เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมตั้งตารอดูมากครับเรื่องนี้ ด้วยพล็อตที่แปลก คือปกติหนังโรแมนติกไซไฟส่วนใหญ่ที่พูดถึงโลกอนาคต ก็จะเป็นโลกอนาคตที่มีหุ่นยนต์เป็นตัวละครหลัก แล้วอาจจะมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์มาก จนเกิดเป็นความรักระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ แต่เรื่องนี้วางพล็อตที่ต่างกันตรงที่ ทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เพราะโลกอนาคตของหนังเรื่องนี้เป็นโลกที่มนุษย์ไม่มีความรู้สึก โดยการตัดต่อพันธุกรรมตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก "ความรู้สึก" สำหรับโลกที่ชื่อว่า “The Collective” ในหนังนั้นเป็นเหมือน "เชื้อโรค" ชนิดนึงที่ใครเป็นแล้วต้องทำการรักษา ซึ่งเชื้อโรคชนิดนี้มีชื่อว่า SOS หรือ Switched on Syndrome โดยลักษณะของความรุนแรงของโรคก็จะคล้ายๆโรคมะเร็ง โรคเอดส์ ฯลฯ แบบที่เราเข้าใจในยุคปัจจุบัน คือทุกคนจะกลัวการเป็นโรคนี้ และโรคจะมีระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็จะจบด้วยการฆ่าตัวตาย หรือถึงแม้ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายด้วยตัวเอง ก็จะถูกส่งไปที่ THE DEN สถานที่ซึ่งทุกคนเข้าใจว่ามันคือสถานบำบัดรักษาโรค SOS แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือสถานที่ที่เตรียมไว้สำหรับการกำจัดผู้ที่เป็นโรคนี้ขั้นร้ายแรง โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยกล่อมให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตายไปเอง หรือหากว่าผู้ป่วยไม่ยอมฆ่าก็จะโดนช็อตไฟฟ้าหรือยิงเป้า(อันนี้ผมลืมนะครับว่าถ้าไม่ฆ่าตัวตายเองจะโดนอะไร แต่คุ้นๆว่าเป็นสองอย่างนี้ ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยครับ) เพราะโรคนี้มันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด มีแต่ยาต้าน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคในขั้นรุนแรงจึงจะต้องถูกกำจัด เพราะยาต้านจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
และอีกสิ่งนึงที่ผมรู้สึกถึงตลอดเวลาจากการดูหนังเรื่องนี้คือเพลง Imagine ของ John Lennon แม้ว่าหนังจะไม่ได้ใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในหนัง แต่ผมรู้สึกได้จากการที่หนังพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งสีผิว ไม่มีการแบ่งชาติ ไม่มีการแบ่งศาสนา ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่แบ่งอะไรเลย ทุกคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง และพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แม้แต่อาหาร หรือบ้าน ทุกคนยังได้รับเหมือนกัน(นอกจากเสื้อผ้าที่จะแตกต่างกันไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ) ซึ่งหากว่าจะทำให้ได้แบบนั้น โลกเราอาจจะต้องเป็นแบบ The Collective นั่นแหละ คือเราต้องไร้ความรู้สึกก่อน เพราะเมื่อเราเริ่มมีความรู้สึก เมื่อนั้นแหละจะเป็นช่วงที่เราเริ่มหาข้อเปรียบเทียบ เกิดความหวงแหน เกิดความโลภ และเกิดการขัดแย้งอันจะนำไปสู้ความวุ่นวายแบบเรา ในทุกวันนี้
ส่วนเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ผมขอเรียกมันว่าเป็นหนัง "Romeo and Juliet แห่งโลกอนาคต"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การที่ผมอ้างอิงเรื่องนี้มาไม่ใช่เพราะมันเป็นหนังโศกนาฏกรรมแบบนั้นหรอกนะ แต่ตรงกันข้าม ตอนจบมันโคตรจะ Feel Good เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่มันเป็นหนังที่พูดถึงเรื่อง "รักต้องห้าม" แต่เป็นรักต้องห้ามในลักษณะที่ทุกคนใน The Collective จะไม่มีความสัมพันธ์อะไรพิเศษต่อกัน เพราะทุกคนจะไร้ความรู้สึก ซึ่งหลายๆคู่ก่อนหน้าที่มีความสัมพันธ์กันก็จะจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ถูกส่งไป THE DEN ทั้งสิ้น แต่ Silas (Nicholas Hoult) และ Nia (Kristen Stewart) เลือกที่จะเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ และคุยกันว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน แล้วค่อยมาอยู่ด้วยกันในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับได้ แต่ด้วย "ความรู้สึก" ที่เพิ่มมากขึ้น จึงเริ่มมีความกลัว ความกังวลเพิ่มขึ้นมา จนทั้งคู่คิดจะหนีไปอีกที่หนึ่ง เพื่อหลุดจากการควบคุมของ The Collective เพื่อเค้าจะได้รักกัน และมีกันและกันได้อย่างเปิดเผย
แผนของไซลัสและนีอาที่จะหนีออกจาก The Collective ด้วยกัน ได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่เป็นโรค SOS เหมือนกัน แต่ต้องเก็บซ่อนไว้ จึงรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือและแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งแผนก็เกือบจะราบรื่นอยู่แล้ว ถ้าวันที่ทั้งคู่นัดจะหนีออกไปด้วยกันนีอาไม่โดนเรียกตัวไปตั้งครรภ์ซะก่อน (การตั้งครรภ์สำหรับชาว Collective คล้ายๆกับเป็นหน้าที่นึงของผู้หญิงอ่ะครับ คือผู้หญิงในเรื่องทุกคนจะโดนสุ่มเรียกให้ไปตั้งครรภ์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร ซึ่งผู้ถูกเรียกจะถูกตัดสัญญาณที่ข้อมือออก ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้ เพราะการเดินทางด้วยรถไฟจะต้องใช้สัญญาณจากข้อมือ) และเมื่อไซลัสเห็นว่านีอาไม่มาตามนัด เขาจึงไปหานีอา และรู้ความจริงเรื่องนีอาได้รับหมายเรียกให้ไปตั้งครรภ์ แต่การตั้งครรภ์ของนีอาครั้งนี้เองที่มันเป็นจุดพลิกผันของเรื่อง เพราะมันต้องมีการตรวจเลือดเพื่อเช็คว่านีอาเป็น SOS หรือเปล่า และการตรวจเลือดนี่เองที่ทำให้ทุกคนรู้ว่านีอาตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว นั่นหมายถึงว่านีอาจะต้องมีความสัมพันธ์กับใครซักคนใน The Collective ซึ่งมันร้ายแรงกว่าการแค่เจอเชื้อ SOS ซะอีก และสุดท้ายนีอาจึงถูกส่งไปที่ THE DEN
และจากการช่วยเหลือของกลุ่มคนที่เป็น SOS ที่ใช้ข้อมูลของนีอาไปสลับกับข้อมูลของอีกคนที่เพิ่งฆ่าตัวตายเมื่อคืน ทำให้กลายเป็นว่าข้อมูลของนีอาจะกลายเป็นฆ่าตัวตายเมื่อคืน แล้วเอาข้อมูลของอีกคนมาใส่ให้นีอาแทน เพื่อให้นีอาหนีไปหาไซลัสที่ทุกคนบอกว่าให้เค้าไปรอนีอาอยู่ที่ห้องเฉยๆ แต่ด้วยเพราะไซลัสมีอารมณ์และความรู้สึกแล้ว เค้าจึงทั้งเป็นกังวล และเป็นห่วงนีอาจนไม่สามารถนั่งรออยู่เฉยๆได้ และเหตุการณ์หลังจากนี้ก็คล้ายๆกับโรมีโอแอนด์จูเลียต แบบที่ผมบอกไปนั่นแหละครับ คือไซลัสไปตามหานีอาที่ THE DEN แต่ก็ได้รับข้อมูลว่านีอาฆ่าตัวตายไปแล้ว ด้วยความเศร้า ความเสียใจที่เกิดขึ้นทำให้ไซลัสเกือบจะโดดตึกฆ่าตัวตายตามนีอา ฉากนี้นี่บอกตรงๆว่าผมนั่งลุ้นอยู่ว่าไซลัสแม่มต้องโดดลงมาตาย แล้วนีอาที่ตามหาไซลัสอยู่มาเจอ ก็เลยเสียใจมากและโดดลงมาตายอีกคน ฮ่าๆๆ ถ้าเป็นแบบนั้นนี่มันโคตรจะน้ำเน่าเลยนะ แต่หนังก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นครับ หนังเลือกที่จะให้ไซลัสเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่อยากเจ็บปวดจากการจากไปของนีอา ไซลัสจึงไปขอให้ฉีดยารักษาโรค SOS (ลืมบอกไปว่าตอนที่ไซลัสกับนีอาตัดสินใจหนี เพราะตอนนั้นทาง The Collective คิดค้นยากรักษาโรค SOS เป็นผลสำเร็จแล้วครับ ทั้งคู่กลัวว่าจะถูกจับไปฉีดยาและจะไม่ได้รักกันอีก จึงเลือกที่จะหนี เพราะยาตัวนี้นอกจากจะกำจัดความรู้สึกทั้งหมดออกไปแล้ว ยังป้องกันไม่ให้กลับไปมีความรู้สึกได้อีก แต่ยาจะออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์หลังจากฉีดไป 6 ชั่วโมง)
ซึ่งการตัดสินใจแบบนั้นของไซลัสนั่นเอง เมื่อเค้ากลับมาที่ห้องและพบว่านีอารอเค้าอยู่ที่ห้องนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มกลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไซลัสจะจำนีอาไม่ได้ และก็เป็นแบบนั้นจริงๆครับ เมื่อตื่นมาไซลัสบอกว่าเค้าจำได้ว่าเคยรักนีอา แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่เรื่องแผนที่จะหนีออกไปด้วยกันก็ยังคงอยู่ ทั้งคู่จึงหนีขึ้นรถไฟเพื่อออกนอกเมืองไป และตอนจบนี่แหละที่หนังเหมือนทิ้งไว้ให้เราคิดต่อว่าไซลัสจะจำความรู้สึกรักที่มีต่อนีอาได้หรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่ามัน Feel Good มากครับ ถ้าใครเคยดูหนังรักของ GTH บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง กวน มึน โฮ หนังมันจะตัดจบคล้ายๆแบบนั้นแหละครับ แบบไม่ได้บอกเราตรงๆว่าสุดท้ายแล้วพระเอกนางเอกจะรักกันหรือเปล่า แต่มันจะมีสัญญะบางอย่างเพื่อให้เรารู้สึกว่าเค้าจะต้องได้รักกัน อะไรแบบนั้น
อีกเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆในหนังคือการใช้มุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงดนตรีประกอบ ขอพูดเรื่องมุมกล้องก่อนนะครับ หนังเลือกใช้มุมกล้องส่วนใหญ่เป็นแบบ Close Up Shot(ต่อไปผมจะเขียนว่า CU Shot นะครับ) ซึ่งปกติเวลาผมดูหนังที่ใช้ CU Shot เยอะๆแบบนี้ผมจะอึดอัด และจะรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะการ CU ของเค้ามันดูมีเหตุมีผล เพราะหนังเรื่องนี้มันพูดเรื่องของการแสดงอารมณ์ และการปกปิดอารมณ์ ดังนั้นการ CU เพื่อให้เห็นการแสดงอารมณ์ของตัวละครไม่ว่าจะเป็นที่หน้า หรือส่วนอื่นๆของร่างกาย มันมีความจำเป็นมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าการใช้มุมกล้องของเค้าฉลาดมาก เค้ารู้ว่าตอนไหนควร CU ตอนไหนควรเป็น Medium Shot และตอนไหนควรใช้ Wide Shot ทุกมุมกล้องของเค้ามันมีผลต่อการรับรู้ในรายละเอียดของหนังทั้งสิ้น รวมถึงการตัดต่อ และใช้ดนตรีประกอบด้วย ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะ และมีผลต่ออารมณ์ของหนัง เริ่มตั้งแต่ที่ไซลัสยังไร้ความรู้สึก อยู่ดีๆก็เริ่มมีความรู้สึก และเริ่มสังเกตความผิดปกติของนีอา จนทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน เรื่องนี้ผมว่าในแง่ของการถ่ายทอดอารมณ์ด้านภาพและเสียงมันโอเคมากๆ นักศึกษาสายภาพยนตร์หรือใครที่สนใจในงานสร้างภาพยนต์ควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมว่าเค้าวางจังหวะภาพและเสียงได้ลงตัวมากจริงๆ
และที่ชอบมากๆอีกอย่างคือนักแสดงครับ ทั้ง Kristen Stewart และ Nicholas Hoult ทำหน้าที่ได้ดีในทุกๆซีน การส่งสายตา การแสดงสีหน้า รวมถึง Body Language โดยรวมผมว่าเค้าทำได้ดีมาก และเค้าก็หล่อสวยกันมากเช่นกัน ใครเป็นแฟนหนังของสองคนนี้แนะนำให้ไปดูเป็นอย่างยิ่งเลยครับ ขนาดซีนที่ต้องทำหน้าตาให้ดูไม่ดีเช่นตอนร้องไห้ ด้วยมุมกล้อง ด้วยองค์ประกอบภาพ มันยังทำให้เค้าดูดีกันอยู่
สรุปนะครับ
ผมว่าเรื่องนี้ถ้ามองแง่การดำเนินเรื่องทั่วไป มันออกจะเรื่อยๆ เอื่อยๆไปซักหน่อย ความเป็นไซไฟของหนังมันไม่ได้อัดเอาวิวัฒนาการของโลกอนาคตที่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นมาให้เราเห็นเหมือนหนังไซไฟเรื่องอื่นๆ แต่มันพูดถึงโลกอนาคตอีกแบบนึงที่เอาเรื่องความไร้ความรู้สึกของคนมาเดินเรื่อง ซึ่งในหนังเค้าก็บอกนะครับว่าก่อนจะถึงยุคนั้นมันมีมหาสงครามที่ทำลายล้างโลก ผมถึงได้บอกว่าดูแล้วนึกถึงเพลง Imagine ของ John Lennon เพราะมนุษย์ยุคนั้นคงคิดว่าอยากได้โลกที่ปราศจากสงคราม จึงสร้างมนุษย์ให้ไร้อารมณ์และความรู้สึกออกมาเพื่อป้องกันการขัดแย้ง แต่ก็นั่นแหละ หนังมันดูเป็น Conceptual สูงมาก และเล่าเรื่องในแบบที่ถ้าเราชอบก็จะชอบไปเลย หรือถ้าไม่ชอบก็จะเบื่อ และอาจจะหลับไปเลย เพราะเนื้อเรื่องจริงๆมันก็คล้ายๆกับหนังรักทั่วๆไป แค่จับเอาพล็อตหนังรักที่โคตรธรรมดานั้นไปยัดใส่ในบริบทของโลกอนาคตเท่านั้นเอง แต่หนังมันจะเด่นในแง่ของงานถ่ายและการใช้เสียงประกอบ ผมว่าถึงหนังจะทำออกมาเป็นหนังที่ไม่มีบทพูดอะไรเลย เราก็น่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร และการใช้มุมกล้องและจังหวะการตัดต่อ รวมถึงเสียงประกอบมันทำหน้าที่เล่าเรื่องให้เรารับรู้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่มันอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบหนังรักทั่วไป ชอบความจิ้น ความฟินของพระเอกนางเอก เพราะถึงแม้ผมจะบอกว่ามัน Feel Good และ พระเอกนางเอกหล่อสวยกันมากก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ ด้วยสไตล์การดำเนินเรื่องที่ผมบอกไป มันออกจะน่าเบื่อในแง่ของเนื้อเรื่อง เพราะก็อย่างที่บอกครับ เนื้อเรื่องมันโคตรจะธรรมดาเลย ออกจะน้ำเน่านิดๆด้วยซ้ำ แต่ที่ผมชอบคือเค้าเอาความ Cliché ของเนื้อเรื่อง มาเล่นกับมุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงประกอบแบบนี้นี่แหละ มันทำให้หนังมันดูน่าสนใจมากสำหรับผม
E Q U A L S :: ในโลกที่ "ความรัก" เป็น "อาชญากรรม" [SPOIL]
และอีกสิ่งนึงที่ผมรู้สึกถึงตลอดเวลาจากการดูหนังเรื่องนี้คือเพลง Imagine ของ John Lennon แม้ว่าหนังจะไม่ได้ใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในหนัง แต่ผมรู้สึกได้จากการที่หนังพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งสีผิว ไม่มีการแบ่งชาติ ไม่มีการแบ่งศาสนา ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่แบ่งอะไรเลย ทุกคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง และพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แม้แต่อาหาร หรือบ้าน ทุกคนยังได้รับเหมือนกัน(นอกจากเสื้อผ้าที่จะแตกต่างกันไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ) ซึ่งหากว่าจะทำให้ได้แบบนั้น โลกเราอาจจะต้องเป็นแบบ The Collective นั่นแหละ คือเราต้องไร้ความรู้สึกก่อน เพราะเมื่อเราเริ่มมีความรู้สึก เมื่อนั้นแหละจะเป็นช่วงที่เราเริ่มหาข้อเปรียบเทียบ เกิดความหวงแหน เกิดความโลภ และเกิดการขัดแย้งอันจะนำไปสู้ความวุ่นวายแบบเรา ในทุกวันนี้
ส่วนเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ผมขอเรียกมันว่าเป็นหนัง "Romeo and Juliet แห่งโลกอนาคต" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆในหนังคือการใช้มุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงดนตรีประกอบ ขอพูดเรื่องมุมกล้องก่อนนะครับ หนังเลือกใช้มุมกล้องส่วนใหญ่เป็นแบบ Close Up Shot(ต่อไปผมจะเขียนว่า CU Shot นะครับ) ซึ่งปกติเวลาผมดูหนังที่ใช้ CU Shot เยอะๆแบบนี้ผมจะอึดอัด และจะรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะการ CU ของเค้ามันดูมีเหตุมีผล เพราะหนังเรื่องนี้มันพูดเรื่องของการแสดงอารมณ์ และการปกปิดอารมณ์ ดังนั้นการ CU เพื่อให้เห็นการแสดงอารมณ์ของตัวละครไม่ว่าจะเป็นที่หน้า หรือส่วนอื่นๆของร่างกาย มันมีความจำเป็นมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าการใช้มุมกล้องของเค้าฉลาดมาก เค้ารู้ว่าตอนไหนควร CU ตอนไหนควรเป็น Medium Shot และตอนไหนควรใช้ Wide Shot ทุกมุมกล้องของเค้ามันมีผลต่อการรับรู้ในรายละเอียดของหนังทั้งสิ้น รวมถึงการตัดต่อ และใช้ดนตรีประกอบด้วย ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะ และมีผลต่ออารมณ์ของหนัง เริ่มตั้งแต่ที่ไซลัสยังไร้ความรู้สึก อยู่ดีๆก็เริ่มมีความรู้สึก และเริ่มสังเกตความผิดปกติของนีอา จนทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน เรื่องนี้ผมว่าในแง่ของการถ่ายทอดอารมณ์ด้านภาพและเสียงมันโอเคมากๆ นักศึกษาสายภาพยนตร์หรือใครที่สนใจในงานสร้างภาพยนต์ควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมว่าเค้าวางจังหวะภาพและเสียงได้ลงตัวมากจริงๆ
และที่ชอบมากๆอีกอย่างคือนักแสดงครับ ทั้ง Kristen Stewart และ Nicholas Hoult ทำหน้าที่ได้ดีในทุกๆซีน การส่งสายตา การแสดงสีหน้า รวมถึง Body Language โดยรวมผมว่าเค้าทำได้ดีมาก และเค้าก็หล่อสวยกันมากเช่นกัน ใครเป็นแฟนหนังของสองคนนี้แนะนำให้ไปดูเป็นอย่างยิ่งเลยครับ ขนาดซีนที่ต้องทำหน้าตาให้ดูไม่ดีเช่นตอนร้องไห้ ด้วยมุมกล้อง ด้วยองค์ประกอบภาพ มันยังทำให้เค้าดูดีกันอยู่
สรุปนะครับ
ผมว่าเรื่องนี้ถ้ามองแง่การดำเนินเรื่องทั่วไป มันออกจะเรื่อยๆ เอื่อยๆไปซักหน่อย ความเป็นไซไฟของหนังมันไม่ได้อัดเอาวิวัฒนาการของโลกอนาคตที่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นมาให้เราเห็นเหมือนหนังไซไฟเรื่องอื่นๆ แต่มันพูดถึงโลกอนาคตอีกแบบนึงที่เอาเรื่องความไร้ความรู้สึกของคนมาเดินเรื่อง ซึ่งในหนังเค้าก็บอกนะครับว่าก่อนจะถึงยุคนั้นมันมีมหาสงครามที่ทำลายล้างโลก ผมถึงได้บอกว่าดูแล้วนึกถึงเพลง Imagine ของ John Lennon เพราะมนุษย์ยุคนั้นคงคิดว่าอยากได้โลกที่ปราศจากสงคราม จึงสร้างมนุษย์ให้ไร้อารมณ์และความรู้สึกออกมาเพื่อป้องกันการขัดแย้ง แต่ก็นั่นแหละ หนังมันดูเป็น Conceptual สูงมาก และเล่าเรื่องในแบบที่ถ้าเราชอบก็จะชอบไปเลย หรือถ้าไม่ชอบก็จะเบื่อ และอาจจะหลับไปเลย เพราะเนื้อเรื่องจริงๆมันก็คล้ายๆกับหนังรักทั่วๆไป แค่จับเอาพล็อตหนังรักที่โคตรธรรมดานั้นไปยัดใส่ในบริบทของโลกอนาคตเท่านั้นเอง แต่หนังมันจะเด่นในแง่ของงานถ่ายและการใช้เสียงประกอบ ผมว่าถึงหนังจะทำออกมาเป็นหนังที่ไม่มีบทพูดอะไรเลย เราก็น่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร และการใช้มุมกล้องและจังหวะการตัดต่อ รวมถึงเสียงประกอบมันทำหน้าที่เล่าเรื่องให้เรารับรู้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่มันอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบหนังรักทั่วไป ชอบความจิ้น ความฟินของพระเอกนางเอก เพราะถึงแม้ผมจะบอกว่ามัน Feel Good และ พระเอกนางเอกหล่อสวยกันมากก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ ด้วยสไตล์การดำเนินเรื่องที่ผมบอกไป มันออกจะน่าเบื่อในแง่ของเนื้อเรื่อง เพราะก็อย่างที่บอกครับ เนื้อเรื่องมันโคตรจะธรรมดาเลย ออกจะน้ำเน่านิดๆด้วยซ้ำ แต่ที่ผมชอบคือเค้าเอาความ Cliché ของเนื้อเรื่อง มาเล่นกับมุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงประกอบแบบนี้นี่แหละ มันทำให้หนังมันดูน่าสนใจมากสำหรับผม