E Q U A L S :: ในโลกที่ "ความรัก" เป็น "อาชญากรรม" [SPOIL]

เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมตั้งตารอดูมากครับเรื่องนี้ ด้วยพล็อตที่แปลก คือปกติหนังโรแมนติกไซไฟส่วนใหญ่ที่พูดถึงโลกอนาคต ก็จะเป็นโลกอนาคตที่มีหุ่นยนต์เป็นตัวละครหลัก แล้วอาจจะมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์มาก จนเกิดเป็นความรักระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ แต่เรื่องนี้วางพล็อตที่ต่างกันตรงที่ ทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เพราะโลกอนาคตของหนังเรื่องนี้เป็นโลกที่มนุษย์ไม่มีความรู้สึก โดยการตัดต่อพันธุกรรมตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก "ความรู้สึก" สำหรับโลกที่ชื่อว่า “The Collective” ในหนังนั้นเป็นเหมือน "เชื้อโรค" ชนิดนึงที่ใครเป็นแล้วต้องทำการรักษา ซึ่งเชื้อโรคชนิดนี้มีชื่อว่า SOS หรือ Switched on Syndrome โดยลักษณะของความรุนแรงของโรคก็จะคล้ายๆโรคมะเร็ง โรคเอดส์ ฯลฯ แบบที่เราเข้าใจในยุคปัจจุบัน คือทุกคนจะกลัวการเป็นโรคนี้ และโรคจะมีระดับความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็จะจบด้วยการฆ่าตัวตาย หรือถึงแม้ว่าจะไม่ฆ่าตัวตายด้วยตัวเอง ก็จะถูกส่งไปที่ THE DEN สถานที่ซึ่งทุกคนเข้าใจว่ามันคือสถานบำบัดรักษาโรค SOS แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือสถานที่ที่เตรียมไว้สำหรับการกำจัดผู้ที่เป็นโรคนี้ขั้นร้ายแรง โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยกล่อมให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตายไปเอง หรือหากว่าผู้ป่วยไม่ยอมฆ่าก็จะโดนช็อตไฟฟ้าหรือยิงเป้า(อันนี้ผมลืมนะครับว่าถ้าไม่ฆ่าตัวตายเองจะโดนอะไร แต่คุ้นๆว่าเป็นสองอย่างนี้ ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยครับ) เพราะโรคนี้มันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาด มีแต่ยาต้าน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคในขั้นรุนแรงจึงจะต้องถูกกำจัด เพราะยาต้านจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

และอีกสิ่งนึงที่ผมรู้สึกถึงตลอดเวลาจากการดูหนังเรื่องนี้คือเพลง Imagine ของ John Lennon แม้ว่าหนังจะไม่ได้ใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในหนัง แต่ผมรู้สึกได้จากการที่หนังพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งสีผิว ไม่มีการแบ่งชาติ ไม่มีการแบ่งศาสนา ไม่มีการแบ่งชนชั้น ไม่แบ่งอะไรเลย ทุกคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง และพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แม้แต่อาหาร หรือบ้าน ทุกคนยังได้รับเหมือนกัน(นอกจากเสื้อผ้าที่จะแตกต่างกันไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ) ซึ่งหากว่าจะทำให้ได้แบบนั้น โลกเราอาจจะต้องเป็นแบบ The Collective นั่นแหละ คือเราต้องไร้ความรู้สึกก่อน เพราะเมื่อเราเริ่มมีความรู้สึก เมื่อนั้นแหละจะเป็นช่วงที่เราเริ่มหาข้อเปรียบเทียบ เกิดความหวงแหน เกิดความโลภ และเกิดการขัดแย้งอันจะนำไปสู้ความวุ่นวายแบบเรา ในทุกวันนี้

ส่วนเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ผมขอเรียกมันว่าเป็นหนัง "Romeo and Juliet แห่งโลกอนาคต" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อีกเรื่องนึงที่ผมชอบมากๆในหนังคือการใช้มุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงดนตรีประกอบ ขอพูดเรื่องมุมกล้องก่อนนะครับ หนังเลือกใช้มุมกล้องส่วนใหญ่เป็นแบบ Close Up Shot(ต่อไปผมจะเขียนว่า CU Shot นะครับ) ซึ่งปกติเวลาผมดูหนังที่ใช้ CU Shot เยอะๆแบบนี้ผมจะอึดอัด และจะรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะการ CU ของเค้ามันดูมีเหตุมีผล เพราะหนังเรื่องนี้มันพูดเรื่องของการแสดงอารมณ์ และการปกปิดอารมณ์ ดังนั้นการ CU เพื่อให้เห็นการแสดงอารมณ์ของตัวละครไม่ว่าจะเป็นที่หน้า หรือส่วนอื่นๆของร่างกาย มันมีความจำเป็นมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าการใช้มุมกล้องของเค้าฉลาดมาก เค้ารู้ว่าตอนไหนควร CU ตอนไหนควรเป็น Medium Shot และตอนไหนควรใช้ Wide Shot ทุกมุมกล้องของเค้ามันมีผลต่อการรับรู้ในรายละเอียดของหนังทั้งสิ้น รวมถึงการตัดต่อ และใช้ดนตรีประกอบด้วย ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเหมาะเจาะ และมีผลต่ออารมณ์ของหนัง เริ่มตั้งแต่ที่ไซลัสยังไร้ความรู้สึก อยู่ดีๆก็เริ่มมีความรู้สึก และเริ่มสังเกตความผิดปกติของนีอา จนทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน เรื่องนี้ผมว่าในแง่ของการถ่ายทอดอารมณ์ด้านภาพและเสียงมันโอเคมากๆ นักศึกษาสายภาพยนตร์หรือใครที่สนใจในงานสร้างภาพยนต์ควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมว่าเค้าวางจังหวะภาพและเสียงได้ลงตัวมากจริงๆ

และที่ชอบมากๆอีกอย่างคือนักแสดงครับ ทั้ง Kristen Stewart และ Nicholas Hoult ทำหน้าที่ได้ดีในทุกๆซีน การส่งสายตา การแสดงสีหน้า รวมถึง Body Language โดยรวมผมว่าเค้าทำได้ดีมาก และเค้าก็หล่อสวยกันมากเช่นกัน ใครเป็นแฟนหนังของสองคนนี้แนะนำให้ไปดูเป็นอย่างยิ่งเลยครับ ขนาดซีนที่ต้องทำหน้าตาให้ดูไม่ดีเช่นตอนร้องไห้ ด้วยมุมกล้อง ด้วยองค์ประกอบภาพ มันยังทำให้เค้าดูดีกันอยู่



สรุปนะครับ
ผมว่าเรื่องนี้ถ้ามองแง่การดำเนินเรื่องทั่วไป มันออกจะเรื่อยๆ เอื่อยๆไปซักหน่อย ความเป็นไซไฟของหนังมันไม่ได้อัดเอาวิวัฒนาการของโลกอนาคตที่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นมาให้เราเห็นเหมือนหนังไซไฟเรื่องอื่นๆ แต่มันพูดถึงโลกอนาคตอีกแบบนึงที่เอาเรื่องความไร้ความรู้สึกของคนมาเดินเรื่อง ซึ่งในหนังเค้าก็บอกนะครับว่าก่อนจะถึงยุคนั้นมันมีมหาสงครามที่ทำลายล้างโลก ผมถึงได้บอกว่าดูแล้วนึกถึงเพลง Imagine ของ John Lennon เพราะมนุษย์ยุคนั้นคงคิดว่าอยากได้โลกที่ปราศจากสงคราม จึงสร้างมนุษย์ให้ไร้อารมณ์และความรู้สึกออกมาเพื่อป้องกันการขัดแย้ง แต่ก็นั่นแหละ หนังมันดูเป็น Conceptual สูงมาก และเล่าเรื่องในแบบที่ถ้าเราชอบก็จะชอบไปเลย หรือถ้าไม่ชอบก็จะเบื่อ และอาจจะหลับไปเลย เพราะเนื้อเรื่องจริงๆมันก็คล้ายๆกับหนังรักทั่วๆไป แค่จับเอาพล็อตหนังรักที่โคตรธรรมดานั้นไปยัดใส่ในบริบทของโลกอนาคตเท่านั้นเอง แต่หนังมันจะเด่นในแง่ของงานถ่ายและการใช้เสียงประกอบ ผมว่าถึงหนังจะทำออกมาเป็นหนังที่ไม่มีบทพูดอะไรเลย เราก็น่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก เพราะเนื้อเรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร และการใช้มุมกล้องและจังหวะการตัดต่อ รวมถึงเสียงประกอบมันทำหน้าที่เล่าเรื่องให้เรารับรู้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่มันอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบหนังรักทั่วไป ชอบความจิ้น ความฟินของพระเอกนางเอก เพราะถึงแม้ผมจะบอกว่ามัน Feel Good และ พระเอกนางเอกหล่อสวยกันมากก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ ด้วยสไตล์การดำเนินเรื่องที่ผมบอกไป มันออกจะน่าเบื่อในแง่ของเนื้อเรื่อง เพราะก็อย่างที่บอกครับ เนื้อเรื่องมันโคตรจะธรรมดาเลย ออกจะน้ำเน่านิดๆด้วยซ้ำ แต่ที่ผมชอบคือเค้าเอาความ Cliché ของเนื้อเรื่อง มาเล่นกับมุมกล้อง การตัดต่อ และเสียงประกอบแบบนี้นี่แหละ มันทำให้หนังมันดูน่าสนใจมากสำหรับผม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่