สองพี่น้องตะลุยโมรอคโค


จุดเริ่มต้นของทริปนี้เริ่มจากมีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศโมรอคโคเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จึงเริ่มต้นหาข้อมูลใน Pantip ว่าประเทศนี้ตั้งอยู่บริเวณไหน มีที่เที่ยวอะไรบ้าง ก็พบว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจอีกประเทศหนึ่ง อยู่บริเวณตอนบนของทวีปแอฟริกา ใต้ประเทศสเปน บริเวณช่องแคบยิบรอลต้า โดยมีตัวชูโรงของการท่องเที่ยวคือการขี่อูฐ อู้ดๆ ไปนอนพักที่กระโจมในทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จึงชักชวนน้องสาวสุดที่เลิฟให้บินตามไปทีหลังเพื่อเที่ยวด้วยกัน โดยชั่งใจว่าจะเช่ารถขับเองหรือจะเช่ารถพร้อมคนขับดี แต่สุดท้ายเลือกขับเอง เพราะคิดว่าให้อิสระมากกว่า อยากแวะตรงไหนก็แวะได้เลยไม่ต้องเกรงใจคนขับ แถมประหยัดกว่าอีกด้วย
ปล.  ทริปนี้จะสำเร็จไปไม่ได้ถ้าขาดบุคคลเหล่านี้
       น้องสาวสุดที่รักที่ร่วมผจญในทริปนี้ไปด้วยกัน ชวนแล้วก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ไปตลอด 55+
       เพื่อนโหน่งสำหรับอุปกรณ์ประกอบการถ่ายทำ
       พี่เฟิร์นที่ช่วยให้คำแนะนำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว
       น้องรามอสและอาฟันดี้ที่ช่วยพาท่องเที่ยว
การเตรียมตัว
1.วีซ่า สำหรับพาสปอร์ตธรรมดา (เล่มสีเลือดหมู) ต้องใช้วีซ่า โดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ดูข้อมูลได้ที่เวปไซด์สถานทูตโมรอคโคประจำประเทศไทย ต้องใช้ประกันการเดินทางประกอบด้วย http://www.moroccoembassybangkok.org/visa.html
2.ตั๋วเครื่องบิน สนามบินนานาชาติหลักๆ มีอยู่ 2 เมือง คือ สนามบิน Mohammed V International Airport (CMN) อยู่ Casablanca กับสนามบิน Menara Airport (RAK) อยู่ Marrakesh ไม่มีบินตรงจากประเทศไทย (เราต้องทำงานที่เมือง Marrakesh จึงบินไปลงที่สนามบิน Menara Airport โดยสายการบิน Lufthanza ทรานซิทที่ Frankfurt ขากลับ Austrian ทรานซิทที่ Vienna)
3.สกุลเงิน ใช้สกุลเงิน Dirham แลกได้ที่โมรอคโคเท่านั้น แนะนำให้แลกเป็น Euro จากประเทศไทยไปก่อน แล้วไปแลกเป็น Dirham ที่สนามบินที่นั่น เรทประมาณ 10 Dirham/Euro หรือประมาณ Dirham ละ 4 บาท
4.โรงแรม จองผ่าน Booking.com เลือกได้ถูกแพงตามใจชอบ ดูคะแนนรีวิวสูงๆ ที่พักรับเงินเป็น Euro เลย ถูกกว่าการจ่ายเป็น Dirham ซึ่งที่พักจะคิดเรทแลกเปลี่ยนค่อนข้างแพง (เจอที่แรกเข็ดเลย ที่เหลือจ่ายยูโรหมด)
5.อาหารการกิน เนื่องจากเป็นประเทศมุสลิม ไม่มีเนื้อหมู อาหารกินไปเรื่อยๆอาจจะเบื่อได้ แนะนำให้ติดมาม่าคัพ โจ๊กคัพไปด้วย เตรียมไปเยอะมาก สุดท้ายกินไม่หมด ขนกลับไทยตามระเบียบ
6.Sim Card มีแจกฟรีที่สนามบิน โดยเจ้าหน้าที่จะขอถ่ายหน้าพาสปอร์ตไว้ ให้เจ้าหน้าที่ช่วย Activate Sim Card และเติมเงินให้เนื่องจากเป็นภาษาอารบิกทั้งหมด โดย Data ราคาค่อนข้างถูก 20 Dirham ก็สามารถใช้ได้เพียงพอ 1 อาทิตย์
7.การเดินทาง สามารถเช่ารถพร้อมคนขับ เดินทางโดยรถบัส เราเลือกเช่ารถขับเอง เนื่องจากต้องต้องการความอิสระในการเดินทาง หากใครเช่ารถขับเองแนะนำซื้อประกันด้วยเพื่อความสบายใจ ในเคสเราฝาครอบล้อหาย คาดว่าจะโดนขโมยตอนจอดรถค้างคืน แต่โชคดีซื้อประกันเต็มไว้ เลยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และหากใครขับรถเกียร์กระปุกได้ ราคาเช่ารถเกียร์กระปุกถูกกว่ารถเกียร์ออโต้ประมาณครึ่งๆเลย และการขับรถที่นี่ต้องปฏิบัติตามความเร็วที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เนื่องจากมีตั้งกล้องจับความเร็วอยู่เป็นระยะ รถเป็นพวงมาลัยซ้าย ขับชิดขวา ซึ่งตรงข้ามกับประเทศไทย ขับช่วงแรกๆอาจจะเกร็งๆ แต่สักพักก็จะชินไปเอง เป็นประเทศที่มีวงเวียนและด่านเยอะมากๆ และข้อห้ามคือไม่ควรขับรถช่วงกลางคืน เท่าที่อ่านเจอมีรถที่ขับไม่เปิดไฟ และมีการปาหินด้วย จึงควรหลักเลี่ยงการขับรถช่วงกลางคืน รถติดไฟแดงที่นี่ไฟเขียวปุ๊บคันหลังบีบแตรปั๊บ
8.เวลา Morocco is GMT/UTC + 0h during Standard Time
Morocco is GMT/UTC + 1h during Daylight Saving Time
เราไปช่วงเดือน พฤศจิกายน ไม่ใช่ช่วง Daylight Saving เวลาจึงช้ากว่าที่ไทย 7 ชั่วโมง
9.Taxi มีสองแบบ คือ Petit Taxi เป็นรถคันเล็กๆ จะนั่งได้ 3 คน ข้างหลัง 2 ข้างคนขับ 1 และ Grand Taxi จะเป็นรถเบนซ์ E-Class รุ่นเก่า นั่งได้ ข้างหลัง 4 คน ข้างคนขับ 1 ประเทศนี้ Taxi จะคล้ายกับประเทศเรา คือ จะเหมานักท่องเที่ยวลูกเดียว ไม่ยอมกดมิเตอร์ ต้องพยายามใช้ทักษะการต่อราคาแถมจากสนามบินก็จะพยายามชาร์จแพงกว่าราคาที่ติดแสดงไว้ แต่ Taxi ดีๆก็มีนะ ขากลับนั่งไปสนามบิน เลยให้ทิปเพิ่มเลย

Day 1 Marrakesh-Essaouira-Marrakesh (360 km)
เมืองตากอากาศริมทะเลทางด้านทิศตะวันตกของประเทศ
วันนี้เรามีน้องไกด์นักเรียนไทย น้องรามอสมาช่วยในการพาเที่ยวเมือง Essouira น้องบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่อากาศดีๆมากๆ อยู่ริมทะเล เมฆน้อย ฟ้าเป็นสีฟ้า และที่นี่สามารถซื้อ Argan Oil ได้ในราคาที่ถูกกว่าที่ Marrakesh
ก่อนถึงเมือง Essouira จะมีไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยคือแพะปีนต้นไม้ ขึ้นไปกินลูกของต้น Argan ต้นนี้มีแพะหลายตัวและมีไม้ค้ำยัน ตอนไปมีตัวนึงหล่นลงมาด้วย เสียตังค์ค่าดูและสามารถอุ้มแพะได้

หลังจากนั้นจึงเดินเล่นในตัวเขตเมืองซึ่งเรียกว่า Medina ของ Essaouiraเป็นหนึ่งในเมืองที่ใช้เป็นที่ถ่ายทำของซีรี่ดัง Game of Throne ด้วย

เดินเล่นไปถ่ายรูปบนเกาะเล็กๆ ระวังเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงด้วย ขากลับเราต้องถอดรองเท้าเดินกลับเนื่องจากน้ำขึ้น
Essaouira Ramparts & Essaouira Fishing Port

เดินทางกลับ Marrakesh พักผ่อนเตรียมเดินทางต่อวันรุ่งขึ้น
Day 2 Marrakesh-Ait Ben Haddou-Dades Gorge (360 km)
วิวสวยระหว่างทาง ทางเป็นทางขึ้นเขาลงเขา และเป็นเลนส์สวน ต้องขับด้วยความระมัดระวังและตามความเร็วที่กำหนด

Kasbash of Ait Ben Hadou
เสียค่าเข้าชมคนละ 10 Dh หรือประมาณ 40 บาท เป็นหมู่บ้านป้อมปราการโบราณ ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง Gladiator ด้วย สภาพค่อนข้างทรุดโทรม ในปัจจุบันมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ประเทศนี้จะไม่เสิร์ฟน้ำแข็ง ต้องขอจากพนักงาน
โค้กกะน้ำแข็ง ฟินนน

ออกเดินทางต่อไป Dades Gorge

Monkey Fingers

Hairpin Bend
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่