หลังจากได้วีซ่า พวกเราก็ได้พร้อมออกเดินทาง พวกเราเดินทางกับสายการบิน Air Arabia (ซึ่งเป็นสายการบิน low-cost ที่ดำเนินการบินในเขตตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอเชียกลาง ยุโรป เหตุผลที่เราจองสายการบินนี้เนื่องจากสายการบินที่บินตรงไป Casablanca มีไม่กี่สายการบินที่บินตรงจากที่สวิตเซอร์แลนด์ อีกสายการบินได้แก่ Easyjet ซึ่งก็เป็นสายการบินแบบ low-cost เช่นกัน) ระบบวิธีการจองก็คล้ายแอร์เอเชียบ้านเราเลย เพราะทุกอย่างต้องจ่ายเพิ่มเอง ทั้งกระเป๋า สัมภาระ อาหาร อุปกรณ์เพิ่มเติมอื่นๆ แต่เนื่องจากเราจอง 4 เดือนล่วงหน้าเลยได้ราคาโปรโมชั่นมา เราจึงเพิ่มอาหารกลางวันเข้าไปด้วย เพราะช่วงเวลาบินเป็นช่วงกลางวันพอดี
สายการบินนี้ถือว่าได้มีความสะดวกสบายพอประมาณ สำหรับคนเอเชียแล้วไม่น่าจะมีปัญหา แต่เนื่องจากแฟนเป็นคนตัวสูงจะเจอปัญหาในเรื่องของช่วงระยะที่นั่ง แต่อย่างไรก็ดี เราพร้อมแล้วออกเดินทางได้เลย เส้นทางวันนี้บินตรงจาก Basel, Switzerland - Casablanca, Morocco ด้วยระยะเวลาเพียง 3 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง ถือว่าไม่ไกลมาก
ข้อมูลคร่าวๆ ของประเทศโมรอคโค[/center]
Morocco เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางแอฟริกาเหนือ เมืองหลวง Rabat (เสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ไปเยือน) การปกครองโดยกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่กษัตริย์ประเทศนี้ก็มีอำนาจในการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบการบริหารและอำนาจทางกฎหมายของประเทศได้ ประชากรโดยประมาณ 34 ล้านคน โดยมากประชากรจะพูดภาษาอาหรับและภาษาฝรั่งเศส เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคมมาก่อน ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม 99% ซึ่งผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาจะมีการสวดภาวนา หรือที่เรียกว่า Salah ขึ้นกับตำแหน่งของพระอาทิตย์ ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีเวลาที่ไม่ตรงกัน ทั้งสิ้น 5 ครั้งต่อวัน ครั้งแรกก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กลางวัน บ่าย หลังพระอาทิตย์ตก และครั้งสุดท้ายเป็นช่วยกลางคืน ก่อนเวลาสวดก็จะ Adhan หรือ Azan ประกาศทางลำโพงให้ชาวมุสลิมได้ยิน เพื่อมารวมตัวกันที่มัสยิส คนโมรอคโคเป็นคนที่มีน้ำใจทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี เราไม่ควรถ่ายรูปใครตามอำเภอใจระ เพราะจะเจอ 2 เหตุการณ์คือ ไม่พอใจกับจะถูกเรียกเก็บเงิน
สกุลเงิน ใช้ Dirham ซึ่งเราสามารถที่จะไปแลกเงินที่ธนาคารในเมืองที่เปิดทำการเลยก็ได้ อัตราแลกเปลี่ยนจะดีกว่าที่สนามบิน ข้อควรระวัง หากเราแลกเงินแล้ว ควรเก็บหลักฐานการแลกเงินเอาไว้ทุกใบ เพื่อใช้ในการแลกเงินคืนที่สนามบินตอนออกจากประเทศนี้ เนื่องจากสกุลเงินนี้ไม่อนุญาติให้นำออกนอกประเทศ หากไม่มีหลักฐานการแลกเงินทางที่รับแลกก็จะไม่แลกเงินคืนให้ ซึ่งเราแลกก่อนที่จะเข้าไปแสตมป์ออกนอกประเทศ ค่าครองชีพที่นี่ น่าจะพอๆ กับตามแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา
เมื่อไปถึงแล้ว เพื่อนชาวโมรอคโคก็มารับที่สนามบินไปส่งโรงแรม เพื่อนของเรามีชื่อว่า Mouhcine ซึ่งเค้าได้อธิบายว่า ประเทศโมรอคโค ถือได้ว่าเป็นประเทศอาหรับที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ไม่เหมือนประเทศอาหรับอื่นๆ ซึ่งผู้หญิงมุสลิมที่นี่ สามารถที่จะอนุญาติให้ทำงานประกอบธุรกิจได้ ไม่จำเป็นต้องโพกผ้าปิดศรีษะ แต่ถ้าใครต้องการสวมใส่หรือเคร่งในศาสนาก็จะยังคงปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ทั้งสามารถที่จะคุยกับผู้ชายทั่วไปได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติตัวเอง หนุ่มอิสลามเหล่านี้จะเคร่งครัดไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
แต่อีกข้อหนึ่งที่ได้รับการเล่าต่อจากเพื่อนชาวโมรอคโค เค้าเล่าว่า หากหนุ่มสาวต้องการที่จะคบหาดูใจกัน จะต้องทำการหมั้นกันอย่างเป็นทางการโดยที่มีพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้ รวมถึงจะต้องมีสินสอดของหมั้นมาวางด้วย ซึ่งการหมั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงท้ายด้วยการแต่งงานกันเสมอไป ถ้าหากต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่เหมาะสมกัน แต่อย่างไรก็ดี โดยส่วนมากก็จะลงเอยด้วยกันในหลายๆ คู่ไป (เพื่อนนินจะแต่งงานปีหน้า เค้าก็ได้เชิญให้ไปร่วมงานเหมือนกัน แต่เราเองยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เลยยังไม่ได้รับปากไป หากมีโอกาสได้เข้าร่วมงานจะไปเก็บภาพสวยๆ ของงานแต่งแบบอาหรับมาฝากแน่นอน)
Morocco ถือว่าเป็นประเทศยังมีความสะอาดสะอ้าน ทันสมัย มีห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟ อีกทั้งระบบรถสาธารณะก็ถือว่าโอเค ซึ่งตอนไปถึงก็เจอกับรถไฟฟ้า เราก็ถึงกับอั้งเพราะไม่คิดว่าประเทศนี้จะมีแล้ว ซึ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวในระดับหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถที่จะใช้บริการรถไฟฟ้าที่วิ่งตามเส้นทางหลักๆ ไปลงสถานีใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แล้วเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวเอา ส่วนการเดินทางนอกเหนือจากนั้น ก็คงแนะนำเป็นแท็กซี่น่าจะสะดวกสุด ซึ่งเห็นระบบแท็กซึ่ที่โมรอคโคแล้วนึกถึงแท็กซี่บ้านเราเป็นอย่างมาก เพราะหากเป็นนักท่องเที่ยว บรรดาเหล่าแท็กซึ่นี้ก็จะถือโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยวแถมไม่ยอมใช้มิเตอร์อีกต่างหาก ศิลปะแห่งการต่อรองจึงถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ควรมีอย่างยิ่งในการมาเยี่ยมประเทศนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นร้านขายของต่างๆ ก็ต้องต่อรองสินค้าแทบทั้งสิ้น ในการต่อรองสินค้า หากร้านบอกราคามี 100 ให้เราต่อให้เหลือซัก 30-40 เท่านั้นเอง
หลังจากนั้นเราก็แวะเดินในตลาดท้องถิ่นในเขต Habbous ซึ่งคล้ายกับตลาดนัดบ้านเรา ที่มีสินค้ามากมายให้เลือก
ร้านขายน้ำส้มสด แก้วละ 4 Dirham ใกล้ๆ ก็มีร้านขายโรตีซึ่งเราก็ได้ลองทานกันรสชาติดีมาก แค่ราคา 2 Dirham
จากนั้นเย็นเราก็ไปทานบาร์บีคิวนอกเมืองกัน
ต้องขอบคุณเพื่อนที่พาไปดูสถานที่ต่างๆ ซึ่งวันต่อไปเราไปซ้ำเลยจะขออนุญาติเขียนต่อในวันต่อไปคร่า
หากเพื่อน ๆ สนใจเรื่องเกี่ยวกับท่องเที่ยวสวิตเซอรแลนด์ หรือประเทศอื่นๆ ที่เราเคยไปก็ยินดีที่จะแชร์ข้อมูลให้นะคะ เขียนมาคุยหรือติดตามเราทางเฟสบุ๊คตามลิ้งค์ข้างล่างได้นะ
https://www.facebook.com/Just-Travel-Nilvadee-Egger-1525046174401198/?ref=aymt_homepage_panel
ปล. เราจะเปิดทัวร์โฮมสเตย์ที่สวิตเซอร์แลนด์ปี 2017 ซึ่งหากเพื่อนๆสนใจก็เขียนเข้ามาข้อดูรายละเอียดโปรแกรมหรือปรึกษาเส้นทางท่องเที่ยวได้นะคะ ยินดีให้คำปรึกษาคะ
Morocco - การผจญภัย ครั้งใหม่ในดินแดนอาหรับ ตอนที่ 2 - Casablanca
สายการบินนี้ถือว่าได้มีความสะดวกสบายพอประมาณ สำหรับคนเอเชียแล้วไม่น่าจะมีปัญหา แต่เนื่องจากแฟนเป็นคนตัวสูงจะเจอปัญหาในเรื่องของช่วงระยะที่นั่ง แต่อย่างไรก็ดี เราพร้อมแล้วออกเดินทางได้เลย เส้นทางวันนี้บินตรงจาก Basel, Switzerland - Casablanca, Morocco ด้วยระยะเวลาเพียง 3 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง ถือว่าไม่ไกลมาก
Morocco เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางแอฟริกาเหนือ เมืองหลวง Rabat (เสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ไปเยือน) การปกครองโดยกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่กษัตริย์ประเทศนี้ก็มีอำนาจในการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบการบริหารและอำนาจทางกฎหมายของประเทศได้ ประชากรโดยประมาณ 34 ล้านคน โดยมากประชากรจะพูดภาษาอาหรับและภาษาฝรั่งเศส เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคมมาก่อน ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม 99% ซึ่งผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาจะมีการสวดภาวนา หรือที่เรียกว่า Salah ขึ้นกับตำแหน่งของพระอาทิตย์ ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีเวลาที่ไม่ตรงกัน ทั้งสิ้น 5 ครั้งต่อวัน ครั้งแรกก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กลางวัน บ่าย หลังพระอาทิตย์ตก และครั้งสุดท้ายเป็นช่วยกลางคืน ก่อนเวลาสวดก็จะ Adhan หรือ Azan ประกาศทางลำโพงให้ชาวมุสลิมได้ยิน เพื่อมารวมตัวกันที่มัสยิส คนโมรอคโคเป็นคนที่มีน้ำใจทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี เราไม่ควรถ่ายรูปใครตามอำเภอใจระ เพราะจะเจอ 2 เหตุการณ์คือ ไม่พอใจกับจะถูกเรียกเก็บเงิน
สกุลเงิน ใช้ Dirham ซึ่งเราสามารถที่จะไปแลกเงินที่ธนาคารในเมืองที่เปิดทำการเลยก็ได้ อัตราแลกเปลี่ยนจะดีกว่าที่สนามบิน ข้อควรระวัง หากเราแลกเงินแล้ว ควรเก็บหลักฐานการแลกเงินเอาไว้ทุกใบ เพื่อใช้ในการแลกเงินคืนที่สนามบินตอนออกจากประเทศนี้ เนื่องจากสกุลเงินนี้ไม่อนุญาติให้นำออกนอกประเทศ หากไม่มีหลักฐานการแลกเงินทางที่รับแลกก็จะไม่แลกเงินคืนให้ ซึ่งเราแลกก่อนที่จะเข้าไปแสตมป์ออกนอกประเทศ ค่าครองชีพที่นี่ น่าจะพอๆ กับตามแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา
เมื่อไปถึงแล้ว เพื่อนชาวโมรอคโคก็มารับที่สนามบินไปส่งโรงแรม เพื่อนของเรามีชื่อว่า Mouhcine ซึ่งเค้าได้อธิบายว่า ประเทศโมรอคโค ถือได้ว่าเป็นประเทศอาหรับที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ไม่เหมือนประเทศอาหรับอื่นๆ ซึ่งผู้หญิงมุสลิมที่นี่ สามารถที่จะอนุญาติให้ทำงานประกอบธุรกิจได้ ไม่จำเป็นต้องโพกผ้าปิดศรีษะ แต่ถ้าใครต้องการสวมใส่หรือเคร่งในศาสนาก็จะยังคงปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ทั้งสามารถที่จะคุยกับผู้ชายทั่วไปได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติตัวเอง หนุ่มอิสลามเหล่านี้จะเคร่งครัดไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
แต่อีกข้อหนึ่งที่ได้รับการเล่าต่อจากเพื่อนชาวโมรอคโค เค้าเล่าว่า หากหนุ่มสาวต้องการที่จะคบหาดูใจกัน จะต้องทำการหมั้นกันอย่างเป็นทางการโดยที่มีพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายรับรู้ รวมถึงจะต้องมีสินสอดของหมั้นมาวางด้วย ซึ่งการหมั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงท้ายด้วยการแต่งงานกันเสมอไป ถ้าหากต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่เหมาะสมกัน แต่อย่างไรก็ดี โดยส่วนมากก็จะลงเอยด้วยกันในหลายๆ คู่ไป (เพื่อนนินจะแต่งงานปีหน้า เค้าก็ได้เชิญให้ไปร่วมงานเหมือนกัน แต่เราเองยังไม่แน่ใจเท่าไหร่เลยยังไม่ได้รับปากไป หากมีโอกาสได้เข้าร่วมงานจะไปเก็บภาพสวยๆ ของงานแต่งแบบอาหรับมาฝากแน่นอน)
Morocco ถือว่าเป็นประเทศยังมีความสะอาดสะอ้าน ทันสมัย มีห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟ อีกทั้งระบบรถสาธารณะก็ถือว่าโอเค ซึ่งตอนไปถึงก็เจอกับรถไฟฟ้า เราก็ถึงกับอั้งเพราะไม่คิดว่าประเทศนี้จะมีแล้ว ซึ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวในระดับหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถที่จะใช้บริการรถไฟฟ้าที่วิ่งตามเส้นทางหลักๆ ไปลงสถานีใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แล้วเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวเอา ส่วนการเดินทางนอกเหนือจากนั้น ก็คงแนะนำเป็นแท็กซี่น่าจะสะดวกสุด ซึ่งเห็นระบบแท็กซึ่ที่โมรอคโคแล้วนึกถึงแท็กซี่บ้านเราเป็นอย่างมาก เพราะหากเป็นนักท่องเที่ยว บรรดาเหล่าแท็กซึ่นี้ก็จะถือโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยวแถมไม่ยอมใช้มิเตอร์อีกต่างหาก ศิลปะแห่งการต่อรองจึงถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ควรมีอย่างยิ่งในการมาเยี่ยมประเทศนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นร้านขายของต่างๆ ก็ต้องต่อรองสินค้าแทบทั้งสิ้น ในการต่อรองสินค้า หากร้านบอกราคามี 100 ให้เราต่อให้เหลือซัก 30-40 เท่านั้นเอง
หลังจากนั้นเราก็แวะเดินในตลาดท้องถิ่นในเขต Habbous ซึ่งคล้ายกับตลาดนัดบ้านเรา ที่มีสินค้ามากมายให้เลือก
ร้านขายน้ำส้มสด แก้วละ 4 Dirham ใกล้ๆ ก็มีร้านขายโรตีซึ่งเราก็ได้ลองทานกันรสชาติดีมาก แค่ราคา 2 Dirham
จากนั้นเย็นเราก็ไปทานบาร์บีคิวนอกเมืองกัน
ต้องขอบคุณเพื่อนที่พาไปดูสถานที่ต่างๆ ซึ่งวันต่อไปเราไปซ้ำเลยจะขออนุญาติเขียนต่อในวันต่อไปคร่า
หากเพื่อน ๆ สนใจเรื่องเกี่ยวกับท่องเที่ยวสวิตเซอรแลนด์ หรือประเทศอื่นๆ ที่เราเคยไปก็ยินดีที่จะแชร์ข้อมูลให้นะคะ เขียนมาคุยหรือติดตามเราทางเฟสบุ๊คตามลิ้งค์ข้างล่างได้นะ
https://www.facebook.com/Just-Travel-Nilvadee-Egger-1525046174401198/?ref=aymt_homepage_panel
ปล. เราจะเปิดทัวร์โฮมสเตย์ที่สวิตเซอร์แลนด์ปี 2017 ซึ่งหากเพื่อนๆสนใจก็เขียนเข้ามาข้อดูรายละเอียดโปรแกรมหรือปรึกษาเส้นทางท่องเที่ยวได้นะคะ ยินดีให้คำปรึกษาคะ