อ้างอิง
http://www.naewna.com/columnonline/17309
วันพฤหัสบดี ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
------------
ลัทธิอันตรายสำนักธรรมกาย ทุนนิยมในคราบพุทธศาสนา?
พฤติกรรมแนวคิดของสำนักพระธรรมกายตลอดช่วงที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่า
บิดเบือนจากหลักธรรมคำสอนของพุทธเจ้าไม่ต่างอะไรจากทุนนิยมในคราบพุทธศาสนา
หนึ่งในบุคคลที่จะวิพากษ์สำนักธรรมกายได้อย่างลึกซึ้งดีที่สุดก็คือ
พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก 1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย
อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสและเหรัญญิกวัด วิพากษ์ว่าเทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายคือ
พยายามบอกบุญหรือเรี่ยไรในรูปของธุรกิจ มากกว่าการสร้างศรัทธาให้คนทำบุญด้วยจิตใจ ไม่ใช่การบอกบุญธรรมดา
แต่เป็นการพยายามเซ้าซี้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเกรงใจ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ถ้าเขาไม่มีเงินก็ทำให้เกิดความงมงายโดยการให้ไปกู้เงินมาทำบุญและเร้าให้คนทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน
ยิ่งบุญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ขึ้นสวรรค์
นอกจากนี้การที่ออกมาพูดว่าเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้าได้นั้นเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อยกย่องสร้าง
สัญญลักษณธัมมชโยว่าเป็นผู้วิเศษ และพยายามโน้มโน้มให้ผู้คนศรัทธาว่า
ตัวเองเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สามารถทำอะไรก็ได้
ซึ่งขัดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและผิดหลักพุทธศาสนาซึ่งถือเป็นการเผยแพร่แนวคิดในทางที่ผิด
ขณะที่ ดร.น.พ.มโน เลาหวณิช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบวชที่วัดธรรมกาย โดยปัจจุบันเป็นกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้อง
พิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ชี้ว่า
“วัดธรรมกายขณะนี้ทำให้มาตรฐานของพระธรรมวินัยหมดไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมหาเถรสมาคมออกมาอุ้มพระธัมมชโย
แล้วก็คดีความต่างๆ ที่บอกว่าคืนทรัพย์สินแล้วไม่ปาราชิก มันสวนทางกับพระธรรมวินัยทั้งหมดเลย
และวัดธรรมกายเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากล้นฟ้าเลยทีเดียวสามารถเอาอำนาจตัวเองไปใช้อะไรต่างๆ ก็ได้ แต่มันไม่ได้ใช้ในทางที่ดี
เอาไปใช้โดยบอกว่าพัฒนาศีลธรรมโลก แต่ตัวเองโกงชาวบ้านเขา มันเหมือนกับหน้าเนื้อใจเสือ
คนได้รับความทุกข์ทรมานจากวัดเยอะแยะ ครอบครัวแตกแยกเป็นหมื่นครอบครัว มีการปั่นศรัทธาคนทำบุญกันอย่างบ้าคลั่ง
ทำบุญโดยการดูดเอาเงิน ดูดทรัพย์เข้ามาอย่างมโหฬาร“
ดร.น.พ.มโน ยังกล่าวถึงคดียักยอกทรัพย์สินวัดธรรมกายของ ธัมมชโย ว่า
“ที่สมเด็จพระสังฆราชออกมาชี้ว่าปาราชิกเพราะหลักฐานชัดเจนว่าเอาเงินวัดไปเป็นพันล้าน ไปซื้อที่กว่าจะคืนก็นาน
คืนเสร็จก็บอกว่าไม่ผิด อันนี้มันผิดทั้งหลักการ กฏหมาย หลักธรรมวินัย
ท่านมีเงินเยอะ มีพระผู้ใหญ่เข้าข้างมากมาย ทางลิขิตถือว่าท่านปาราชิกแล้วเป็นปี แต่ก็ยังมีพระพวกถืออำนาจอยู่
จนกระทั่งสามารถจะเป็นใหญ่ต่อไปได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ความละอายไม่มี“
ส่วนเรื่องคำสอนที่บิดเบือนที่ผิดเพี้ยนของลัทธิธรรมกายนั้น ดร.น.พ.มโน ชี้ว่า
“มันบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาไปมาก อย่างการเกิดขึ้นของพระต้นธาตุต้นธรรม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ท่าน(ธัมมชโย)ก็ต้องรู้ตัวท่านเองดีว่าท่านไม่ใช่ต้นธาตุ
แล้วท่านยังมาทำอุตริมนุสธรรมที่เกินคนธรรมดา พยากรณ์ด้วยญาณทัสสนะ อันนี้มันผิดอยู่แล้ว“
สำหรับแนวคิดความเป็นธุรกิจทุนนิยมของวัดพระธรรมกาย ดร.น.พ.มโน วิพากษ์ว่า
“นี่มันเป็นยุคกองทุน มันไม่ใช่ธรรมมะยุคพระศรีอาริย์ ธรรมมะยุคเงินเป็นใหญ่ ทุนนิยมครอบครองประเทศไทยไปหมดแล้ว
พระสงฆ์องค์เจ้าตอนนี้ก็แข่งกันรวย พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า การเป็นพระต้องสละเงินทอง สมบัติส่วนตัว ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นอาบัติ
ทว่าพระปัจจุบันบิดเบือนคำสอนทำให้ศาสนาไม่เหลืออะไรเลย เหลือเพียงแต่คนนุ่งเหลืองที่หลอกลวงชาวบ้าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทรัพย์สมบัติมันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เงินต้องสละเรียกว่า นิสสัคคีย์ เงินเหมือนอสรพิษ
แต่ปัจจุบันพระไทยอยากมีอรสรพิษกันเยอะ พกอสรพิษกันเต็มย่ามเลย มีธุรกิจอุตสาหกรรมพระเครื่องอีกต่างหาก
บิดเบือนคำสอนเอาดีเข้าตัว ทำยังไงจะได้เงิน ศาสนามันไม่เหลืออะไรตอนนี้เหลือแค่การทำมาหากินเป็นอาชีพหนึ่งของ
คนนุ่งเหลืองหลอกลวงชาวบ้าน“
ดร.น.พ.มโน ยังเปิดเผยว่าเมื่อครั้งบวชอยู่ที่วัดธรรมกาย เคยเตือน ธัมมชโย เรื่องการนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจต่างๆ ว่า
“ผมเคยเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอเพราะไม่ใช่พุทธแล้ว
นี่คือธุรกิจของธัมมชโยเพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”
พร้อมกันกันนั้น ดร.น.พ.มโน ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไปยังพุทธศาสนิกชนให้ตี่น เลิกงมงาย โดยต้องแยกแยะสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร
ของพุทธศาสนา โดยพระที่ดีต้องไม่มีเงิน ไม่ขับรถเบนซ์หรู ซื้อรถหรู สะสมรถหายาก ซื้อรถหนีภาษี พระที่มีเงินไม่เรียกว่าพระ
แต่เรียกว่านักธุรกิจ ซึ่งคนไทยยังนิยมชอบพระหมอดู พระผู้วิเศษ โดยไม่ศึกษาแก่นสารในหลักธรรมเพื่อมาพัฒนาตัวเอง
นอกจากนี้จากผลงานวิจัยในวิทยานิพนธ์ของ ท่าน
ว.วชิรเมธี ในหัวข้อ
”บทบาทในการรักษาพระธรรมวินัยของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) : ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย”
เมื่อครั้งศึกษาหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อปี 2546
ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัดพระธรรมกายทำให้พระธรรมวินัยวิปริต ยกเรื่องการทำบุญมาเป็นสินค้า นำเอาลัทธิทุนนิยมมาผสมผสาน
กับการบริหารจัดการวัด ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการของวัดจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทย
และหากวัดพระธรรมกายกระทำการเผยแผ่และยึดครองได้สำเร็จตามความมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ จะส่งผลให้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
ในประเทศไทยต้องสูญสิ้นได้
ก่อนหน้านี้หลายปีมาแล้ว
พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) เคยแสดงความห่วงใยเอาไว้ว่า
ปัญหาพระธรรมกายร้ายแรงถึงขั้นอาจทำให้พุทธศาสนาดั้งเดิมที่รักษากันมานับพันปีอาจถึงคราวสูญสิ้นลงให้ประวัติศาสตร์ได้
จากรึกในคราวนี้ โดยความร้ายแรงของปัญหากรณีธรรมกายแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่ง ส่งผลกระทบต่อธรรมวินัยโดยตรง
และส่วนที่สอง ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันสงฆ์และต่อสังคมไทย อันเกิดจากการเผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อน
ไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ อาทิ
1. สอนคำว่านิพพานเป็นอัตตา
2. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพมิติและให้มีธรรมกายที่เป็นตัวตน เป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์
ไปรวมอยู่ในอายตนนิพพาน
3. สอนเรื่องอายตนนิพพานที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ
ที่จะนำข้าวไปบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น ซึ่งคำสอนเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้นวัดพระธรรมกายยังเผยแพร่เอกสารที่จาบจ้วงพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฏกบาลี
ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท อาทิ ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฏกบาลีบันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง
เชื่อถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้
ทั้งหมดเป็นแค่ตัวอย่างอันตรายของลัทธิธรรมกาที่ส่อพฤติการณ์เป็นภัยร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนา และสังคม
ยังไม่พูดถึงเบื้องหลังทางการเมืองของลัทธิธรรมกายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงและระบอบการปกครองของประเทศในระยะยาว
###ลัทธิอันตรายสำนักธรรมกาย ทุนนิยมในคราบพุทธศาสนา?###
http://www.naewna.com/columnonline/17309
วันพฤหัสบดี ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
------------
ลัทธิอันตรายสำนักธรรมกาย ทุนนิยมในคราบพุทธศาสนา?
พฤติกรรมแนวคิดของสำนักพระธรรมกายตลอดช่วงที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่า
บิดเบือนจากหลักธรรมคำสอนของพุทธเจ้าไม่ต่างอะไรจากทุนนิยมในคราบพุทธศาสนา
หนึ่งในบุคคลที่จะวิพากษ์สำนักธรรมกายได้อย่างลึกซึ้งดีที่สุดก็คือ พระอดิศักดิ์ วิริยะสักโก 1 ใน 3 ผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกาย
อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสและเหรัญญิกวัด วิพากษ์ว่าเทคนิคการสอนของวัดพระธรรมกายคือ
พยายามบอกบุญหรือเรี่ยไรในรูปของธุรกิจ มากกว่าการสร้างศรัทธาให้คนทำบุญด้วยจิตใจ ไม่ใช่การบอกบุญธรรมดา
แต่เป็นการพยายามเซ้าซี้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเกรงใจ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ถ้าเขาไม่มีเงินก็ทำให้เกิดความงมงายโดยการให้ไปกู้เงินมาทำบุญและเร้าให้คนทำบุญเพื่อแลกกับนิพพาน
ยิ่งบุญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ขึ้นสวรรค์
นอกจากนี้การที่ออกมาพูดว่าเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสามารถสื่อสารกับพระพุทธเจ้าได้นั้นเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อยกย่องสร้าง
สัญญลักษณธัมมชโยว่าเป็นผู้วิเศษ และพยายามโน้มโน้มให้ผู้คนศรัทธาว่า ตัวเองเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สามารถทำอะไรก็ได้
ซึ่งขัดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและผิดหลักพุทธศาสนาซึ่งถือเป็นการเผยแพร่แนวคิดในทางที่ผิด
ขณะที่ ดร.น.พ.มโน เลาหวณิช ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบวชที่วัดธรรมกาย โดยปัจจุบันเป็นกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้อง
พิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ชี้ว่า
“วัดธรรมกายขณะนี้ทำให้มาตรฐานของพระธรรมวินัยหมดไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมหาเถรสมาคมออกมาอุ้มพระธัมมชโย
แล้วก็คดีความต่างๆ ที่บอกว่าคืนทรัพย์สินแล้วไม่ปาราชิก มันสวนทางกับพระธรรมวินัยทั้งหมดเลย
และวัดธรรมกายเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากล้นฟ้าเลยทีเดียวสามารถเอาอำนาจตัวเองไปใช้อะไรต่างๆ ก็ได้ แต่มันไม่ได้ใช้ในทางที่ดี
เอาไปใช้โดยบอกว่าพัฒนาศีลธรรมโลก แต่ตัวเองโกงชาวบ้านเขา มันเหมือนกับหน้าเนื้อใจเสือ
คนได้รับความทุกข์ทรมานจากวัดเยอะแยะ ครอบครัวแตกแยกเป็นหมื่นครอบครัว มีการปั่นศรัทธาคนทำบุญกันอย่างบ้าคลั่ง
ทำบุญโดยการดูดเอาเงิน ดูดทรัพย์เข้ามาอย่างมโหฬาร“
ดร.น.พ.มโน ยังกล่าวถึงคดียักยอกทรัพย์สินวัดธรรมกายของ ธัมมชโย ว่า
“ที่สมเด็จพระสังฆราชออกมาชี้ว่าปาราชิกเพราะหลักฐานชัดเจนว่าเอาเงินวัดไปเป็นพันล้าน ไปซื้อที่กว่าจะคืนก็นาน
คืนเสร็จก็บอกว่าไม่ผิด อันนี้มันผิดทั้งหลักการ กฏหมาย หลักธรรมวินัย
ท่านมีเงินเยอะ มีพระผู้ใหญ่เข้าข้างมากมาย ทางลิขิตถือว่าท่านปาราชิกแล้วเป็นปี แต่ก็ยังมีพระพวกถืออำนาจอยู่
จนกระทั่งสามารถจะเป็นใหญ่ต่อไปได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ความละอายไม่มี“
ส่วนเรื่องคำสอนที่บิดเบือนที่ผิดเพี้ยนของลัทธิธรรมกายนั้น ดร.น.พ.มโน ชี้ว่า
“มันบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาไปมาก อย่างการเกิดขึ้นของพระต้นธาตุต้นธรรม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ท่าน(ธัมมชโย)ก็ต้องรู้ตัวท่านเองดีว่าท่านไม่ใช่ต้นธาตุ
แล้วท่านยังมาทำอุตริมนุสธรรมที่เกินคนธรรมดา พยากรณ์ด้วยญาณทัสสนะ อันนี้มันผิดอยู่แล้ว“
สำหรับแนวคิดความเป็นธุรกิจทุนนิยมของวัดพระธรรมกาย ดร.น.พ.มโน วิพากษ์ว่า
“นี่มันเป็นยุคกองทุน มันไม่ใช่ธรรมมะยุคพระศรีอาริย์ ธรรมมะยุคเงินเป็นใหญ่ ทุนนิยมครอบครองประเทศไทยไปหมดแล้ว
พระสงฆ์องค์เจ้าตอนนี้ก็แข่งกันรวย พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า การเป็นพระต้องสละเงินทอง สมบัติส่วนตัว ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นอาบัติ
ทว่าพระปัจจุบันบิดเบือนคำสอนทำให้ศาสนาไม่เหลืออะไรเลย เหลือเพียงแต่คนนุ่งเหลืองที่หลอกลวงชาวบ้าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่าทรัพย์สมบัติมันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เงินต้องสละเรียกว่า นิสสัคคีย์ เงินเหมือนอสรพิษ
แต่ปัจจุบันพระไทยอยากมีอรสรพิษกันเยอะ พกอสรพิษกันเต็มย่ามเลย มีธุรกิจอุตสาหกรรมพระเครื่องอีกต่างหาก
บิดเบือนคำสอนเอาดีเข้าตัว ทำยังไงจะได้เงิน ศาสนามันไม่เหลืออะไรตอนนี้เหลือแค่การทำมาหากินเป็นอาชีพหนึ่งของ
คนนุ่งเหลืองหลอกลวงชาวบ้าน“
ดร.น.พ.มโน ยังเปิดเผยว่าเมื่อครั้งบวชอยู่ที่วัดธรรมกาย เคยเตือน ธัมมชโย เรื่องการนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจต่างๆ ว่า
“ผมเคยเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอเพราะไม่ใช่พุทธแล้ว
นี่คือธุรกิจของธัมมชโยเพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”
พร้อมกันกันนั้น ดร.น.พ.มโน ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไปยังพุทธศาสนิกชนให้ตี่น เลิกงมงาย โดยต้องแยกแยะสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร
ของพุทธศาสนา โดยพระที่ดีต้องไม่มีเงิน ไม่ขับรถเบนซ์หรู ซื้อรถหรู สะสมรถหายาก ซื้อรถหนีภาษี พระที่มีเงินไม่เรียกว่าพระ
แต่เรียกว่านักธุรกิจ ซึ่งคนไทยยังนิยมชอบพระหมอดู พระผู้วิเศษ โดยไม่ศึกษาแก่นสารในหลักธรรมเพื่อมาพัฒนาตัวเอง
นอกจากนี้จากผลงานวิจัยในวิทยานิพนธ์ของ ท่าน ว.วชิรเมธี ในหัวข้อ
”บทบาทในการรักษาพระธรรมวินัยของพระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) : ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย”
เมื่อครั้งศึกษาหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อปี 2546
ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัดพระธรรมกายทำให้พระธรรมวินัยวิปริต ยกเรื่องการทำบุญมาเป็นสินค้า นำเอาลัทธิทุนนิยมมาผสมผสาน
กับการบริหารจัดการวัด ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดที่ดำเนินการของวัดจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทย
และหากวัดพระธรรมกายกระทำการเผยแผ่และยึดครองได้สำเร็จตามความมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ จะส่งผลให้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
ในประเทศไทยต้องสูญสิ้นได้
ก่อนหน้านี้หลายปีมาแล้ว พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) เคยแสดงความห่วงใยเอาไว้ว่า
ปัญหาพระธรรมกายร้ายแรงถึงขั้นอาจทำให้พุทธศาสนาดั้งเดิมที่รักษากันมานับพันปีอาจถึงคราวสูญสิ้นลงให้ประวัติศาสตร์ได้
จากรึกในคราวนี้ โดยความร้ายแรงของปัญหากรณีธรรมกายแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่ง ส่งผลกระทบต่อธรรมวินัยโดยตรง
และส่วนที่สอง ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันสงฆ์และต่อสังคมไทย อันเกิดจากการเผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อน
ไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ อาทิ
1. สอนคำว่านิพพานเป็นอัตตา
2. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพมิติและให้มีธรรมกายที่เป็นตัวตน เป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์
ไปรวมอยู่ในอายตนนิพพาน
3. สอนเรื่องอายตนนิพพานที่ปรุงถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ
ที่จะนำข้าวไปบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น ซึ่งคำสอนเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้นวัดพระธรรมกายยังเผยแพร่เอกสารที่จาบจ้วงพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฏกบาลี
ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท อาทิ ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฏกบาลีบันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง
เชื่อถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้
ทั้งหมดเป็นแค่ตัวอย่างอันตรายของลัทธิธรรมกาที่ส่อพฤติการณ์เป็นภัยร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนา และสังคม
ยังไม่พูดถึงเบื้องหลังทางการเมืองของลัทธิธรรมกายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงและระบอบการปกครองของประเทศในระยะยาว