เลยขอเรียกชกาคชตามคำแปลภาษาไทยไปก่อนนะครับ
เวลาผ่านไปจนเติบโตเป็นหนุ่ม ชกาคชก็ถูกเกณฑ์ไปรบในสงคราม และสร้างผลงานเข่นฆ่าศัตรูอย่างดุดันและเหี้ยมเกรียมจนเป็นที่หวาดกลัวไปทั่ว
ด้วยผลงานอันเอกอุนี้ สถานะของชกาคชจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในพริบตา
จากเด็กกาลกิณีถูกผู้คนรังเกียจ กลายเป็นยอดขุนพลผู้ปกป้องบ้านเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน
ทว่าเสียงยกย่องเหล่านั้นกลับไม่ช่วยให้ชกาคชรู้สึกยินดีเลย ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เขาเกลียดแค้นคนทั้งเมืองยิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาคิดว่าคนทั้งเมืองไม่มีดีเลยแม้สักคน คิดว่าเป็นพวกหน้าไหวหลังหลอกขี้โกง
และทุกครั้งที่เกลียดแค้น ชกาคชก็จะรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ขวาอย่างไม่มีสาเหตุทุกครั้งไป
แต่ท่ามกลางความเคียดแค้นนั้น มีเพียงสองคนซึ่งเป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางจิตใจอันดำมืดด้วยความแค้นของชกาคช
คนแรกคือ "ราม" เด็กรับใช้ของชกาคช ผู้แสดงความนับถือเขามาตลอด ไม่เคยหวาดกลัวเขาแม้ใครๆ จะหาว่าเป็นเด็กต้องสาปก็ตาม
คนที่สองคือพี่สาวของราม ซึ่งชกาคชช่วยเหลือไว้โดยบังเอิญระหว่างที่ถูกพวกขุนนางกลั่นแกล้ง
พี่น้องคู่นี้คือสองคนแรกที่มอบความรักและความเคารพนับถือให้แก่ชกาคชอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นเหมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตที่มีแต่ความมืดมนของชกาคช แสงสว่างที่สร้างความอบอุ่นแก่เขา ทำให้เขาได้พบความสงบทางใจอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
"ความแค้นไม่ทำให้อะไรงอกงามขึ้นมาได้หรอก"
คำพูดสั้นๆ ของพี่สาวราม ที่จะติดตัวชกาคชไปชั่วชีวิต ไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม
"แบบนี้ถ้ามีสงครามจริง ฉันคงต้องหนีไปอยู่ในปากท่านชกาคชแล้วละค่ะ"
จำบทพูดนี้ของพี่สาวรามไว้ให้ดีนะครับ เพราะหลังจากนี้จะมีกล่าวถึงคำพูดนี้อีกครั้งในตอนจบของเรื่องนี้ แม้จะไม่ได้กล่าวตรงๆ ก็ตาม (ใครเดาได้ว่าตอนไหน อุบไว้ก่อนอย่าเพิ่งกระโตกกระตากนะครับ)
แต่สุขได้ไม่นานวิมานก็พังทลาย เมื่อแคว้นของชกาคชต้องทำสงครามกับแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่งซึ่งมีกำลังกล้าแข็ง ชกาคชประเมินดูแล้วเห็นว่ากองทัพแคว้นตัวเองไม่มีทางเอาชนะได้ จึงตัดสินใจพารามกับพี่สาวหนีไปด้วยกันสามคน (ส่วนพวกที่เหลือช่างมัน พวกนี้เกลียดตูตูก็เกลียดพวกนี้ทั้งนั้น จะไปช่วยมันทำไม)
แต่ชกาคชหาตัวรามไม่เจอ จึงพาพี่สาวของรามหนีไปก่อน โดยกะว่าพอพี่สาวรามไปอยู่ที่ปลอดภัยแล้วจะไปรับรามมาทีหลัง
แต่ระหว่างหนีกลับไปเจอหน่วยซุ่มโจมตีของแคว้นข้าศึก เลยโดนระดมยิงธนูใส่ ชกาคชพยายามปกป้องพี่สาวราม แต่ห่าธนูที่สาดมาไม่ขาดสายทำให้ชกาคชป้องกันไว้ไม่อยู่ ส่งผลให้พี่สาวของรามตายทันที
การตายของพี่สาวรามทำให้ชกาคชคลั่ง เปิดฉากใช้มือเปล่าฆ่าหน่วยซุ่มโจมตีของข้าศึกจนตายหมดด้วยตัวคนเดียว
ระหว่างที่ไล่ฆ่าหน่วยรบข้าศึกอยู่นั้นเอง ก็เกิดความผิดปกติขึ้นที่ไหล่ขวาของชกาคช
และสิ่งที่ปรากฏออกมาจากไหล่ขวานั้นก็คือ...ฮะกุเม็ง
ฮะกุเม็งเล่าให้ชกาคชฟังว่าตัวเองในตอนแรกนั้นไม่มีร่างเนื้อ จึงทำได้แค่สิงสู่ผู้คนให้เข่นฆ่ากัน แต่ตัวฮะกุเม็งอยากฆ่าคน อยากทำร้ายคนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านร่างคนอื่น จึงต้องการร่างเนื้อเป็นของตัวเอง
ฮะกุเม็งจึงตัดสินใจเลือกชกาคชเป็นร่างสิงสู่ โดยเปลี่ยนตัวเองเป็นดาวหางตกลงไปยังบ้านของชกาคช ส่งผลให้ครอบครัวชกาคชตายหมดเหลือแต่ตัวชกาคชรอดมาคนเดียว เพื่อให้จิตใจของชกาคชมีแต่ความเกลียดแค้นให้ฮะกุเม็งใช้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงจนสร้างร่างเนื้อขึ้นมาได้สำเร็จ (และสาเหตุที่เลือกชกาคชก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เพราะ "บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าเลยเลือก" แค่นั้น)
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชกาคชแข็งแกร่งมีกำลังฟื้นตัวเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา เพราะมีฮะกุเม็งช่วยบัฟให้อยู่ตลอดนั่นเอง
ฮะกุเม็งบอกขอบใจเยาะเย้ยชกาคช ก่อนจะบินตรงไปเผาเมืองของชกาคชจนราบเป็นหน้ากลองในพริบตา
ชกาคชเห็นดังนั้นก็วิ่งกลับไปยังเมือง พยายามตามหารามที่ยังอยู่ในเมืองจนไปเจอรามในสภาพถูกเสาหินทับจนแทบขาดครึ่งตัว
ณ ตอนนี้เองที่ชกาคชได้รู้ความจริงจากปากราม ว่าคนในแคว้นเลิกคิดว่าเขาเป็นเด็กกาลกิณีมานานแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกผิดที่เคยเกลียดชังชกาคช อยากขอโทษชกาคชที่เคยทำตัวไม่ดีใส่มานาน แม้กระทั่งตอนที่โดนฮะกุเม็งฆ่าตายทุกคนก็ยังร้องเรียกชื่อชกาคชอยู่ตลอด
"ข้าอยากแข็งแกร่ง จะได้ปกป้องพวกเขาได้ เหมือนกับท่านชกาคช"
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของราม ก่อนจะสิ้นใจตามพี่สาวและทุกคนในแคว้นที่ชกาคชเคยเชื่อว่าเกลียดชังเขามาตลอดไป
ทิ้งไว้แต่ความปวดร้าวจนร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้น ฮะกุเม็งก็โผล่หน้ามาเยาะเย้ยชกาคชอีกครั้งก่อนจากไป โดยบอกว่าในตัวชกาคชนั้นเป็นแหล่งกำเนิดร่างเนื้อของฮะกุเม็ง เลือดเนื้อในตัวชกาคชจึงกลายเป็นแบบเดียวกับฮะกุเม็ง ดังนั้นชกาคชจึงมีอายุขัยเข้าขั้นอมตะ ไม่มีวันตายเช่นเดียวกับฮะกุเม็ง
หลังจากนั้น ชกาคชก็ออกเดินทางตามล่าฮะกุเม็งไปทั่วทุกทิศ ด้วยร่างกายเป็นอมตะไม่มีวันตาย ทำให้เขาต่อกรกับบรรดาภูตพรายของฮะกุเม็งและอสูรต่างๆ ได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
หลายร้อยปีผ่านไปนับจากวันออกเดินทาง ชกาคชก็เดินทางไปถึงประเทศจีน ณ แคว้นแห่งหนึ่งที่ถูกฮะกุเม็งทำลาย
ณ ที่นั้นเองตัวเขาได้พบกับความหวังในการกำราบฮะกุเม็ง
นั่นคือ...หอกสมิง
ชกาคชจึงเปลี่ยนจากตามร่องรอยของฮะกุเม็งมาเป็นตามร่องรอยของหอกสมิงแทน โดยเสียเวลาไปอีกหลายร้อยปีจึงตามหาหอกสมิงที่ถูกพู่แดงสะกดอยู่เจอ และนำมันมาเป็นของตนในที่สุด
ภาพสุดท้ายของชกาคชที่เจ้าโอะได้เห็นก่อนจะหลุดจากภาพย้อนอดีตแสนไกล
โดยผู้ที่ยืนอยู่ ณ ตำแหน่งที่ชกาคชยืนอยู่นั้นก็คือ...
หลังจากนั้น เจ้าโอะก็ฟื้นขึ้นมาในทะเลที่ตนเองโดนฮะกุเม็งฟาดตกลงมา และได้พบกับเศษชิ้นส่วนของหอกสมิงลอยวนอยู่รอบตัว
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณบอกให้เจ้าโอะรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ