สินค้าผ่านแดน ...อีกนโยบาย Drifting Policy !

ขณะที่รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ตีปี๊บเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง แม้หลากหลายสำนักจะพากันถอดใจปีนี้แค่ประคองเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้สัก 2.5-3% ก็ดีแล้ว จากแรงกดดันรอบด้านที่กำลังถั่งโถมเข้าใส่

ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ยังคงแสดงความมั่นใจจะสามารถประคับประคองภาคการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 5% โดยมีแผนจะรุกตลาดการค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาด CLMV ไหนจะขานรับการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งไฟเขียวจัดตั้งสำนักงานเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม

แต่ความฝันที่จะปลุกตลาดการค้าชายแดน รุกตลาดเพื่อนบ้าน CLMV กลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง GMS หรือจะปลุกเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเชื่อมโยงการค้า การลงทุนไปยังเพื่อนบ้านจะไปถึงฝั่งหรือไม่นั้น รัฐบาลเองก็ควรต้องหันกลับมา “มอนิเตอร์” ดูกลไกลของรัฐเกื้อหนุนหรือไม่ “ไม่ใช่พายเรือไปคนละทาง”

เพราะนัยว่าล่าสุดนี้กลุ่มผู้ประกอบการสินค้าผ่านแดนเพิ่งจะออกโรงโวยรัฐกำลังไล่ทุบธุรกิจค้าผ่านแดนหรือนำผ่าน และตลาดการค้าชายแดนชนิด “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” มีการตีความสินค้าผ่านแดนเสมือนการนำเข้า-รีเอ็กซ์ปอร์ต แถมฟื้นสินบนนำจับศุลกากรไปซุกไว้ในกฎหมายของพาณิชย์เข้าไปอีก

เรื่องอย่างนี้ “ไม่มีไฟมันไม่มีควัน” หรอกครับท่านนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคารพ!

โดย นายพัชรดิษฐ์ สินสวัสดิ์ นายกสมาคมตัวแทนออกของรับอนุญาตไทย ออกโรงเปิดเผยเรื่องที่กำลังจะทำให้เส้นทางการปลุกตลาดการค้าชายแดน และปั้นโลจิสติกส์ ฮับของประเทศไทยเป็นไปได้แค่ฝัน ก็เพราะ 2 หน่วยงานรัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ไปซุ่มเงียบทำคลอดกฎหมายที่กำลังจะฆ่าและทำลายนโยบายของรัฐข้างต้นโดยตรง จะเป็นการทำคลอดกฎหมายด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือรู้อยู่เต็มอกแต่ทำเป็นแกล้งไม่รู้หรืออย่างไร แต่ 2 กฎหมายที่‎ประกอบการกล่าวถึงก็ถูกทำคลอดออกไปเงียบๆ เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา

โดยในส่วนของกรมศุลกากรได้แก้ไขกฎหมายศุลกากรปี 2469 ในส่วนของคำนิยามสินค้าผ่านแดนตามมาตรา 58 ให้อำนาจเจ้าพนักงานศุลกากรสามารถที่จะเข้าไปตรวจค้น ยึดและอายัดหรือริบของโดยไม่ต้องมีหมายค้น หากเชื่อได้ว่าสินค้าของผ่านแดนที่นำเข้ามาเป็นของต้องห้ามหรืออาจเป็นภัยต่อความมั่นคง

ทั้งยังออกประกาศศุลกากรที่ 210/2558 ลงวันที่ 30 กันยายน 58 กำหนดขั้นตอนการดำเนินพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าผ่านแดน ที่อ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงการค้าเสรีและแกตส์ รวมทั้งให้สอดรับกับการแก้ไขกฎหมายมาตรา 58 ข้างต้น โดยมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้นำของเพื่อการผ่านแดน หรือการถ่ายลำออกนอกราชอาณาจักร ไม่ว่าจะดำเนินการเอง หรือผู้รับมอบอำนาจจะต้องยื่นใบขนสินค้าตามแบบ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด มีการกำหนดเงื่อนเวลาให้ของต้องส่งออกภายใน 90 วันนับแต่วันที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร หากผู้ขอผ่านแดนไม่ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าของผ่านแดนนั้นไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดให้ดำเนินการกับของผ่านแดนดังกล่าวตามระเบียบว่าด้วยของตกค้าง

“การออกประกาศศุลกากรที่จะให้ริบของผ่านแดน โดยถือเสมือนเป็นของตกค้างเป็นการออกประกาศที่ขัดแย้งกับกฎหมายศุลกากรเอง ยังถือเป็นการออกประกาศเกินขอบเขตกฎหมายศุลกากรที่ขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่ ถือเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจสินค้าผ่านแดน และถือเป็นการละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศโดยตรงอีกด้วย”

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เองก็มีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 ที่ให้เพิ่มนิยาม “การนำผ่าน” ให้หมายรวมถึงนำและส่งสินค้าผ่านราชอาณาจักรด้วยไม่ว่าจะมีการพักสินค้า เปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ หรือเปลี่ยนภาชนะบรรจุเพื่อประโยชน์ในการขนส่ง โดยอ้างว่าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งยังเพื่อป้องกันการลักลอบส่งออกหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร

ประเด็นสำคัญของการแก้ไขครั้งนี้อยู่ที่มาตรา 16 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตรวจค้น สถานที่ผลิตหรือจัดเก็บสินค้าหรือยานพาหนะของผู้ประกอบการส่งออก นำเข้าหรือนำผ่าน รวมไปถึงการตรวจยึด จับกุม และริบของกลาง การฟ้องร้องดำเนินคดีได้เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานศุลกากร ซึ่งถือเป็นการออกกฎหมายที่ซ้ำซ้อนกับที่กรมศุลกากรดำเนินการอยู่ กลายเป็นการสร้างฐานอำนาจใหม่ที่ทำให้ผู้ประกอบการนำเข้า ส่งออก หรือผู้ประกอบการนำผ่านต้องตกอยู่ในสภาพหวาดวิตก เพราะอาจถูกเจ้าหน้าที่ทั้งศุลกากรและพาณิชย์เวียนเทียนกันมาตรวจสอบสถานประกอบการ หรือโรงพักสินค้าได้ทุกเมื่อ

ที่สำคัญมีการซ่อนเนื้อหารางวัลสินบนนำจับที่เคยเป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่ศุลกากร จนภาครัฐมีนโยบายให้ลดเลิกรางวัลนำจับลงมาเพื่อขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ล่าสุดกลับมีการนำเอาสินบนนำจับที่ว่านี้ไปซุกอยู่ในกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์แทน

”ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์มีมุมมองว่า ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการค้าผ่านแดน แต่สมาคมยืนยันว่าการค้านำผ่านหรือสินค้าผ่านแดนนั้น แม้ผู้ซื้อ-ผู้ขายจะอยู่ต่างประเทศและใช้ไทยเป็นแค่เมืองท่าผ่านเข้า-ออกแต่ไทยก็ได้รับประโยชน์จากสินค้าผ่านแดน การขนส่งสินค้าหรือโรงพักสินค้าและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ปีละนับแสนล้านบาท เอาแค่เฉพาะสินค้าผ่านแดนไปยัง สปป.ลาว แต่ละปีก็มีมูลค่ามากกว่า 70,000 ล้านบาทแล้ว”

ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าผ่านแดนและสมาคมที่เกี่ยวข้องจึงต้องการให้รัฐเร่งดำเนินการพิจารณาทบทวนประกาศศุลกากร ตลอดจนการแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับข้างต้น เพราะกฎหมายดังกล่าวไม่เพียงเป็นอุปสรรคและภัยคุกคามต่อธุรกิจสินค้าผ่านแดน ยังกระทบต่อตลาดการค้าชายแดน และนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนที่รัฐมีเป้าหมายจะผลักดันให้ได้ถึง 1.7 ล้านล้านบาท รวมทั้งนโยบายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นโลจิสติกส์ ฮับ โดยตรงอีกด้วย

ถืเป็นเผือกร้อนสำคัญที่ไม่รู้นายกฯ “บิ๊กตู่” จะล่วงรู้หรือไม่ กับเรื่องใหญ่ประมาณนี้ผ่านสายตาหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไปได้อย่างไร ซึ่งหากเป็นจริงดั่งที่‎ผู้ประกอบการดาหน้าออกมาแฉโพยก็เห็นทีไม่เพียงจะกระทบเส้นทางปลุกตลาดการค้าขายแดน เส้นทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ยังอาจทำให้เส้นทางปั้นโลจิสติกส์ ฮับของประเทศไทยเป็นได้แค่ฝันอีกด้วย

เป็นอีกนโยบายที่สะท้อนให้เห็นความสับสนของรัฐที่ไม่รู้จะให้เร่งสปีด หรือกระตุกเบรกกันแน่!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่