สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ดีๆ เรื่องบริจาค stemcell (เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต) ให้ได้ฟังกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่าผมเคยลงทะเบียนบริจาค stemcell ที่สภากาชาดเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าสภากาชาดจะโทรมาบอกว่า stemcell ของเราจะตรงกับของผู้ป่วยซักที เพราะอัตราส่วนที่ stemcell จะตรงกันนั้นอยู่ที่ 1 : 50,000 คน จึงทำให้ในหนึ่งปีมีผู้บริจาค stemcell ได้เพียง 20 - 30 คนเท่านั้น
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 เจ้าหน้าที่ศูนย์ stemcell ของสภากาชาดได้โทรมาแจ้งว่า stemcell ของผมตรงกับผู้ป่วยพอดี ถ้าผมยังสนใจจะบริจาค stemcell ก็จะนัดวันมาตรวจเลือดอย่างละเอียดอีกครั้ง
วันที่ 22 มิถุนายน 2558 ผมก็เลยไปที่สภากาชาดเพื่อทำการตรวจเลือดอย่างละเอียด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำผลเลือดตรงนี้ไปให้แพทย์เจ้าของคนป่วยดูว่ามันตรงกันหรือไม่ เลือดเราใช้ได้หรือเปล่า และต้องดูสุขภาพของผู้ป่วยด้วยว่าพร้อมที่จะรับ stemcell ของเราไหม ซึ่งระยะเวลาตรงนี้นานประมาณ 3 - 4 เดือน
ผมก็รออย่างใจจดใจจ่อจนเกือบๆ สิ้นปี 2558 เจ้าหน้าที่สภากาชาดก็ยังไม่ติดต่อมา ผมก็คิดว่าสงสัยเลือดผมคงใช้ไม่ได้ หรือมันคงไม่แม๊ตซ์กับผู้ป่วยจริงๆ ผมจึงเลิกหวังและไปบริจาคเลือดตามปกติแทน
จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม 2559 ทางสภากาชาดโทรมาบอกว่า stemcells ที่ผมเคยลงทะเบียนบริจาคไว้ และที่ได้มีการตรวจเลือดอย่างละเอียดเมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ทางคุณหมอแจ้งทางสภากาชาดว่าขอให้ผมไปบริจาค stem cells ให้กับผู้ป่วยได้แล้ว
ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ก็คือไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งที่ ร.พ.ศิริราช ในวันที่ 20 เมษายน 2559 (ลางานทั้งวันอีกแล้ว) ซึ่งตรวจบะเอียดจริงๆครับ ตรวจเลือด ปัสสาวะ x-ray ปอด วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
จากนั้นก็ไปตรวจเลือดเพื่อตรวจเรื่องโรคจิดต่อทางเลือดครั้งสุดท้ายวันที่ 1 พฤษภาคม 2559
และต้องฉีดยากระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว กับ stemcell ล่วงหน้าติดต่อกัน 4 วันก่อนวันบริจาค side effect ของตัวยาคือ เวียนหัว ปวดตามเนื้อตามตัว ปวดในกระดูก ที่พีคที่สุดคือวันที่สามที่ผมฉีดหัวใจเต้นเร็วปนะมาณ 100 - 120 และเวลาใจเต้นเร็วมันจะปวดที่กระดูกสันหลังช่วงล่างมากๆครับ
ทางสภากาชาดได้นัดให้มาบริจาค stemcell ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 แต่ต้องแอดมิทล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน เพื่อผ่าตัดฝังสายไว้ที่เส้นเลือดดำตรงคอ เพื่อดูดเลือดไปปั่นในเครื่อง และส่งกลับมาที่ตัวเรา (ตอนทำเส้นนี่ทรมานมากครับ คอมันจะปวดๆ ตึงๆ หน่วงๆ นอนก็นอนลำบาก)
ในวันบริจาค ก็ไม่มีอะไรมาก นั่งนิ่ง 4 ชั่วโมงให้เค้าเจาะคอดูด stemcell ออก แต่ต้องระวังตรงที่ระหว่างบนิจาค stemcell มันจะมีสารกันเลือดแข็งตัวไหลกลับเข้าร่างกายผ่านเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดสภาวะแคลเซียมต่ำเฉียบพลัน มีอาการคือปากชา ปลายมือเท้าชา จนเกิดอาการมือเท้าเกร็งได้ ซึ่งสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ฉีดยาเพิ่มแคลเซียมเข้าเส้นเลือดระหว่างบริจาค stemcell
บริจาคเสร็จ ช่วงบ่ายก็รอผลว่าจำนวน stemcell ของเราเพียงพอตามทีาผู้ป่วยต้องการไหม ถ้าพอ วันต่อมาก็กลับบ้านได้เลย แต่ถ้าไม่พอก็ต้องบริจาคต่ออีกหนึ่งวัน
ทางฝั่งผู้ป่วยเค้าขอ stemcell แค่ 5.5 ล้านยูนิท แต่ผลบริจาคออกมาพบว่าได้ 9.3 ล้านยูนิท ผมแถมให้เค้าอีก 3.8 ล้านยูนิทแหน่ะ 555+ ผมคิดว่ามันคุ้มค่าจริงๆ กับ side effect ที่ปวดตรงนั้น เจ็บตรงนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างฉีดยากระตุ้น stemcell ในช่วง 4 วันที่ผ่านมา
อ้อ ผมลืมบอกว่าเราจะไม่รู้เลยว่าผู้รับบริจาค stemcell ของเราเป็นใคร รู้แค่ว่าอยู่ที่ อายุเท่าไหร่ ป่วยด้วยโรคอะไรก็เท่านั้นเอง อย่างกรณีของผมเป็นคุณป้าป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อยู่ที่ประเทศออสเตรเลียครับ
edit .... ลบอายุของผู้ป่วยออกนะครับ ขอบคุณครับ
ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มีโอกาสบริจาค stemcell ให้ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่เราไม่เคยรู้จักกัน
เรื่องมันมีอยู่ว่าผมเคยลงทะเบียนบริจาค stemcell ที่สภากาชาดเมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าสภากาชาดจะโทรมาบอกว่า stemcell ของเราจะตรงกับของผู้ป่วยซักที เพราะอัตราส่วนที่ stemcell จะตรงกันนั้นอยู่ที่ 1 : 50,000 คน จึงทำให้ในหนึ่งปีมีผู้บริจาค stemcell ได้เพียง 20 - 30 คนเท่านั้น
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 เจ้าหน้าที่ศูนย์ stemcell ของสภากาชาดได้โทรมาแจ้งว่า stemcell ของผมตรงกับผู้ป่วยพอดี ถ้าผมยังสนใจจะบริจาค stemcell ก็จะนัดวันมาตรวจเลือดอย่างละเอียดอีกครั้ง
วันที่ 22 มิถุนายน 2558 ผมก็เลยไปที่สภากาชาดเพื่อทำการตรวจเลือดอย่างละเอียด ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำผลเลือดตรงนี้ไปให้แพทย์เจ้าของคนป่วยดูว่ามันตรงกันหรือไม่ เลือดเราใช้ได้หรือเปล่า และต้องดูสุขภาพของผู้ป่วยด้วยว่าพร้อมที่จะรับ stemcell ของเราไหม ซึ่งระยะเวลาตรงนี้นานประมาณ 3 - 4 เดือน
ผมก็รออย่างใจจดใจจ่อจนเกือบๆ สิ้นปี 2558 เจ้าหน้าที่สภากาชาดก็ยังไม่ติดต่อมา ผมก็คิดว่าสงสัยเลือดผมคงใช้ไม่ได้ หรือมันคงไม่แม๊ตซ์กับผู้ป่วยจริงๆ ผมจึงเลิกหวังและไปบริจาคเลือดตามปกติแทน
จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม 2559 ทางสภากาชาดโทรมาบอกว่า stemcells ที่ผมเคยลงทะเบียนบริจาคไว้ และที่ได้มีการตรวจเลือดอย่างละเอียดเมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ทางคุณหมอแจ้งทางสภากาชาดว่าขอให้ผมไปบริจาค stem cells ให้กับผู้ป่วยได้แล้ว
ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ก็คือไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งที่ ร.พ.ศิริราช ในวันที่ 20 เมษายน 2559 (ลางานทั้งวันอีกแล้ว) ซึ่งตรวจบะเอียดจริงๆครับ ตรวจเลือด ปัสสาวะ x-ray ปอด วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
จากนั้นก็ไปตรวจเลือดเพื่อตรวจเรื่องโรคจิดต่อทางเลือดครั้งสุดท้ายวันที่ 1 พฤษภาคม 2559
และต้องฉีดยากระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว กับ stemcell ล่วงหน้าติดต่อกัน 4 วันก่อนวันบริจาค side effect ของตัวยาคือ เวียนหัว ปวดตามเนื้อตามตัว ปวดในกระดูก ที่พีคที่สุดคือวันที่สามที่ผมฉีดหัวใจเต้นเร็วปนะมาณ 100 - 120 และเวลาใจเต้นเร็วมันจะปวดที่กระดูกสันหลังช่วงล่างมากๆครับ
ทางสภากาชาดได้นัดให้มาบริจาค stemcell ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 แต่ต้องแอดมิทล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน เพื่อผ่าตัดฝังสายไว้ที่เส้นเลือดดำตรงคอ เพื่อดูดเลือดไปปั่นในเครื่อง และส่งกลับมาที่ตัวเรา (ตอนทำเส้นนี่ทรมานมากครับ คอมันจะปวดๆ ตึงๆ หน่วงๆ นอนก็นอนลำบาก)
ในวันบริจาค ก็ไม่มีอะไรมาก นั่งนิ่ง 4 ชั่วโมงให้เค้าเจาะคอดูด stemcell ออก แต่ต้องระวังตรงที่ระหว่างบนิจาค stemcell มันจะมีสารกันเลือดแข็งตัวไหลกลับเข้าร่างกายผ่านเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดสภาวะแคลเซียมต่ำเฉียบพลัน มีอาการคือปากชา ปลายมือเท้าชา จนเกิดอาการมือเท้าเกร็งได้ ซึ่งสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ฉีดยาเพิ่มแคลเซียมเข้าเส้นเลือดระหว่างบริจาค stemcell
บริจาคเสร็จ ช่วงบ่ายก็รอผลว่าจำนวน stemcell ของเราเพียงพอตามทีาผู้ป่วยต้องการไหม ถ้าพอ วันต่อมาก็กลับบ้านได้เลย แต่ถ้าไม่พอก็ต้องบริจาคต่ออีกหนึ่งวัน
ทางฝั่งผู้ป่วยเค้าขอ stemcell แค่ 5.5 ล้านยูนิท แต่ผลบริจาคออกมาพบว่าได้ 9.3 ล้านยูนิท ผมแถมให้เค้าอีก 3.8 ล้านยูนิทแหน่ะ 555+ ผมคิดว่ามันคุ้มค่าจริงๆ กับ side effect ที่ปวดตรงนั้น เจ็บตรงนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างฉีดยากระตุ้น stemcell ในช่วง 4 วันที่ผ่านมา
อ้อ ผมลืมบอกว่าเราจะไม่รู้เลยว่าผู้รับบริจาค stemcell ของเราเป็นใคร รู้แค่ว่าอยู่ที่ อายุเท่าไหร่ ป่วยด้วยโรคอะไรก็เท่านั้นเอง อย่างกรณีของผมเป็นคุณป้าป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อยู่ที่ประเทศออสเตรเลียครับ
edit .... ลบอายุของผู้ป่วยออกนะครับ ขอบคุณครับ