แชร์ประสบการณ์และวิธี แก้ปัญหาลูกน้อยติดแท็บเล็ต,ไอแพด,ไอโฟน(แบบปราศจากน้ำตา) สำเร็จใน7วัน!

เราเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคสมัยนี้หลายคน คงหนักใจกันไม่น้อยกับปัญหาลูกติดจอ ไม่ว่าจะเป็นแท็ปเล็ต ไอแพด ไอโฟน คุณเชื่อมั้ยว่าก่อนคลอดลูกนะ เราก็เป็นคุณแม่คนหนึ่งที่ปฎิญาณตนไว้ดิบดี ว่าถ้าฉันเลี้ยงลูกนะ ฉันจะไม่ให้ลูกดูทีวี ไอแพด ไอโฟนก่อนสามขวบเป็นอันขาด แถมเวลาเห็นพ่อแม่ที่ให้ลูกดูไอแพดนั่งในรถเข็นตอนเดินห้าง เราก็คิดในใจว่า ทำไมน้อ?เค้าไม่รู้เหรอว่ามันไม่ดี?

     จนพอมาประสบพบเจอเข้ากับตัวเอง ถึงได้รู้ซึ้ง เริ่มจากลูกสาวอายุขวบครึ่ง เริ่มเข้าสู่วัยกำลังซน ยุกยิกไม่อยู่กับที่ แรกๆสามีเราจะชอบเปิดพวกคลิปเพลงเด็กภาษาอังกฤษให้แกฟัง เพื่อให้ลูกอยู่นิ่งๆ เลี้ยงง่าย เวลาที่แกซุกซน และเพราะเห็นแกชอบดู และเต้นสนุกสนานไปตามเพลง แรกๆเราก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย(บ้าจี้อ่ะนะ) คิดว่าคงไม่แย่อย่างที่คิดหรอกม้าง ดูสิ! ลูกจำคำศัพท์จากในคลิปได้ตั้งหลายคำ (บ้านเราสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก) เราก็คิดว่าดีจังเลย ลูกจะได้ฟังภาษาอังกฤษจากที่อื่นนอกเหนือจากพ่อกับแม่บ้าง จากที่ให้ดูแค่5-10นาที ก็เริ่มนานขึ้น นานขึ้น เป็นเกือบๆชั่วโมง และก็เริ่มบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นดูก่อนนอนกันเลยทีเดียว (คือเอาไอแพดส่งลูกเข้านอน ลูกก็ดูจนหลับคาไอแพด)

     เป็นแบบนี้มาเกือบสองอาทิตย์ จนเราเริ่มไม่ค่อยสบายใจว่า นี่เราทำถูกต้องแล้วจริงๆเหรอ? แล้วผลเสียต่างๆที่เราเคยอ่านเจอหล่ะ? มันจะส่งผลกับลูกเรามั้ย? คิดอยู่ในใจ จนหลังๆมาเริ่มสังเกตุพฤติกรรมลูกอย่างจริงจัง อย่างแรกเลยที่เราเห็นคือลูกเริ่มดูไม่จบคลิป คือดูๆไม่ทันไรจะจิ้มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ยอมให้เปลี่ยนก็จะเริ่มโวยวาย อันนี้อาจเป็นสัญญาณของสมาธิสั้น(คิดเอาเอง) ต่อมาคือ พอเห็นไอแพดหรือไอโฟนที่ไหน จะเริ่มรบเร้าขอดูตลอด อันนี้ก็เป็นสันญาณว่าเริ่มติดแล้ว และยังมีนิสัยใจร้อน รอไม่เป็นเพิ่มมาเป็นของแถมอีกด้วย จนในที่สุด เราตัดสินใจว่า ไม่ได้การละ! ขืนปล่อยให้ดูต่อไป ลูกชั้นกลายเป็นmonsterแน่ๆ ปฎิบัติการปฎิวัติขนาดย่อมครั้งนี้จึงเริ่มขึ้น

Day1: Declare war
วันแรกหลังจากตัดสินใจที่จะทำให้ลูกเลิกดูไอแพดอย่างจริงจัง เราเริ่มด้วยการกินข้าวเช้าให้เต็มที่ซะก่อน อย่าลืมว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง และเพราะเราต้องใช้แรงอีกเยอะในการเลี้ยงลูกเองทั้งวัน เพราะเจ้าไอแพดจะไม่มาช่วยเราอีกแล้ว หลังจากท้องอิ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปสำคัญมาก คือเก็บไอแพด ไอโฟน และอื่นๆให้พ้นตาลูก ปิดเครื่องได้ ปิดเลย เราก็ต้องไม่ใช้ด้วยนะ (ยกเว้นตอนลูกหลับแอบเล่นได้ไม่ว่ากัน)
หลังจากนั้นเราก็ทำกิจวัตรประจำวันกันปกติ ทีนี้มันก็จะมีบางช่วงที่ลูกเริ่มนึกขึ้นได้ว่าอยากดูไอแพด แกก็จะเริ่มถามหา เราก็ต้องชักจูงลูกไปทำอย่างอื่น เล่นน้ำ ให้อาหารปลา เล่นกับหมา เก็บก่อนหิน รดน้ำต้นไม้ ดูนก อ่านนิทาน คิดอะไรได้ทำหมด ซึ่งแรกๆต้องอดทนเพราะแกจะถามขอไอแพดบ่อยๆ ของเรานี่ทุกๆ15นาที ยิ่งตอนจะนอน ยิ่งงอแงใหญ่ เพราะแกติดดูไอแพดแล้วหลับ พอไม่มีให้ดู แม่ก็ต้องกลายร่างเป็นไอแพดแทน วันแรกจำได้ว่าร้องเพลงthe wheels on the bus แบบnon-stop ติดต่อกันประมาณเกือบ2ชั่วโมงจนลูกหลับ คอแหบคอแห้งกันเลยทีเดียว ข้อสำคัญที่จะทำให้วันแรกสำเร็จได้ คือพ่อแม่ต้องใจเย็น และอดทนเข้าไว้ ลูกอาจจะงอแงมากหน่อย อย่าหงุดหงิด อย่าดุลูก ให้ใช้วิธีชักชวนหลอกล่อให้ลูกสนใจสิ่งอื่นๆ พยายามทำโลกความจริงของลูกให้สนุกกว่าในไอแพดเข้าไว้

Day 2,3,4
ถ้าคุณผ่านวันแรกมาได้ ขอให้พึงระลึกไว้เถิดว่าคุณได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดไปแล้ว ขอให้อดทนสู้ต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ให้แก่ปีศาจไอแพดเป็นอันขาด วันที่2,3,4 ของเราค่อยๆง่ายขึ้นตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้ง่ายกว่าวันที่1มากนักหรอก อย่าเพิ่งย่ามใจ เพราะเราเริ่มเหนื่อยสะสม จากการทำตัวactiveคูณ2กับลูก(เพราะต้องทำตัวให้น่าสนใจกว่าเจ้าไอแพด จึงต้องupตัวเองไปอีก1เลเวล) มุขต่างๆที่งัดมาใช้ก็เริ่มจะหมด ลูกเริ่มเบื่อดูนก ดูปลา stageนี้เราจึงต้องหาตัวช่วยมาเพิ่ม สำหรับเรา คือหนังสือจ้า ลงทุนซื้อหนังสือเล่มใหม่ที่คิดว่าลูกจะสนใจ ของเราลูกเริ่มสนใจเรื่องสัตว์ต่างๆ เราก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ เลือกที่มีภาพสีสวยน่าสนใจ เอาแบบหนาๆหลายๆหน้าหน่อย จะได้อ่านได้จนแกหลับ พอได้หนังสือมาเราก็เริ่มใช้มันแทนที่ไอแพด คือพอลูกร้องอยากจะดูไอแพด เราก็จะเอาหนังสือมาเปิดอ่าน ชี้ๆภาพให้เค้าดูทีละหน้าๆแทน แรกๆลูกอาจจะไม่สนใจทันที หรืออาจจะดูแค่ไม่กี่หน้า ให้ทุกคนใช้ความอดทนและความสม่ำเสมอนะคะ อ่านให้น่าสนใจ ทำเสียงสูงๆต่ำๆเล็กๆใหญ่ๆ มีเท่าไหร่ จัดเต็มไปเลย ทำให้น่าสนุกตื่นเต้นเข้าไว้ค่ะ ของเราใช้เวลาแค่เพียงสามวัน ลูกก็เลือกดูหนังสือแทนไอแพดแล้วค่ะ

Day 5,6
วันที่5และ6คือช่วงปลายสงครามสำหรับเราแล้วค่ะ ลูกเริ่มสงบขึ้น มีสมาธิมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แกเริ่มเล่นกับสิ่งของรอบตัวมากขึ้น ช่วงนี้แกจะเริ่มไม่ถามหาไอแพดแล้วค่ะ หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่าคลื่นลมเริ่มสงบ เราก็ปฎิบัติการขั้นต่อไป คือ say no once and for all (อันนี้ตั้งเอาเอง) คือเราเริ่มวางไอแพด ไอโฟนให้แกเห็น พอลูกเดินมาทำท่าเหมือนจะหยิบขึ้นมา เราก็สอนว่า "No no, put it back please" พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวนปกติ อย่าเสียงดังนะคะ แรกๆแกอาจจะยังไม่วางเองทันที เราใช้วิธียื่นมือไปจับมือแก แล้วเอาไปวางที่เดิมให้แกเห็น หลังจากนั้นก็ชมว่า"good job!" หรืออะไรก็แล้วแต่เลยค่ะ เราทำแบบนี้ประมานสองสามครั้ง รู้ตัวอีกทีลูกก็ทำเองได้โดยที่เราไม่ต้องบอกเลยค่ะ คือถ้าแกเห็นไอแพดหรือไอโฟนวางอยู่ แกก็จะพูดพร้อมกับทำไม้ทำมือว่า 'no no' (บอกตัวเองเบาๆ) แล้วเดินไปทำอย่างอื่นแทน

Day7 :Victory
วันสุดท้าย เราจบสงคราม(ที่เต็มไปด้วยความรัก)ด้วยชัยชนะค่ะ ลูกไม่มีปฎิกริยาต่อไอแพด ไอโฟนอีกต่อไป เห็นใครใช้ก็ไม่เข้าไปขอดูเหมือนแต่ก่อน เราเองก็เลือกที่จะไม่ใช้ให้ลูกเห็น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตัวเค้าด้วย ของแถมที่เราได้จากการปฎิวัติครั้งนี้ คือ ลูกเราชอบหนังสือค่ะ เห็นหนังสือที่ไหนแกก็จะเข้าไปเปิดๆดู(ดูแต่รูป) และแกมีสมาธิมากขึ้น เรียนรู้คำศัพท์ได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ อันนี้จากประสบการณ์ของเราเลย จากที่เราเคยให้แกดูคลิปซ้ำๆ เป็น20-30ครั้ง แล้วแกพูดตามได้ คำสองคำ เราคิดดีใจ นึกว่าลูกเรียนรู้เร็ว จนมาวันนี้ ลูกเราเห็นหอยทาก เราก็ชี้แล้วบอกเค้าว่า "That's a snail" แค่คำเดียว วันต่อมา เราเดินผ่านที่เดิม พอลูกเห็นหอยทากปุ๊บ แกก็ชี้แล้วพูดว่า "snail" (แบบไม่ชัด) เราอึ้งมาก ไม่คิดว่าพูดแค่คำเดียวแล้วลูกจะจำได้ ถ้าที่ผ่านมาเราสอนลูกเอง ไม่หลงเสียเวลาไปให้กับไอแพดตั้งนาน ลูกเราคงได้อะไรมากกว่านี้

นี่จึงเป็นที่มาของกระทู้แรกของเราในครั้งนี้ เพื่อแชร์ประสบการณ์ที่เราพบเจอกับตัวเอง และเพื่อแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาลูกติดจอให้กับพ่อแม่คนอื่นๆที่อาจจะเจอปัญหาคล้ายๆกัน ในแบบฉบับและมุมของเราเอง ซึ่งแน่นอนว่าวิธีเหล่านี้ย่อมใช้ไม่ได้ผลกับทุกสถานการณ์ เพราะเด็กแต่ละคนมีความต่าง และปัจจัยของแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งคนเป็นพ่อแม่เองจะรู้ดีที่สุดว่าวิธีไหนดีที่สุดกับลูกเรา ส่วนสำหรับพ่อแม่คนไหนที่ยังชั่งใจ(เหมือนเราเมื่อก่อน)ว่าควรให้ลูกดูไอแพด ทีวีต่อไปดีไหม? เพราะเลี้ยงง่ายดี ลูกไม่กวน ไม่ดื้อไม่ซน ก็ขอให้คิดไว้เถิดว่า "อะไรที่ง่ายสำหรับเรา ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกแน่นอน" มีนักวิจัยคนนึงเคยบอกไว้ว่า 'เด็กได้ความรู้และพัฒนาสมองจากการเอาไม้เคาะกำแพง มากกว่าการนั่งดูทีวีเป็นชั่วโมงเสียอีก"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่