สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านนะครับ
ต้องขอสารภาพอะไรเล็กน้อยก่อนนะครับว่าจริงๆแล้วตัวผมเองนั้นเพิ่งจะได้ดูภาคสตาร์เกเซอร์แบบจริงๆจังๆ ก็เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เองครับ(ก่อนที่จะตั้งกระทู้"บ่น"ภาคเดสทินี่ไปไม่กี่สัปดาห์)
ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ได้ดูภาคนี้จนถึงช่วงเดือนเมษายนเลย ก็เนื่องจากเหตุผลเดิมๆที่ผมเคยบอกไปในกระทู้"บ่น"เรื่องเดสทินี่นั่นแหละครับอาทิเช่น "ตัวผมมันไม่อินกับสงครามในจักรวาล C.E. เอาเสียเลย ตัวละครในเรื่องก็มีแบ่งแยกดีชั่วชัดเจนเกินไป ไหนจะตัวละครแมรี่ ซูอีก(ลักส์) และยังมีการแก้ไขความขัดแย้งในเรื่องด้วยวิธีที่เป็นไปไม่ได้อีก"โดยเรื่องเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวผมนั้น รู้สึก"ขยาด"กับจักรวาล C.E. เต็มทนผมก็เลยยังไม่ได้ดูอนิเมเรื่องนี้เลยจนกระทั่งเดือนเมษาฯ นั่นแหละครับและตอนผมลองดูอนิเมเรื่องนี้เป็นครั้งแรกนั้นผมแทบจะไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย แต่ผมเองก็คิดผิดครับอนิเมเรื่องนี้กลับทำให้ผม"ประทับใจมาก"เลยทีเดียวและนั่นจึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ครับที่ผมจะมา"บอกเล่า"ความประทับใจที่ผมมีให้กับอนิเมเรื่องนี้ให้ทุกๆท่านได้ทราบกันครับ
เนื้อเรื่อง
ตอนแรกนั้นเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ตกของจูนิอุสเซเว่นไปที่โลก(ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะ เกิดขึ้นในภาคเดสทินี่ตอนที่ห้า)โดยฝีมือของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์ที่ยังฝักใฝ่ในอุดมการณ์ของ"แพททริค ซาล่า" ทำให้เกิดความเสียหายและความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง โดยเนื้อเรื่องในจุดนี้จะโฟกัสไปที่ตัวละคร"เซเลเน่ แม็คกริฟ"นักวิทยาศาสตร์สาวที่เป็นโคออร์ดิเนเตอร์ ขององค์กรวิจัยอิสระ DSSD ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อไปที่สถานีปล่อยกระสวยอวกาศที่บรรทุกโมบิลสูทรหัส 401 ไปยังอวกาศเพื่อทำการทดสอบ
แต่ตัวเธอต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เป็นผลพวงมาจากการการก่อการร้ายของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์นั่นเอง
ในตอนแรกนั้นมีฉากที่ตัวผมเองชอบมากๆถึงสามฉากด้วยกันครับ โดยฉากแรกที่ผมจะพูดคือฉากความโกลาหลหลังจากที่จูนิอุสเซเว่นตกลงไปยังสถานที่ต่างๆบนโลกครับ เพราะเราได้เห็นจริงๆครับว่า"สงครามส่งผลกระทบกับประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่"อย่างไรบ้าง(ในภาคซีด หรือ เดสทินี่นั้นส่วนใหญ่เราจะเห็นแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวกลุ่มตัวเอกแต่จะไม่ค่อยได้เจาะลึกหรือเห็นผลกระทบต่อประชาชนธรรมดาๆมากนัก) เราเห็นคลื่นสึนามิ คนตายและความเสียหาย ที่สำหรับตัวผมเองแล้วฉากเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ในการบอก"ความโหดร้ายของสงคราม"ได้ดีกว่าหลายๆฉากในภาคซีดหรือเดสทินี่รวมกันซะอีก
ฉากที่สองที่ผมจะพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นฉากที่กองกำลังพัธมิตรโลกส่งทหารและหน่วยกู้ภัยเพื่อไป"บรรเทาทุกข์"และ"ช่วยเหลือ"เหล่าประชาชนที่เดือดร้อนนั่นเองครับ เพราะฉากนี้ได้นำเสนอให้เราเห็น"ด้านดี"ของกองกำลังพัธมิตรโลกและ"พื้นที่สีเทา"ของทั้งสองฝ่ายได้ดีทีเดียวครับเมื่อเทียบกับภาคหลักเพราะในภาคซีดหรือเดสทินี่นั้นแทบจะไม่เคยนำเสนอฝ่ายพันธมิตรโลกในแง่ดีเลย(หรือตอนที่ฝ่ายพันธมิตรโลกมาร่วมมือกับซาฟต์ในภาคเดสทินี่เราเองก็ยังไม่ค่อยได้เห็นด้านดีซักเท่าไหร่)
ฉากสุดท้ายในตอนแรกที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือฉาก"เปิดค็อกพิท"ของจิน ที่ออกมาโจมตีเหล่าประชาชนที่รอดชีวิตมาได้นั่นเองครับ เพราะตัวผมเองนั้นมีความรู้สึกเสมอครับว่าความเกลียดชังที่ถูกแสดงออกมาในภาคซีดหรือเดสทินี่นั้น"มันไปไม่สุด" แต่ฉากนี้นั้นแทบจะทำให้ผมโยนความรู้สึก"ไม่สุด"ที่เคยมีนี้ทิ้งไปแทบไม่ทันเลยล่ะครับเพราะฉากนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันแสดงให้เห็นถึง"ความเกลียดชัง"ที่เด็กๆโคออร์ดิเนเตอร์สามคน มีให้เหล่าเนเชอรัลได้ดีเยี่ยมเลยครับ
ต่อมาในตอนที่สองเนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่ตัวละคร"สเวน คาลบายัน"
หนึ่งในสมาชิกของหน่วยแฟนธ่อม เพนผู้ขับโมบิลสูท สไตรค์ นัวร์ ตั้งแต่ในอดีตเลยครับว่าเดิมทีสเวนเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงได้มาเข้ากับแฟนธ่อม เพน การฝึกของสเวนในหน่วยเป็นอย่างไรบ้าง จนถึงฉากในปัจจุบันที่เป็นฉากการปฏิบัติภารกิจของสเวนในหน่วยและการได้รับคำสั่งไหม่ให้ไปโจมตีสถานีอวกาศของกลุ่ม DSSD (แต่ระหว่างนั้นก็มีการตัดสลับไปที่เซเลเน่ที่กำลังทำการทดสอบเจ้าโมบิลสูทรหัส 401 หรือ"สตาร์เกเซอร์" ในอวกาศด้วยครับ)
โดยฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษในตอนที่สองนั้นมีเพียงฉากเดียวครับแต่ก็เป็นฉากที่มีอิมแพคกับตัวผมเองไม่น้อยไปกว่าหลายๆฉากในตอนแรกเลยครับ ซึ่งนั่นก็คือฉากย้อนอดีตของสเวนนั่นเอง โดยฉากนี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคที่สุดของ ONA นี้สำหรับผมเลยก็ได้เพราะมันทำให้ผมเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าผลกระทบจาก"สงคราม"นั้นเปลี่ยนแปลงผู้คนได้แค่ไหนจากเดิมทีที่สเวนเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาๆที่อยากเป็นนักบินอวกาศแต่เขากลับถูกทำให้"บิดเบี้ยว"โดยสงครามและกลายเป็นเพียง"เครื่องจักรสังหาร"
ต่อมาครับในตอนที่สามซึ่งเป็นตอนสุดท้ายเนื้อเรื่องแทบจะต่อกับตอนที่สองโดยตรงเลยล่ะครับโดยจะดำเนินเนื้อเรื่องเป็นช่วงที่กลุ่มแฟนธ่อม เพนได้ทำการโจมตีองค์กร DSSD เพื่อแย่งชิงเทคโนโลยีโดยมี สเวน กับ เพื่อนของเขาอีกคนเป็นหัวหอกในการโจมตีหลัก แม้องค์กร DSSD จะพอมีการคุ้มกันอยู่บ้างแต่ก็สู้ทหารมืออาชีพที่ถูกฝึกมาไม่ได้อยู่ดีเซเลเน่จึงตัดสินใจขับ"สตาร์เกเซอร์"ออกไปต่อสู้และทำให้เหล่าแฟนธ่อม เพน(รวมถึงผมด้วย)ต้องตกใจในประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเจ้าโมบิลสูทที่เดิมทีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการต่อสู้ตัวนี้ สุดท้ายด้วยความเด็ดเดี่ยวของเซเลเน่และแผนการของเธอทำให้สามารถทำลายยานรบหลักและโมบิลสูทของหน่วยแฟนธ่อม เพนได้แต่ก็ทำให้ตัวเธอและสเวนต้องลงเอยลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศไปด้วยกัน แต่นั่นกลับกลายเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้จิตใจของสเวนหลุดพ้นจากการเป็นเพียงแค่"เครื่องจักรสังหาร"
ตอนที่สามนี่ฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษก็มีอยู่เพียงแค่ฉากเดียวเช่นกันครับแต่ฉากนี้นั้นสำหรับผมแล้วเป็นฉากที่ให้อิมแพค รองจากฉากฝึกในตอนที่สองแค่นิดเดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือฉากที่เซลีนช่วยเหลือสเวนและพากลับไปด้วยกันนั่นเอง เพราะฉากนี้นั้นเป็นฉากที่ทำให้สเวนได้รับรู้ครับว่าโคออร์ดิเนเตอร์ไม่ได้โหดร้าย ป่าเถื่อน หรืออะไรเลยแต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆที่กลัวตายเหมือนเนเชอรัลอย่างเขาเช่นกัน นอกจากนั้นเซเลเน่ยังเป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตเขาเอาใว้ทั้งๆที่เขาพยายามจะฆ่าเธออีกด้วย และนั่นแหละครับที่มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสเวนจากที่เขาเดิมทีมีเพียง"ความเกลียดชัง"ให้โคออร์ดิเนเตอร์เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มีความเกลียดชังเหล่านั้นอีกแล้ว"เครื่องจักรสังหาร"ที่เขาเคยเป็นตอนนี้มันก็คงตายจากไปแล้วเหลือเพียง"สเวนคนเดิมที่อยากเป็นนักบินอวกาศ"เท่านั้นเอง
ตัวละคร
สเวน คาลบายัน "เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้กลายเครื่องจักรสังหาร"
เจ้าพระเอกหน้าแก่นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ผมสามารถจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ยากเลยล่ะครับ เพราะเดิมทีชีวิตของเจ้าหมอนี่นั้นเรียกได้ว่าตกเป็น"เหยื่อ"ของสงครามและเหล่าบลูคอสมอสได้อย่างเต็มปาก จากที่เดิมทีสเวนนั้นเคยเป็นเพียงเด็กชายธรรมดาๆคนนึงที่มีความฝันแต่เขากลับต้องเผชิญเหตุก่อการร้ายทำให้ต้องสูญเสียครอบครัวและความฝันไป และต้องมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามอีกทำให้ผมอดรู้สึก"สงสาร"เขาไม่ได้ และลงเอย"เกลียดไม่ลง"เมื่อเห็นเขาทำเรื่องโหดร้ายอย่างฆ่าคนบริสุทธิ์ในตอนที่สองไปเลย และพอถึงตอนที่สามผมเองก็อดดีใจไปกับสเวนไม่ได้ครับที่เขา"หลุดพ้นจากความเกลียดชังแล้ว"
เซเลเน่ แม็คกริฟ
อย่าแปลกใจนะครับที่ผมไม่ได้ใส่นิยามหรือฉายาอะไรให้เธอเลยนะครับนั่นเป็นเพราะว่า ผมยังแทบไม่ได้รู้จักคาแร็คเตอร์หรือเรื่องในอดีตของเธอแบบเต็มที่เลยนอกจากที่ว่า เธอเป็นคนฉลาด เด็ดเดี่ยว ใจดี แล้วเราก็แทบไม่รู้อย่าอื่นเลย(และบทบาทของเธอในเรื่องก็นอกจากเป็นคนที่ช่วยทำให้ สเวน มีการพัฒนาจิตใจและเป็นคนสำคัญในการทดสอบ"สตาร์เกเซอร์"แล้วนอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย)แต่ที่ผมยังใส่เธอเข้ามาก็เพราะว่าผมประทับใจในความเด็ดเดี่ยวของเธอตอนที่เอาสตาร์เกเซอร์เข้าไปล็อคตัวสไตรค์ นัวร์น่ะครับ
ก็จบลงไปแล้วล่ะนะครับสำหรับกระทู้บอกเล่าความประทับใจของผม ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ
ปล.มีอะไรคิดเห็นไม่ตรงกันก็ลองมาถกกันที่คอมเม้นต์ดูนะครับ
Mobile Suit Gundam SEED C.E.73 Stargazer ทั้งๆที่เป็นเพียง"side story"แต่กลับเจิดจรัสยิ่งกว่าภาคหลักเสียนี่
ต้องขอสารภาพอะไรเล็กน้อยก่อนนะครับว่าจริงๆแล้วตัวผมเองนั้นเพิ่งจะได้ดูภาคสตาร์เกเซอร์แบบจริงๆจังๆ ก็เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เองครับ(ก่อนที่จะตั้งกระทู้"บ่น"ภาคเดสทินี่ไปไม่กี่สัปดาห์)
ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ได้ดูภาคนี้จนถึงช่วงเดือนเมษายนเลย ก็เนื่องจากเหตุผลเดิมๆที่ผมเคยบอกไปในกระทู้"บ่น"เรื่องเดสทินี่นั่นแหละครับอาทิเช่น "ตัวผมมันไม่อินกับสงครามในจักรวาล C.E. เอาเสียเลย ตัวละครในเรื่องก็มีแบ่งแยกดีชั่วชัดเจนเกินไป ไหนจะตัวละครแมรี่ ซูอีก(ลักส์) และยังมีการแก้ไขความขัดแย้งในเรื่องด้วยวิธีที่เป็นไปไม่ได้อีก"โดยเรื่องเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวผมนั้น รู้สึก"ขยาด"กับจักรวาล C.E. เต็มทนผมก็เลยยังไม่ได้ดูอนิเมเรื่องนี้เลยจนกระทั่งเดือนเมษาฯ นั่นแหละครับและตอนผมลองดูอนิเมเรื่องนี้เป็นครั้งแรกนั้นผมแทบจะไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันเลย แต่ผมเองก็คิดผิดครับอนิเมเรื่องนี้กลับทำให้ผม"ประทับใจมาก"เลยทีเดียวและนั่นจึงเป็นที่มาของกระทู้นี้ครับที่ผมจะมา"บอกเล่า"ความประทับใจที่ผมมีให้กับอนิเมเรื่องนี้ให้ทุกๆท่านได้ทราบกันครับ
เนื้อเรื่อง
ตอนแรกนั้นเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ตกของจูนิอุสเซเว่นไปที่โลก(ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะ เกิดขึ้นในภาคเดสทินี่ตอนที่ห้า)โดยฝีมือของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์ที่ยังฝักใฝ่ในอุดมการณ์ของ"แพททริค ซาล่า" ทำให้เกิดความเสียหายและความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง โดยเนื้อเรื่องในจุดนี้จะโฟกัสไปที่ตัวละคร"เซเลเน่ แม็คกริฟ"นักวิทยาศาสตร์สาวที่เป็นโคออร์ดิเนเตอร์ ขององค์กรวิจัยอิสระ DSSD ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อไปที่สถานีปล่อยกระสวยอวกาศที่บรรทุกโมบิลสูทรหัส 401 ไปยังอวกาศเพื่อทำการทดสอบ
แต่ตัวเธอต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เป็นผลพวงมาจากการการก่อการร้ายของเหล่าโคออร์ดิเนเตอร์นั่นเอง
ในตอนแรกนั้นมีฉากที่ตัวผมเองชอบมากๆถึงสามฉากด้วยกันครับ โดยฉากแรกที่ผมจะพูดคือฉากความโกลาหลหลังจากที่จูนิอุสเซเว่นตกลงไปยังสถานที่ต่างๆบนโลกครับ เพราะเราได้เห็นจริงๆครับว่า"สงครามส่งผลกระทบกับประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่"อย่างไรบ้าง(ในภาคซีด หรือ เดสทินี่นั้นส่วนใหญ่เราจะเห็นแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆตัวกลุ่มตัวเอกแต่จะไม่ค่อยได้เจาะลึกหรือเห็นผลกระทบต่อประชาชนธรรมดาๆมากนัก) เราเห็นคลื่นสึนามิ คนตายและความเสียหาย ที่สำหรับตัวผมเองแล้วฉากเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ในการบอก"ความโหดร้ายของสงคราม"ได้ดีกว่าหลายๆฉากในภาคซีดหรือเดสทินี่รวมกันซะอีก
ฉากที่สองที่ผมจะพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นฉากที่กองกำลังพัธมิตรโลกส่งทหารและหน่วยกู้ภัยเพื่อไป"บรรเทาทุกข์"และ"ช่วยเหลือ"เหล่าประชาชนที่เดือดร้อนนั่นเองครับ เพราะฉากนี้ได้นำเสนอให้เราเห็น"ด้านดี"ของกองกำลังพัธมิตรโลกและ"พื้นที่สีเทา"ของทั้งสองฝ่ายได้ดีทีเดียวครับเมื่อเทียบกับภาคหลักเพราะในภาคซีดหรือเดสทินี่นั้นแทบจะไม่เคยนำเสนอฝ่ายพันธมิตรโลกในแง่ดีเลย(หรือตอนที่ฝ่ายพันธมิตรโลกมาร่วมมือกับซาฟต์ในภาคเดสทินี่เราเองก็ยังไม่ค่อยได้เห็นด้านดีซักเท่าไหร่)
ฉากสุดท้ายในตอนแรกที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือฉาก"เปิดค็อกพิท"ของจิน ที่ออกมาโจมตีเหล่าประชาชนที่รอดชีวิตมาได้นั่นเองครับ เพราะตัวผมเองนั้นมีความรู้สึกเสมอครับว่าความเกลียดชังที่ถูกแสดงออกมาในภาคซีดหรือเดสทินี่นั้น"มันไปไม่สุด" แต่ฉากนี้นั้นแทบจะทำให้ผมโยนความรู้สึก"ไม่สุด"ที่เคยมีนี้ทิ้งไปแทบไม่ทันเลยล่ะครับเพราะฉากนี้นั้นสำหรับผมแล้วมันแสดงให้เห็นถึง"ความเกลียดชัง"ที่เด็กๆโคออร์ดิเนเตอร์สามคน มีให้เหล่าเนเชอรัลได้ดีเยี่ยมเลยครับ
ต่อมาในตอนที่สองเนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่ตัวละคร"สเวน คาลบายัน"
หนึ่งในสมาชิกของหน่วยแฟนธ่อม เพนผู้ขับโมบิลสูท สไตรค์ นัวร์ ตั้งแต่ในอดีตเลยครับว่าเดิมทีสเวนเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงได้มาเข้ากับแฟนธ่อม เพน การฝึกของสเวนในหน่วยเป็นอย่างไรบ้าง จนถึงฉากในปัจจุบันที่เป็นฉากการปฏิบัติภารกิจของสเวนในหน่วยและการได้รับคำสั่งไหม่ให้ไปโจมตีสถานีอวกาศของกลุ่ม DSSD (แต่ระหว่างนั้นก็มีการตัดสลับไปที่เซเลเน่ที่กำลังทำการทดสอบเจ้าโมบิลสูทรหัส 401 หรือ"สตาร์เกเซอร์" ในอวกาศด้วยครับ)
โดยฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษในตอนที่สองนั้นมีเพียงฉากเดียวครับแต่ก็เป็นฉากที่มีอิมแพคกับตัวผมเองไม่น้อยไปกว่าหลายๆฉากในตอนแรกเลยครับ ซึ่งนั่นก็คือฉากย้อนอดีตของสเวนนั่นเอง โดยฉากนี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคที่สุดของ ONA นี้สำหรับผมเลยก็ได้เพราะมันทำให้ผมเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าผลกระทบจาก"สงคราม"นั้นเปลี่ยนแปลงผู้คนได้แค่ไหนจากเดิมทีที่สเวนเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาๆที่อยากเป็นนักบินอวกาศแต่เขากลับถูกทำให้"บิดเบี้ยว"โดยสงครามและกลายเป็นเพียง"เครื่องจักรสังหาร"
ต่อมาครับในตอนที่สามซึ่งเป็นตอนสุดท้ายเนื้อเรื่องแทบจะต่อกับตอนที่สองโดยตรงเลยล่ะครับโดยจะดำเนินเนื้อเรื่องเป็นช่วงที่กลุ่มแฟนธ่อม เพนได้ทำการโจมตีองค์กร DSSD เพื่อแย่งชิงเทคโนโลยีโดยมี สเวน กับ เพื่อนของเขาอีกคนเป็นหัวหอกในการโจมตีหลัก แม้องค์กร DSSD จะพอมีการคุ้มกันอยู่บ้างแต่ก็สู้ทหารมืออาชีพที่ถูกฝึกมาไม่ได้อยู่ดีเซเลเน่จึงตัดสินใจขับ"สตาร์เกเซอร์"ออกไปต่อสู้และทำให้เหล่าแฟนธ่อม เพน(รวมถึงผมด้วย)ต้องตกใจในประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเจ้าโมบิลสูทที่เดิมทีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการต่อสู้ตัวนี้ สุดท้ายด้วยความเด็ดเดี่ยวของเซเลเน่และแผนการของเธอทำให้สามารถทำลายยานรบหลักและโมบิลสูทของหน่วยแฟนธ่อม เพนได้แต่ก็ทำให้ตัวเธอและสเวนต้องลงเอยลอยเท้งเต้งอยู่ในอวกาศไปด้วยกัน แต่นั่นกลับกลายเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้จิตใจของสเวนหลุดพ้นจากการเป็นเพียงแค่"เครื่องจักรสังหาร"
ตอนที่สามนี่ฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษก็มีอยู่เพียงแค่ฉากเดียวเช่นกันครับแต่ฉากนี้นั้นสำหรับผมแล้วเป็นฉากที่ให้อิมแพค รองจากฉากฝึกในตอนที่สองแค่นิดเดียวเท่านั้นครับ นั่นก็คือฉากที่เซลีนช่วยเหลือสเวนและพากลับไปด้วยกันนั่นเอง เพราะฉากนี้นั้นเป็นฉากที่ทำให้สเวนได้รับรู้ครับว่าโคออร์ดิเนเตอร์ไม่ได้โหดร้าย ป่าเถื่อน หรืออะไรเลยแต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆที่กลัวตายเหมือนเนเชอรัลอย่างเขาเช่นกัน นอกจากนั้นเซเลเน่ยังเป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตเขาเอาใว้ทั้งๆที่เขาพยายามจะฆ่าเธออีกด้วย และนั่นแหละครับที่มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสเวนจากที่เขาเดิมทีมีเพียง"ความเกลียดชัง"ให้โคออร์ดิเนเตอร์เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มีความเกลียดชังเหล่านั้นอีกแล้ว"เครื่องจักรสังหาร"ที่เขาเคยเป็นตอนนี้มันก็คงตายจากไปแล้วเหลือเพียง"สเวนคนเดิมที่อยากเป็นนักบินอวกาศ"เท่านั้นเอง
ตัวละคร
สเวน คาลบายัน "เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้กลายเครื่องจักรสังหาร"
เจ้าพระเอกหน้าแก่นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ผมสามารถจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ไม่ยากเลยล่ะครับ เพราะเดิมทีชีวิตของเจ้าหมอนี่นั้นเรียกได้ว่าตกเป็น"เหยื่อ"ของสงครามและเหล่าบลูคอสมอสได้อย่างเต็มปาก จากที่เดิมทีสเวนนั้นเคยเป็นเพียงเด็กชายธรรมดาๆคนนึงที่มีความฝันแต่เขากลับต้องเผชิญเหตุก่อการร้ายทำให้ต้องสูญเสียครอบครัวและความฝันไป และต้องมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามอีกทำให้ผมอดรู้สึก"สงสาร"เขาไม่ได้ และลงเอย"เกลียดไม่ลง"เมื่อเห็นเขาทำเรื่องโหดร้ายอย่างฆ่าคนบริสุทธิ์ในตอนที่สองไปเลย และพอถึงตอนที่สามผมเองก็อดดีใจไปกับสเวนไม่ได้ครับที่เขา"หลุดพ้นจากความเกลียดชังแล้ว"
เซเลเน่ แม็คกริฟ
อย่าแปลกใจนะครับที่ผมไม่ได้ใส่นิยามหรือฉายาอะไรให้เธอเลยนะครับนั่นเป็นเพราะว่า ผมยังแทบไม่ได้รู้จักคาแร็คเตอร์หรือเรื่องในอดีตของเธอแบบเต็มที่เลยนอกจากที่ว่า เธอเป็นคนฉลาด เด็ดเดี่ยว ใจดี แล้วเราก็แทบไม่รู้อย่าอื่นเลย(และบทบาทของเธอในเรื่องก็นอกจากเป็นคนที่ช่วยทำให้ สเวน มีการพัฒนาจิตใจและเป็นคนสำคัญในการทดสอบ"สตาร์เกเซอร์"แล้วนอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย)แต่ที่ผมยังใส่เธอเข้ามาก็เพราะว่าผมประทับใจในความเด็ดเดี่ยวของเธอตอนที่เอาสตาร์เกเซอร์เข้าไปล็อคตัวสไตรค์ นัวร์น่ะครับ
ก็จบลงไปแล้วล่ะนะครับสำหรับกระทู้บอกเล่าความประทับใจของผม ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ
ปล.มีอะไรคิดเห็นไม่ตรงกันก็ลองมาถกกันที่คอมเม้นต์ดูนะครับ