งูยักษ์ในถ้ำมืด
“ไม่มีอะไรหรอกน่าา”ผมบอกกับตัวเองขณะที่มองต่ำลงไปยัง ปากทางเข้าถ้ำที่โอ่งอ่าแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นถ้ำใต้ภูเขาลูกใหญ่ที่เกิดจากธรรมชาติและเพิ่งถูกค้นพบเมื่อสามสิบปีก่อน ลักษณะถ้ำเป็นเหมือนอุโมงค์ยาว กว้างประมาณ 6 เมตร ที่มีสายน้ำเล็กๆไหลทะลุผ่านตามร่องเหวลึก การเดินทะลุไปอีกฝั่งต้องปีนไต่ตามผนังเหนือผิวน้ำประมาณ 5 เมตร เส้นทางจะคดเคี้ยวและมืดมากอันตรายมาก ซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างทางเดินปูซีเมนซ์แคบๆและราวเหล็กแท่งเล็กๆ มีหลอดไฟบ้างเป็นบางจุดในระดับเหนือหัวแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กหรือคนชรา
ตัวผมเองเดินเข้าออกถ้ำแห่งนี้มาหลายครั้งตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าเข้ามากับแม่หรือกับพระอาจารย์ รู้จักถ้ำแห่งนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะดูน่ากลัวแค่ไหนก็ไม่น่ากังวลเพราะมักจะมากันเป็นกลุ่มตลอด ครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อนในขณะที่ผมบวชเป็นพระ
ครั้นเมื่อมีโอกาศได้มาแถวๆนี้(ต่างจังหวัด) จึงถือโอกาศกลับมาเดินเล่นเอาบรรยากาศสนุกๆสมัยเด็กๆแม้จะมาคนเดียว(ครั้งแรก)ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีหลอดไฟสว่างอยู่ภายในถ้ำ อุปกรณ์อย่างเดียวที่มีติดตัวคือ “ไฟฉาย” เก่าๆ แสงแดดเข้ามาได้ไกลสุดแค่นี้หลังจากที่ก้าวเท้าลงบันได้ขั้นเล็กๆแค่สี่ก้าวจากพระพุทธรูปที่ปากถ้ำ ตาเริ่มปรับรับแสงจากสว่างจัดมาในที่มืด
ความหวั่นๆก็ผุดมาอย่างอัตโนมัติ มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดและความมืด หลอดไฟที่ติดตามผนังที่คิดว่าเปิดสว่างไปทั่วทั้งถ้ำนั้น ไม่มีดวงไหนเปิดใช้งานอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามาในนี้บ่อยๆ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ผมมองเห็นแค่มวลความมืดขนานใหญ่บนเวิ้งน้ำกว้างนิ่งเงียบ การเข้ามาเดินคนเดียวทำให้ที่ที่คุ้นเคยกลายเป็นที่น่ากลัวกว่าปกติจริงๆ
“จะเดินต่อหรือถอยกลับ” ผมถามตัวเอง พร้อมหาเหตุผลมีประกอบทั้งสองฝั่ง ผมกลัวอะไร “เอาจริงๆเมิงกลัวอะไร ความมืดเหรอ!! เดียวๆกลัวความมืดเนี้ยน่ะ เหตุผลดูไม่เข้าทาเลยไฟฉายก็มี กลัวพญานาญเหรอ ผมกลัวพญานาคเนี้ยน่ะ!! ถ้าได้เจอเมิงถือว่าโชคดีมาก มีใครตั้งหลายคนอยากจะเห็นแต่ไม่เคยได้เจอ กลัวตกทางเดินลงไปในร่องน้ำเหรอ ไม่เคยมีอุบัติเหตุในนี่น่ะแม้แต่คนทำทางเดินปูนซีเมนต์ก็ยังไม่เคยเจออะไร จะถอยกลับเพราะว่า กลัวความมืดกับพญานาคเนี้ยน่ะ”
ผมยืนตัดสินใจเกือบหนึ่งนาที เมื่อรู้ว่าเหตุผลต่างๆไร้สาระและไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด ถ้าเลือกถอยกลับ มันก็อายตัวเองเกินไป
ผมเริ่มเดินเข้าไปในความมืดอีกก้าว มือซ้ายกำราวเหล็กเล็ก มือขวาถือไฟฉายที่ถือที่มีสว่างน้อยมากส่องเพดานถ้ำ ส่องลงร่องน้ำด้านล่างแล้วค่อยๆเดินไปที่ละก้าวไปเรื่อยๆ มีเสียงสะท้อนของจังหวะเท้าเราเองที่บอกว่ามีแต่ผมคนเดียวที่อยู่ในมวลความมืดนี่ ดวงไฟดวงเล็กจากไฟฉายส่องไปรอบทิศ
มาเดินผ่านมาได้ระยะหนึ่ง “อยากรู้จริงๆมันมืดยังไง มืดระดับไหน” ผมลองยืนนิ่งปล่อยมือที่กำราวเหล็กแนบลำตัวแล้วปิดไฟฉายๆ ยืนเฉยๆอยู่ในความมืดนั้นละ ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะเล่นอะไรบ้าๆได้ขนานนี้
“มืด” มืดมากมืดจริงๆมืดทั่วทุกองศา จนไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังลืมตาหรือปิดตาอยู่ “น่ากลัวใช่เล่นเลยน่ะเนี้ย 55”
ผมอยู่ในความมืดที่นิ่งเงียบได้ประมาณ 15 วินาที “โอเคเล่นมาพอแล้ว”
รีบเปิดไฟฉาย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แบตตารี่หมดเหรอว่ะ”
ผมกดสวิซต์เปิดปิดซ้ำไปมาไฟก็ติดๆดับๆเริ่มกระแทกไฟฉายแรวขึ้น ขนานมวลความมืดรอบตัวขยายใหญ่เร็วมากและจิตนาการมันเข้ามาแทนที่ได้เร็วมากๆเช่นกัน มันบอกผมว่าเราเองกำลังอยู่ในท้องของสัตว์ใหญ่ลึกลับสักอย่าง ความคิดเดินทางต่อโดยไม่ตั้งใจว่า “หรืออุโมงค์นี้เกิดจากงูตัวใหญ่ยังษ์เลื้อยผ่านแน่ๆ” กระแทกไฟฉายไปเรื่อยๆสักพัก เสียงตบกระบองไฟฉายนั้น ทำให้ค้างคาวในถ้ำแตกตื่นบินไปมา
ในที่สุดไฟฉายกลับมาใช้ได้อีกครั้ง รู้เลยว่าตัวเองตอนนี้กำลังหายใจแรงมาก ผมส่องไฟไปมาอย่างไร้ทิศทาง ถ้ำมันดูต่างไปจริงๆจากทุกๆครั้งที่เคยเข้าเดินเล่น(กับแม่กับเพื่อน) ทำไมตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างนี้ กล้ามเนื้อแขนขาเหนื่อยแรงในระดับหนึ่ง ความคิดมันไม่หยุดแค่ไหน “นี้มันรังงูชัดๆแม่น้ำสายเล็กๆด้านล่างคงมีลูกงูตัวเล็กนอนขดอยู่เต็มไปหมดแน่ๆ” ผมพยามหยุดจินตนาการสร้างสรรค์นี้โดยหลักความเป็นจริง “ถ้ำนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวของตะกอนที่ทับถมกับเป็นล้านๆปี ไม่ใช่เกิดจากสัตว์ร้ายหรือพญางูแต่อย่างใด”
พยามเดินต่อ ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด!
ทันใดนั้น “ฟู่!!!! ” เสียงดังคล้ายเสียงงูขู่มาจากฝนังถ้ำอีกฝั่ง เสียงเลื้อยของอะไรสักอย่าง พร้อมกับภาพในหัวที่บอกว่าเป็นงูตัวใหญ่กำลังคดตัวกำลังพร้อมชกตัวเองไปรัดตอนไหนก็ได้ หัวใจผมเต้นแรงอย่างชัดเจน เกรง กัดฟัน ไม่อยากหายใจออกทางปากเพราะไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองกลัวมากขนานนั้น “รู้สึกเปลือยเปล่า”มาก ทำไมมันอยู่รู้ถูกคุกคามขนานนี้ ยอมรับแล้วว่ากลัวมากจริงๆ
ดวงไฟเล็กๆจากไฟฉายเลื่อนไปทางด้านหน้าช้าๆ “เราจะไม่ส่องไฟไปหาที่มาของเสียงนั้น” สมองเริ่มหาสิ่งที่จะพาออกจากถ้ำนี้ให้ได้ ผมกลับไปจับความทรงจำตอนเด็กๆว่า ตรงที่ยื่นอยู่นี้ ผม แม่และเพื่อนแม่เคยเดินมาก่อนซึ่งมันไม่ได้มีอะไร พระหลายองค์เคยมานั่งปักกฎนอนในถ้ำนี้ตั้งหลายองค์ก็ไม่มีใครเป็นอะไร
ค้นลึกลงไปต่อ แต่ยากเกินไป เมื่อหาอะไรต่อไม่ได้ งูจากความคิดเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ความไม่ปลอดภัยขยายใหญ่ตาม ผมเดินมาได้กลางทางแล้ว ตอนนี้ผมนิ่งอยู่กลางสะพานปูนที่ข้ามไปผนังถ้ำอีกด้าน ภาพในหัวมันคือเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆที่ภาพที่ผ่านตามันคือร่องน้ำตื้นๆ ผมก้าวขาเดินไปที่ละนิดๆ ก้าว-ชิด ก้าว-ชิด รู้สึกกลัวเหมือนเดินบนสะพานแขวนข้ามเหวที่เป็นไม้เก่าๆ
มองหาที่ยึดเหนี่ยวใหม่ นึกถึงพระอาจารย์ว่ากำลังเดินนำเราอยู่ใกล้ๆ ในที่สุดก็ไปถึงปลายสะพานอีกฝั่ง “หายใจลึกๆ ช้าๆ” ประคองไฟฉายส่องไปเฉพาะแค่ทางเดินด้านหน้าพอ คราวนี้ก็ความคิดตัวเองอีกนั้นละที่พาดวงไฟส่องไปร่องน้ำลึกๆข้างทางอีกครั้ง “ถ้าเราตกลงได้จะเป็นอย่างไรมีใครจะช่วยเราได้บาง….สติจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนเราไหม” นึกภาพตัวเองตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ “กลับมาอยู่กับตัวเองหน่อย” เดินไปเดินไปหายใจลึกๆ ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด!
ยี่สิบวินาทีต่อมา ผมก็เห็นพื้นปูนลานกว้างอยู่ห่างไปอีกแค่สิบก้าว ประคองจังหวะเดินไม่ให้ตัวเองล่นจนกลายเป็นวิ่ง
ผมเดินขึ้นลานกว้างในถ้ำได้ในที่สุด เจอพื้นกว้างๆก็หายใจได้โล่งใจกว่าเก่าหน่อย ที่นี่เป็นห้องโถ่งกว้างมาก ฝูงค้างคาวห้วยคนติดกับเพดานถ้ำที่สูงมาก เรามาได้ 80 เปอร์เซ็นของความยาวถ้ำแล้ว ตอนนี้ทางซ้ายมือใกล้ๆเป็นพระพุทธรูปปรางค์ต่างๆสามปรางค์ ถึงจะเป็นพระพุทธรูปแต่เมื่ออยู่ในที่มืดก็ยังรู้สึกกล้าๆกล้วๆอยู่ ผมนั่งลงกัมกราบสามครั้ง หายใจเข้าออกช้าๆ ผมขอสวดแผ่เมตตาทั้งๆที่อยากจะออกไปเจอแสงแดดใจจะขาด เมื่อสวดจบบท รุ้สึกได้ว่าตัวเองมีใจที่นิ่งขึ้น
ออกเดินไปอีกนิด อีกด้านของของลานโถ่งกว้าง มีพระพุทธรูปใหญ่มากปรางค์ “นาคปรก”ที่ตั้งตระหง่านอยู่ แสงจากภายนอกหลุดลอดผ่านรอยแตกของผนังเข้ามาเป็นเส้นๆ กระทบเข้ากับองค์พระจากด้านหลังเป็นเงาภาพดำใหญ่ยักษ์ของ “พญานาคเจ็ดหัว” ที่แผ่แผงคออยู่ มองแวบๆจะรู้สึกคล้ายว่าหัวพระยานาคจะขยับส่ายไปมากเล็กๆ ดูน่าเกรงขาม น่ากลัวในเวลาเดียวกัน ผมรู้สึกหวั่นขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ๆ เราต้องทำความเข้าใจ ว่า นั้นรูปปั้น เป็นปูน มันไม่ได้มีกล้ามเนื้อหรือมีกระดูกสันหลังจริงๆ”
ตัดสินใจนั่งลงดื้อๆตรงหน้า “นาคปรก” เพื่อทำความเข้าใจ รู้ทันเกมส์ความกลัวแบบจริงๆจังไปเลย ผมตั้งใจจะมองหัวทั้งเจ็ดของพญานาคไปเรื่อยๆ จนจะให้หัวมันนิ่งให้ได้โดยให้รู้สึกจากใจจริงๆว่านี่อยู่รูปปั้นน่ะ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทำลายเราได้
ผ่านไปไม่รู้นานแค่นั้น แต่บรรยายกาศโดยรอบเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น อุณภูมิร่างกายเท่ากับถ้ำแล้ว นัยตาเริ่มปรับตัวได้ในความมืด นาคปรกก็นิ่งแล้ว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันเป็นแค่ปูนอิฐที่ถูกจัดเรียงให้เป็นรูปร่างๆเท่านั้น ไม่มีงูตัวใหญ่จริงๆ เสียงฟู่!! เสียงขู่ของงูใหญ่ในถ้ำที่เพิ่งได้ยินนั้นเหลือเล็กกลายเป็นแค่เสียงกระพึปีกของฝูงค้างคาวเท่านั้น เสียงเลื่อยของงูกลายเป็นแค่เสียงน้ำในร่องน้ำไหลเบาๆ รังงูที่ว่าก็เหลือแค่ถ้ำที่เกิดขึ้นจากการเลือนที่ของแผ่นเปลือกโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน ถ้ามองในด้านความเป็นจริงมันก็แค่ คนๆหนึ่งเดินเล่นจากตีนเขาผ่านถ้ำไปอีกตีนเขาฝั่งเท่านั้นไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งน่ากลัวต่างๆที่ผมเพิ่งเจอมานั้น มันเป็นแค่การแทนที่ของความคิดที่ไปขยายความไม่รู้ให้ใหญ่จนรู้สึกว่าตัวเองเล็กเมื่อเทียบกับขนานของมันแลัวตอบสนองความโอ่งอ่างนั้นในลักษณะความกลัว
ความกลัวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองจริงๆ ยิ่งไปโพกัสกับมันมากมันก็ยิ่งขยายใหญ่ได้รวดเร็ว คนเราโดนทำร้ายจากความคิดจริงๆแต่ก็ได้รับความช่วยเหลือก็จากความคิดเองของตัวเองอีกเช่นกัน จะหยุดความกลัวนั้นแค่เอาความจริงมาแทนที่โดยใช้สติ(ลมหายใจ)ประคอง ซึ่งมันจะตัดการขยายตัว “กลัว” ไปได้ครับ (ต้องฝึกบ่อยๆ)
บรรยายกาศรอบๆเป็นมิตรมาก เงียบสงบจริงๆครับ รู้สึกปลอดภัย ผมหายใจได้เต็มปอด ได้ทั่วท้องอีกครั้ง ตัวเบา สบายใจ ทั้งที่นั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายทีไปไหน สถานที่เดิมๆที่คุ้นเคย(ถ้ำแห่งนี้) ก็ยังคงสอนเรื่องใหม่ได้จริงๆครับ
ผมเดินออกจากถ้ำ รับแสงแดด ขำกับตัวเอง “เราแสดงอาการกลัวได้ถึงขนานนั้นเลยเหรอว่ะ 555” ยิ้มชื่นชมภูมิใจตัวเองที่มีความกล้าขนานนั้น ครึ่งชั่วโมงที่ใช้เวลาอยู่ในถ้ำแห่งนี้ มันคุ้มค่ามาก ได้เข้าใจการทำงานของความกลัว ได้รู้ทันความกลัวซึ่งมันมีประโยชน์และเป็นภูมิคุ้มกันได้อย่างดีในอนาคต
ขุน พรหมเพชร
3 กุมภาพันธ์ 2556
เครดิตรูป : คุณ Nakhon224จากเว็บ Panoramio
www.panoramio.com/photo/63694389
งูยักษ์ในถ้ำมืด
“ไม่มีอะไรหรอกน่าา”ผมบอกกับตัวเองขณะที่มองต่ำลงไปยัง ปากทางเข้าถ้ำที่โอ่งอ่าแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นถ้ำใต้ภูเขาลูกใหญ่ที่เกิดจากธรรมชาติและเพิ่งถูกค้นพบเมื่อสามสิบปีก่อน ลักษณะถ้ำเป็นเหมือนอุโมงค์ยาว กว้างประมาณ 6 เมตร ที่มีสายน้ำเล็กๆไหลทะลุผ่านตามร่องเหวลึก การเดินทะลุไปอีกฝั่งต้องปีนไต่ตามผนังเหนือผิวน้ำประมาณ 5 เมตร เส้นทางจะคดเคี้ยวและมืดมากอันตรายมาก ซึ่งปัจจุบันได้มีการสร้างทางเดินปูซีเมนซ์แคบๆและราวเหล็กแท่งเล็กๆ มีหลอดไฟบ้างเป็นบางจุดในระดับเหนือหัวแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังอันตรายอยู่ โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กหรือคนชรา
ตัวผมเองเดินเข้าออกถ้ำแห่งนี้มาหลายครั้งตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าเข้ามากับแม่หรือกับพระอาจารย์ รู้จักถ้ำแห่งนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะดูน่ากลัวแค่ไหนก็ไม่น่ากังวลเพราะมักจะมากันเป็นกลุ่มตลอด ครั้งล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อนในขณะที่ผมบวชเป็นพระ
ครั้นเมื่อมีโอกาศได้มาแถวๆนี้(ต่างจังหวัด) จึงถือโอกาศกลับมาเดินเล่นเอาบรรยากาศสนุกๆสมัยเด็กๆแม้จะมาคนเดียว(ครั้งแรก)ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีหลอดไฟสว่างอยู่ภายในถ้ำ อุปกรณ์อย่างเดียวที่มีติดตัวคือ “ไฟฉาย” เก่าๆ แสงแดดเข้ามาได้ไกลสุดแค่นี้หลังจากที่ก้าวเท้าลงบันได้ขั้นเล็กๆแค่สี่ก้าวจากพระพุทธรูปที่ปากถ้ำ ตาเริ่มปรับรับแสงจากสว่างจัดมาในที่มืด
ความหวั่นๆก็ผุดมาอย่างอัตโนมัติ มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดและความมืด หลอดไฟที่ติดตามผนังที่คิดว่าเปิดสว่างไปทั่วทั้งถ้ำนั้น ไม่มีดวงไหนเปิดใช้งานอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามาในนี้บ่อยๆ จึงไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ผมมองเห็นแค่มวลความมืดขนานใหญ่บนเวิ้งน้ำกว้างนิ่งเงียบ การเข้ามาเดินคนเดียวทำให้ที่ที่คุ้นเคยกลายเป็นที่น่ากลัวกว่าปกติจริงๆ
“จะเดินต่อหรือถอยกลับ” ผมถามตัวเอง พร้อมหาเหตุผลมีประกอบทั้งสองฝั่ง ผมกลัวอะไร “เอาจริงๆเมิงกลัวอะไร ความมืดเหรอ!! เดียวๆกลัวความมืดเนี้ยน่ะ เหตุผลดูไม่เข้าทาเลยไฟฉายก็มี กลัวพญานาญเหรอ ผมกลัวพญานาคเนี้ยน่ะ!! ถ้าได้เจอเมิงถือว่าโชคดีมาก มีใครตั้งหลายคนอยากจะเห็นแต่ไม่เคยได้เจอ กลัวตกทางเดินลงไปในร่องน้ำเหรอ ไม่เคยมีอุบัติเหตุในนี่น่ะแม้แต่คนทำทางเดินปูนซีเมนต์ก็ยังไม่เคยเจออะไร จะถอยกลับเพราะว่า กลัวความมืดกับพญานาคเนี้ยน่ะ”
ผมยืนตัดสินใจเกือบหนึ่งนาที เมื่อรู้ว่าเหตุผลต่างๆไร้สาระและไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด ถ้าเลือกถอยกลับ มันก็อายตัวเองเกินไป
ผมเริ่มเดินเข้าไปในความมืดอีกก้าว มือซ้ายกำราวเหล็กเล็ก มือขวาถือไฟฉายที่ถือที่มีสว่างน้อยมากส่องเพดานถ้ำ ส่องลงร่องน้ำด้านล่างแล้วค่อยๆเดินไปที่ละก้าวไปเรื่อยๆ มีเสียงสะท้อนของจังหวะเท้าเราเองที่บอกว่ามีแต่ผมคนเดียวที่อยู่ในมวลความมืดนี่ ดวงไฟดวงเล็กจากไฟฉายส่องไปรอบทิศ
มาเดินผ่านมาได้ระยะหนึ่ง “อยากรู้จริงๆมันมืดยังไง มืดระดับไหน” ผมลองยืนนิ่งปล่อยมือที่กำราวเหล็กแนบลำตัวแล้วปิดไฟฉายๆ ยืนเฉยๆอยู่ในความมืดนั้นละ ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะเล่นอะไรบ้าๆได้ขนานนี้
“มืด” มืดมากมืดจริงๆมืดทั่วทุกองศา จนไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ากำลังลืมตาหรือปิดตาอยู่ “น่ากลัวใช่เล่นเลยน่ะเนี้ย 55”
ผมอยู่ในความมืดที่นิ่งเงียบได้ประมาณ 15 วินาที “โอเคเล่นมาพอแล้ว”
รีบเปิดไฟฉาย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แบตตารี่หมดเหรอว่ะ”
ผมกดสวิซต์เปิดปิดซ้ำไปมาไฟก็ติดๆดับๆเริ่มกระแทกไฟฉายแรวขึ้น ขนานมวลความมืดรอบตัวขยายใหญ่เร็วมากและจิตนาการมันเข้ามาแทนที่ได้เร็วมากๆเช่นกัน มันบอกผมว่าเราเองกำลังอยู่ในท้องของสัตว์ใหญ่ลึกลับสักอย่าง ความคิดเดินทางต่อโดยไม่ตั้งใจว่า “หรืออุโมงค์นี้เกิดจากงูตัวใหญ่ยังษ์เลื้อยผ่านแน่ๆ” กระแทกไฟฉายไปเรื่อยๆสักพัก เสียงตบกระบองไฟฉายนั้น ทำให้ค้างคาวในถ้ำแตกตื่นบินไปมา
ในที่สุดไฟฉายกลับมาใช้ได้อีกครั้ง รู้เลยว่าตัวเองตอนนี้กำลังหายใจแรงมาก ผมส่องไฟไปมาอย่างไร้ทิศทาง ถ้ำมันดูต่างไปจริงๆจากทุกๆครั้งที่เคยเข้าเดินเล่น(กับแม่กับเพื่อน) ทำไมตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างนี้ กล้ามเนื้อแขนขาเหนื่อยแรงในระดับหนึ่ง ความคิดมันไม่หยุดแค่ไหน “นี้มันรังงูชัดๆแม่น้ำสายเล็กๆด้านล่างคงมีลูกงูตัวเล็กนอนขดอยู่เต็มไปหมดแน่ๆ” ผมพยามหยุดจินตนาการสร้างสรรค์นี้โดยหลักความเป็นจริง “ถ้ำนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวของตะกอนที่ทับถมกับเป็นล้านๆปี ไม่ใช่เกิดจากสัตว์ร้ายหรือพญางูแต่อย่างใด”
พยามเดินต่อ ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด!
ทันใดนั้น “ฟู่!!!! ” เสียงดังคล้ายเสียงงูขู่มาจากฝนังถ้ำอีกฝั่ง เสียงเลื้อยของอะไรสักอย่าง พร้อมกับภาพในหัวที่บอกว่าเป็นงูตัวใหญ่กำลังคดตัวกำลังพร้อมชกตัวเองไปรัดตอนไหนก็ได้ หัวใจผมเต้นแรงอย่างชัดเจน เกรง กัดฟัน ไม่อยากหายใจออกทางปากเพราะไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองกลัวมากขนานนั้น “รู้สึกเปลือยเปล่า”มาก ทำไมมันอยู่รู้ถูกคุกคามขนานนี้ ยอมรับแล้วว่ากลัวมากจริงๆ
ดวงไฟเล็กๆจากไฟฉายเลื่อนไปทางด้านหน้าช้าๆ “เราจะไม่ส่องไฟไปหาที่มาของเสียงนั้น” สมองเริ่มหาสิ่งที่จะพาออกจากถ้ำนี้ให้ได้ ผมกลับไปจับความทรงจำตอนเด็กๆว่า ตรงที่ยื่นอยู่นี้ ผม แม่และเพื่อนแม่เคยเดินมาก่อนซึ่งมันไม่ได้มีอะไร พระหลายองค์เคยมานั่งปักกฎนอนในถ้ำนี้ตั้งหลายองค์ก็ไม่มีใครเป็นอะไร
ค้นลึกลงไปต่อ แต่ยากเกินไป เมื่อหาอะไรต่อไม่ได้ งูจากความคิดเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ความไม่ปลอดภัยขยายใหญ่ตาม ผมเดินมาได้กลางทางแล้ว ตอนนี้ผมนิ่งอยู่กลางสะพานปูนที่ข้ามไปผนังถ้ำอีกด้าน ภาพในหัวมันคือเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆที่ภาพที่ผ่านตามันคือร่องน้ำตื้นๆ ผมก้าวขาเดินไปที่ละนิดๆ ก้าว-ชิด ก้าว-ชิด รู้สึกกลัวเหมือนเดินบนสะพานแขวนข้ามเหวที่เป็นไม้เก่าๆ
มองหาที่ยึดเหนี่ยวใหม่ นึกถึงพระอาจารย์ว่ากำลังเดินนำเราอยู่ใกล้ๆ ในที่สุดก็ไปถึงปลายสะพานอีกฝั่ง “หายใจลึกๆ ช้าๆ” ประคองไฟฉายส่องไปเฉพาะแค่ทางเดินด้านหน้าพอ คราวนี้ก็ความคิดตัวเองอีกนั้นละที่พาดวงไฟส่องไปร่องน้ำลึกๆข้างทางอีกครั้ง “ถ้าเราตกลงได้จะเป็นอย่างไรมีใครจะช่วยเราได้บาง….สติจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนเราไหม” นึกภาพตัวเองตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ “กลับมาอยู่กับตัวเองหน่อย” เดินไปเดินไปหายใจลึกๆ ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด! ก้าว-ชิด!
ยี่สิบวินาทีต่อมา ผมก็เห็นพื้นปูนลานกว้างอยู่ห่างไปอีกแค่สิบก้าว ประคองจังหวะเดินไม่ให้ตัวเองล่นจนกลายเป็นวิ่ง
ผมเดินขึ้นลานกว้างในถ้ำได้ในที่สุด เจอพื้นกว้างๆก็หายใจได้โล่งใจกว่าเก่าหน่อย ที่นี่เป็นห้องโถ่งกว้างมาก ฝูงค้างคาวห้วยคนติดกับเพดานถ้ำที่สูงมาก เรามาได้ 80 เปอร์เซ็นของความยาวถ้ำแล้ว ตอนนี้ทางซ้ายมือใกล้ๆเป็นพระพุทธรูปปรางค์ต่างๆสามปรางค์ ถึงจะเป็นพระพุทธรูปแต่เมื่ออยู่ในที่มืดก็ยังรู้สึกกล้าๆกล้วๆอยู่ ผมนั่งลงกัมกราบสามครั้ง หายใจเข้าออกช้าๆ ผมขอสวดแผ่เมตตาทั้งๆที่อยากจะออกไปเจอแสงแดดใจจะขาด เมื่อสวดจบบท รุ้สึกได้ว่าตัวเองมีใจที่นิ่งขึ้น
ออกเดินไปอีกนิด อีกด้านของของลานโถ่งกว้าง มีพระพุทธรูปใหญ่มากปรางค์ “นาคปรก”ที่ตั้งตระหง่านอยู่ แสงจากภายนอกหลุดลอดผ่านรอยแตกของผนังเข้ามาเป็นเส้นๆ กระทบเข้ากับองค์พระจากด้านหลังเป็นเงาภาพดำใหญ่ยักษ์ของ “พญานาคเจ็ดหัว” ที่แผ่แผงคออยู่ มองแวบๆจะรู้สึกคล้ายว่าหัวพระยานาคจะขยับส่ายไปมากเล็กๆ ดูน่าเกรงขาม น่ากลัวในเวลาเดียวกัน ผมรู้สึกหวั่นขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ๆ เราต้องทำความเข้าใจ ว่า นั้นรูปปั้น เป็นปูน มันไม่ได้มีกล้ามเนื้อหรือมีกระดูกสันหลังจริงๆ”
ตัดสินใจนั่งลงดื้อๆตรงหน้า “นาคปรก” เพื่อทำความเข้าใจ รู้ทันเกมส์ความกลัวแบบจริงๆจังไปเลย ผมตั้งใจจะมองหัวทั้งเจ็ดของพญานาคไปเรื่อยๆ จนจะให้หัวมันนิ่งให้ได้โดยให้รู้สึกจากใจจริงๆว่านี่อยู่รูปปั้นน่ะ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทำลายเราได้
ผ่านไปไม่รู้นานแค่นั้น แต่บรรยายกาศโดยรอบเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น อุณภูมิร่างกายเท่ากับถ้ำแล้ว นัยตาเริ่มปรับตัวได้ในความมืด นาคปรกก็นิ่งแล้ว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มันเป็นแค่ปูนอิฐที่ถูกจัดเรียงให้เป็นรูปร่างๆเท่านั้น ไม่มีงูตัวใหญ่จริงๆ เสียงฟู่!! เสียงขู่ของงูใหญ่ในถ้ำที่เพิ่งได้ยินนั้นเหลือเล็กกลายเป็นแค่เสียงกระพึปีกของฝูงค้างคาวเท่านั้น เสียงเลื่อยของงูกลายเป็นแค่เสียงน้ำในร่องน้ำไหลเบาๆ รังงูที่ว่าก็เหลือแค่ถ้ำที่เกิดขึ้นจากการเลือนที่ของแผ่นเปลือกโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน ถ้ามองในด้านความเป็นจริงมันก็แค่ คนๆหนึ่งเดินเล่นจากตีนเขาผ่านถ้ำไปอีกตีนเขาฝั่งเท่านั้นไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งน่ากลัวต่างๆที่ผมเพิ่งเจอมานั้น มันเป็นแค่การแทนที่ของความคิดที่ไปขยายความไม่รู้ให้ใหญ่จนรู้สึกว่าตัวเองเล็กเมื่อเทียบกับขนานของมันแลัวตอบสนองความโอ่งอ่างนั้นในลักษณะความกลัว
ความกลัวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองจริงๆ ยิ่งไปโพกัสกับมันมากมันก็ยิ่งขยายใหญ่ได้รวดเร็ว คนเราโดนทำร้ายจากความคิดจริงๆแต่ก็ได้รับความช่วยเหลือก็จากความคิดเองของตัวเองอีกเช่นกัน จะหยุดความกลัวนั้นแค่เอาความจริงมาแทนที่โดยใช้สติ(ลมหายใจ)ประคอง ซึ่งมันจะตัดการขยายตัว “กลัว” ไปได้ครับ (ต้องฝึกบ่อยๆ)
บรรยายกาศรอบๆเป็นมิตรมาก เงียบสงบจริงๆครับ รู้สึกปลอดภัย ผมหายใจได้เต็มปอด ได้ทั่วท้องอีกครั้ง ตัวเบา สบายใจ ทั้งที่นั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายทีไปไหน สถานที่เดิมๆที่คุ้นเคย(ถ้ำแห่งนี้) ก็ยังคงสอนเรื่องใหม่ได้จริงๆครับ
ผมเดินออกจากถ้ำ รับแสงแดด ขำกับตัวเอง “เราแสดงอาการกลัวได้ถึงขนานนั้นเลยเหรอว่ะ 555” ยิ้มชื่นชมภูมิใจตัวเองที่มีความกล้าขนานนั้น ครึ่งชั่วโมงที่ใช้เวลาอยู่ในถ้ำแห่งนี้ มันคุ้มค่ามาก ได้เข้าใจการทำงานของความกลัว ได้รู้ทันความกลัวซึ่งมันมีประโยชน์และเป็นภูมิคุ้มกันได้อย่างดีในอนาคต
ขุน พรหมเพชร
3 กุมภาพันธ์ 2556
เครดิตรูป : คุณ Nakhon224จากเว็บ Panoramio
www.panoramio.com/photo/63694389