สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
คุณแม่ครับ เรื่องนี้ผมขอไม่เห็นด้วยกับคุณแม่อย่างแรงเลยนะครับ
เด็กที่เป็นธาลัสซีเมียรุนแรง จะมีสติปัญญาไม่ดี ไม่ฉลาด หน้าตาผิดปกติ อายุสั้น(ยังไงก็ต้องตายก่อนพ่อแม่แน่นอน) ต้องมีการรักษาแบบให้เลือดทุกเดือน เดือนละ 1-2 ครั้งแล้วแต่ความรุนแรงของแต่ละคน โดนเข็มทิ่มตามตัวเป็นร้อยนับร้อยๆแผล
เด็กจะโดนเข็มแทงตามตัว จนชินชา ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น น่าสงสารอย่างที่สุดครับ
การถ่ายให้เลือดทุกๆเดือน มีผลเสียทำให้ตับไต ทำงานหนัก จะใช้วิธีนี้ได้แค่ถึงจุดๆหนึ่ง ซึ่งเด็กจะมีอายุประมาณ 12 ปี หลังจากนี้เด็กจำเป็นต้องเข้าคิวปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1-2 ล้านบาท การปลูกถ่ายไขกระดูกไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกโรงพยาบาล หมอมีน้อยมากครับ โรงพยาบาลยิ่งน้อยหนัก เพราะต้องใช้ห้องปลอดเชื้อ อยู่ในห้องปลอดเชื้อสำหรับการปลูกถ่าย 30 วันประมาณนี้
ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน 1-2 ล้านบาท เด็กก็รอวันตาย มีอายุไม่น่าจะถึง 20 ปี
ต่อให้คุณแม่มีเงิน 1-2 ล้านบาท ในขั้นตอนการปลูกถ่าย เด็กก็อาจจะเสียชีวิตได้อยู่ดี เพราะเป็นขั้นตอนการรักษาที่อันตรายมากๆ
ต่อให้ปลูกถ่ายไขกระดูกเสร็จ ก็ต้องทานยาต้านต่อไป เรื่อยๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามมาอีก หลังจากนั้น เด็กอาจจะหาย หรือ ไม่หาย หรือ กลับมาเป็นอีกก็ได้ ไม่มีอะไรรับรองทั้งนั้น
คือผมอยากจะบอกว่า พ่อแม่ที่มีความเสี่ยงว่าลูกจะเป็นชนิดรุนแรง ไม่ควรที่จะมีลูกตามธรรมชาติเด็ดขาด ไม่ว่าจะเสี่ยงกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ถ้าอยากมีลูก ก็เก็บเงิน หาเงินเยอะๆ แล้วมีลูกด้วยวิธีอื่น
และสิ่งที่แย่ที่สุด ก็คือ เด็กน่าสงสารมากๆนะครับ อย่าให้เด็กเกิดมารับกรรมเลย นรกบนดินจริงๆนะครับ เชื่อผมเถอะ
คนเป็นพ่อแม่ไม่ได้ทรมาน ไปกับเขาด้วยนะครับ คิดถึงลูกเยอะๆ คิดถึงลูกก่อนคิดถึงความต้องการของตัวเรา
ถ้าคุณหมอบอกว่ามีความเสี่ยง คุณแม่อย่าดื้อนะครับ ทำแท้งไปเลย ไม่ต้องคิดสงสารลูก เพราะเขาไม่ได้ร้องขอความพิการตอนเกิด เป็นการทำบุญที่ไม่ให้เขาเกิดมา
ผมเจอคุณพ่อคุณแม่หลายคนมาก บอกว่าสงสารลูก เขาเกิดมาในท้องแล้วไม่อยากทำแท้ง แล้วปล่อยให้เด็กเกิดออกมา ทุกวันนี้ นรกบนดินจริงๆครับ เด็กก็น่าสงสารอย่างที่สุด สติปัญญาก็ไม่ดี คล้ายๆปัญญาอ่อนด้วย หาเงินมาปลูกถ่ายให้ลูกก็ลำบากคนทำงานธรรมดาจะเอาที่ไหน 2 ล้านมาปลูกถ่ายไขกระดูก ก็ต้องรอคิวปลูกถ่ายฟรีจากกองทุนต่างๆ ซึ่งมีน้อยมาก เหมือนรอวันตายมากกว่าครับ
สุดท้าย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อวยพร ให้ผลออกมาดีนะครับ จะได้มีลูกสมใจ
เด็กที่เป็นธาลัสซีเมียรุนแรง จะมีสติปัญญาไม่ดี ไม่ฉลาด หน้าตาผิดปกติ อายุสั้น(ยังไงก็ต้องตายก่อนพ่อแม่แน่นอน) ต้องมีการรักษาแบบให้เลือดทุกเดือน เดือนละ 1-2 ครั้งแล้วแต่ความรุนแรงของแต่ละคน โดนเข็มทิ่มตามตัวเป็นร้อยนับร้อยๆแผล
เด็กจะโดนเข็มแทงตามตัว จนชินชา ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น น่าสงสารอย่างที่สุดครับ
การถ่ายให้เลือดทุกๆเดือน มีผลเสียทำให้ตับไต ทำงานหนัก จะใช้วิธีนี้ได้แค่ถึงจุดๆหนึ่ง ซึ่งเด็กจะมีอายุประมาณ 12 ปี หลังจากนี้เด็กจำเป็นต้องเข้าคิวปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1-2 ล้านบาท การปลูกถ่ายไขกระดูกไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกโรงพยาบาล หมอมีน้อยมากครับ โรงพยาบาลยิ่งน้อยหนัก เพราะต้องใช้ห้องปลอดเชื้อ อยู่ในห้องปลอดเชื้อสำหรับการปลูกถ่าย 30 วันประมาณนี้
ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน 1-2 ล้านบาท เด็กก็รอวันตาย มีอายุไม่น่าจะถึง 20 ปี
ต่อให้คุณแม่มีเงิน 1-2 ล้านบาท ในขั้นตอนการปลูกถ่าย เด็กก็อาจจะเสียชีวิตได้อยู่ดี เพราะเป็นขั้นตอนการรักษาที่อันตรายมากๆ
ต่อให้ปลูกถ่ายไขกระดูกเสร็จ ก็ต้องทานยาต้านต่อไป เรื่อยๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามมาอีก หลังจากนั้น เด็กอาจจะหาย หรือ ไม่หาย หรือ กลับมาเป็นอีกก็ได้ ไม่มีอะไรรับรองทั้งนั้น
คือผมอยากจะบอกว่า พ่อแม่ที่มีความเสี่ยงว่าลูกจะเป็นชนิดรุนแรง ไม่ควรที่จะมีลูกตามธรรมชาติเด็ดขาด ไม่ว่าจะเสี่ยงกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ถ้าอยากมีลูก ก็เก็บเงิน หาเงินเยอะๆ แล้วมีลูกด้วยวิธีอื่น
และสิ่งที่แย่ที่สุด ก็คือ เด็กน่าสงสารมากๆนะครับ อย่าให้เด็กเกิดมารับกรรมเลย นรกบนดินจริงๆนะครับ เชื่อผมเถอะ
คนเป็นพ่อแม่ไม่ได้ทรมาน ไปกับเขาด้วยนะครับ คิดถึงลูกเยอะๆ คิดถึงลูกก่อนคิดถึงความต้องการของตัวเรา
ถ้าคุณหมอบอกว่ามีความเสี่ยง คุณแม่อย่าดื้อนะครับ ทำแท้งไปเลย ไม่ต้องคิดสงสารลูก เพราะเขาไม่ได้ร้องขอความพิการตอนเกิด เป็นการทำบุญที่ไม่ให้เขาเกิดมา
ผมเจอคุณพ่อคุณแม่หลายคนมาก บอกว่าสงสารลูก เขาเกิดมาในท้องแล้วไม่อยากทำแท้ง แล้วปล่อยให้เด็กเกิดออกมา ทุกวันนี้ นรกบนดินจริงๆครับ เด็กก็น่าสงสารอย่างที่สุด สติปัญญาก็ไม่ดี คล้ายๆปัญญาอ่อนด้วย หาเงินมาปลูกถ่ายให้ลูกก็ลำบากคนทำงานธรรมดาจะเอาที่ไหน 2 ล้านมาปลูกถ่ายไขกระดูก ก็ต้องรอคิวปลูกถ่ายฟรีจากกองทุนต่างๆ ซึ่งมีน้อยมาก เหมือนรอวันตายมากกว่าครับ
สุดท้าย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง อวยพร ให้ผลออกมาดีนะครับ จะได้มีลูกสมใจ
แสดงความคิดเห็น
ระบบโรงพยาบาลรัฐเป็นแบบนี้เหรอ?
ขอเกริ่นนิดนึงนะคะ จริงๆ เราสองคนรู้อยู่แล้วตั้งแต่คบกันเป็นแฟนว่าเราเป็นพาหะ และอาจกระทบถึงเด็กในท้อง แต่ด้วยความที่เรารักกันตั้งแต่สมัยเรียน เราจึงคิดว่าเราจะลองเสี่ยงไปด้วยกัน และพอเราแต่งงานกันเราก็ไปเจาะเลือดอีกครั้งเพื่อตรวจให้ละเอียดอีกรอบก็พบว่าอย่างน้อยเราก็มีโอกาสเก็บลูกไว้ได้ถึง 75% จึงตัดสินใจปล่อยมีน้องตามธรรมชาติ ซึ่งบอกตรงๆ ว่าตอนนี้เข็ดแล้ว ทรมานเหลือเกินกับการคอยลุ้นว่าเค้าจะปลอดภัยมั้ย ตั้งใจว่าลูกคนต่อไปคงต้องทำ Gift อย่างแน่นอน (ซึ่งต้องบอกว่าค่าใช้จ่ายคงสูงมากจนน่ากลัว และตอนนี้ศักยภาพเราไม่ได้สูงขนาดนั้น )
หลังจากท้องได้ประมาณ 2 เดือน ก็ปรึกษาหมอ หมอก็แนะนำว่าต้องเจาะน้ำคร่ำตอนอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์ ซึ่งเรามองว่ามันนานมาก ทุกๆ วัน ที่ผ่านไปมันมีความกังวลตลอด เรารอคอยการเจาะน้ำคร่ำมาตลอด จนถึง 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ผ่านไป 1 ขั้นตอน ที่ช่วยปลดความกังวลใจไปได้บ้าง และหมอนัดฟังผล 17 พ.ค. 59 ที่ผ่านมา เราเฝ้ารอการมาถึงของวันฟังผลอย่างใจจดใจจ่อ และพอวันฟังผลมาถึงก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะผลยังไม่ออก ไม่รู้จะมีใครเข้าใจไหมว่าเราผิดหวังแค่ไหน เราทั้งรอคอย คาดหวัง และเตรียมใจสำหรับผลที่จะได้ยิน แต่ก็ต้องผิดหวัง
และประเด็นคำถามของเราอยู่ตรงนี้ค่ะ....วันที่ 17 เม.ย. เราถามพยาบาลหน้าห้องว่าแล้ววันที่ 24 พ.ค. นี้ผลจะออกแน่นอนใช่มั้ยคะ พยาบาลก็บอกให้โทรมาถามก่อนในวันที่ 23 พ.ค. แต่ห้องแลปข้างบนแจ้งมาว่าผลจะออกในวันศุกร์ที่ 20 ซึ่งมันเป็นวันหยุด ห้องแลปซึ่งเป็นศุนย์วิจัยเค้าก็หยุดเหมือนกัน หมอก็เลยนัดเป็นวันอังคารที่ 24 เลย เราก็เลยถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่ผลจะออกก่อนหน้านั้น คือเราอยากรู้เร็วที่สุดเพราะมันเป็นเคสที่ซีเรียส พยาบาลก็ตอบว่า...ระบบเราคือถ้าผลออกมาร้ายแรงเราจะโทรแจ้งค่ะ......เราก็เลยยอมถอยทัพกลับบ้านไป และมาวันนี้ด้วยความที่เราอยากรู้ก็เลยโทรไปที่ศูนย์วิจัยที่เป็นแลปของ รพ. จนท.แจ้งว่าได้ส่งผลไปให้แผนกสูตินรีแพทย์แล้ว ให้โทรไปถามที่แผนก เราก็เลยโทรไปถามที่แผนกสูติ ได้คุยกับพยาบาลท่านเดิม
เรา: ไม่ทราบว่าผลเป็นอย่างไรบ้างคะ....ดีหรือร้าย....
พยาบาล: บอกไม่ได้ค่ะ...คุณหมอให้เข้ามาฟังผลตรวจเอง
เรา: ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่าเป็นข่าวดีใช่มั้ยคะ เพราะวันที่ 17 บอกกับเราถ้าผลออกมาร้ายแรงจะโทรแจ้ง
พยาบาล: บอกไม่ได้ค่ะ ให้มาตามนัด รู้วันนี้หรือวันที่ 24 ก็ไม่ต่างกัน
ซึ่งบอกตรงๆ นะคะว่าเราเสียใจกับคำตอบนี้มาก และไม่เข้าใจระบบเลย เค้าจะรู้หรือไม่ว่าเราต้องทุกข์ใจมากี่เดือนแล้ว เราต่องพยายามที่จะมีความสุขกับปัจจุบันที่มีเค้าอยู่ ยิ่งนับวันเค้ายิ่งเติบโต ยิ่งได้เห็นเค้าตอน u/s มันยิ่งรักและผูกพันธ์ แล้วเวลาที่เหลือนี้เรารู้สึกยิ่งจดจ่อและทุกข์เข้าไปอีก....คำถามของเราคือ...ระบบของ รพ.รัฐบาลเป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ? แม้ตัวคนไข้จะเป็นคนโทรไปเอง แม้ผลจะออกแล้วก็ไม่สามารถจะบอกได้จนกว่าจะถึงวันนัดเหรอคะ?