เรื่อง กรงขังแห่งความคิด โดย คุณ อิ่มเอม ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 43 ค่ะ
ตั้งแต่จำความได้ ฉันเป็นคนขี้กังวลและขี้กลัวมากเหลือเกิน ฉันมักจะกังวลไปกับเรื่องต่าง ๆ ที่ยังมาไม่ถึง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อนาคตที่คาดเดาไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ช่างน่ากลัวเหลือเกินสำหรับฉัน
ความกลัวและกังวลอยู่กับฉันเรื่อยมาจนกระทั่งฉันโต ฉันก็ยังไม่เลิกกังวลกับอนาคต ทั้ง ๆ ที่ถ้าคนอื่นภายนอกมองดูฉัน ก็จะรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าจะต้องกังวลเลย ชีวิตฉันก็ดูเหมือนจะราบรื่นดีและมีอนาคตที่ดี แต่ไม่ว่าคนอื่นจะบอกยังไง ฉันก็ยังคงกังวลอยู่เรื่อยมา
นอกจากจะเป็นคนที่กลัวกับอนาคตมากแล้ว ฉันยังเป็นคนที่จมอยู่กับอดีตได้นาน ๆ อีกด้วย อดีตที่ดี ๆ ฉันก็มักจะหวนนึกถึงมันอยู่เรื่อย ๆ ชอบเหม่อคิดถึงเรื่องดี ๆ ในอดีต คิดได้เป็นชั่วโมง ๆ พร้อมกับความรู้สึกที่เลี่ยงไม่ได้คือ เสียดายที่มันเป็นแค่อดีต แต่ฉันก็ไม่ได้คิดแต่เรื่องดี ๆ นะ เรื่องร้าย ๆ ในอดีตฉันก็เก็บมาคิดได้บ่อยไม่แพ้กัน ซึ่งเรื่องเหล่านั้นก็กลับมาทำร้ายจิตใจฉันได้บ่อยเท่าจำนวนครั้งที่คิดถึงนั่นเอง
นิสัยช่างคิด ช่างกังวล อยู่ติดตัวฉันมาตลอด และก่อนหน้านี้ก็เหมือนฉันจะมองไม่ออกด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นเครื่องถ่วงให้ชีวิตฉันไม่มีความสุข จนกระทั่งได้เริ่มมาศึกษาพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันบังเอิญอ่านเจอธรรมะสั้น ๆ บทหนึ่งของท่านเว่ยหล่าง (พระเถระนิกายเซน) จากหนังสือเรื่องสูตรของท่านเว่ยหล่างแปลโดยท่านพุทธทาส ที่ว่า ...
“จงปล่อยให้อดีตเป็นอดีต ถ้าเราเผลอให้ความคิดของเราที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต มาจัดติดต่อกันเป็นห่วงโซ่แล้ว ก็หมายความว่าเราจับตัวเองใส่กรงขัง”
คำสอนบทนี้เหมือนกระแทกลงมาตรงใจฉันเหลือเกิน ฉันเป็นอย่างนี้มาตลอดชีวิตเลย ที่ผ่านมาฉันขังตัวเองอยู่ในความคิดในอดีตและอนาคต ทำไมฉันไม่เคยมองเห็นเลยนะว่าฉันสร้างความคิดขึ้นมาขังจิตใจตัวเองอยู่
จากนั้นมาฉันก็เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจังมากขึ้น เริ่มศึกษาหาแนวทางปฏิบัติ และน้อมเอาธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
มีคนแนะนำว่า ในเมื่อฉันเป็นคนมีความทุกข์เพราะความคิด เป็นคนคิดมาก ฉันควรจะปฏิบัติธรรมตามแนวจิตตานุปัสสนา (คือการมีสติตามรู้จิตใจตามความเป็นจริง) และมีกัลยาณมิตรหลายท่านแนะนำให้ฉันรู้จักครูบาอาจารย์ทางสายนี้
หลังจากหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมตามแนวนี้มาได้เกือบสองปี ฉันก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในทางที่ดีขึ้น
ระยะเวลาที่ฉันเหม่อ ๆ ไปถึงอดีตนั้นสั้นลงมาก ความคิดกังวลในเรื่องอนาคตก็น้อยลง
ฉันมีความสุขอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น จิตใจฉันโล่ง โปร่งสบายมากขึ้น ฉันเริ่มสัมผัสกับความรู้สึกเต็มอิ่มและเบิกบานจากการอยู่กับปัจจุบัน
จากที่เคยขี้กังวลและเหมือนแบกอะไรหนัก ๆ อยู่ในใจ อาการแบบนั้นก็เริ่มน้อยลง ฉันรู้สึกว่าอดีตดูเหมือนอยู่ไกล ๆ ตัวฉันออกไปกว่าเดิม
ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้ายมันก็จบ ก็ขาดออกไปเช่นเดียวกัน อนาคตก็เช่นกัน มันเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ห่าง ๆ ออกไป
ฉันเริ่มรู้สึกว่าอดีตและอนาคตมันเกิดขึ้นได้เพราะ ความคิดของเราเอง ตราบใดที่เรามีสติอยู่ในปัจจุบัน อดีตและอนาคตย่อมไม่มีความหมาย และไม่สามารถจะทำร้ายจิตใจเราได้เลย
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของฉันหลังจากเริ่มปฏิบัติธรรมชัดเจนจนคนใกล้ตัวสังเกตได้ แต่ก่อนเวลาฉันกังวลเรื่องอะไร ฉันก็มักจะไปบ่นระบายให้แฟนและครอบครัวฟัง ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ กังวลเกี่ยวกับฉันไปด้วย แต่หลังจากปฏิบัติธรรมได้ซักระยะ ฉันก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปบ่นระบายให้ใครฟังบ่อย ๆ ฉันเลิกคาดหวังว่าจะมีใครเข้ามาปลอบเวลามีปัญหา ฉันรู้สึกว่าจิตใจเข้มแข็งขึ้น พึ่งตัวเองได้มากขึ้น พ่อแม่ก็เลิกกังวลเกี่ยวกับตัวฉัน แฟนฉันก็ไม่ต้องคอยเบื่อมานั่งฟังปัญหาของฉัน
นอกจากนี้ในทางโลกฉันก็รู้สึกว่าฉันทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย พอความกลัว ความกังวลลดน้อยลงไป ฉันก็กล้าที่จะทำอะไร ๆ ได้มากขึ้น พอระยะเวลาที่เคยใช้เหม่อ ๆ คิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้น้อยลงไป เวลาในชีวิตฉันดูมีมากขึ้นและมีคุณค่าขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางธรรมฉันก็ยังมองเห็นตัวเองเป็นแค่นักเรียนชั้นอนุบาล ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย ทุกวันนี้เวลาเจอเรื่องแย่ ๆ ฉันก็ยังคงเศร้าเสียใจ ร้องไห้เป็นบางครั้ง แต่เมื่อเทียบกับเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองพัฒนาขึ้น พัฒนาการทางจิตใจที่เห็นได้ ทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันมาถูกทาง ฉันพบทางที่จะช่วยแก้และคลายความทุกข์ในจิตใจได้จริง
จากนี้ไปก็เหลือแค่เดินหน้า พากเพียร ตามรู้ตามดูจิตใจต่อไป
นี่ขนาดเพิ่งเริ่มศึกษาได้ไม่นานนะ เทียบแล้วเป็นแค่เด็กอนุบาล ฉันยังมีความสุขมากขึ้นได้ขนาดนี้เลย แล้วนี่ถ้าฉันศึกษาเรียนรู้จิตใจตนเองไปจนรู้แจ้งจบหลักสูตรของพระพุทธศาสนาล่ะ ความสุขจะมากมายขนาดไหนกันนะ
ขออนุโมทนานะคะ
เรื่อง กรงขังแห่งความคิด โดย คุณ อิ่มเอม ค่ะ จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 43 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 43 ค่ะ
ตั้งแต่จำความได้ ฉันเป็นคนขี้กังวลและขี้กลัวมากเหลือเกิน ฉันมักจะกังวลไปกับเรื่องต่าง ๆ ที่ยังมาไม่ถึง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อนาคตที่คาดเดาไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ช่างน่ากลัวเหลือเกินสำหรับฉัน
ความกลัวและกังวลอยู่กับฉันเรื่อยมาจนกระทั่งฉันโต ฉันก็ยังไม่เลิกกังวลกับอนาคต ทั้ง ๆ ที่ถ้าคนอื่นภายนอกมองดูฉัน ก็จะรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าจะต้องกังวลเลย ชีวิตฉันก็ดูเหมือนจะราบรื่นดีและมีอนาคตที่ดี แต่ไม่ว่าคนอื่นจะบอกยังไง ฉันก็ยังคงกังวลอยู่เรื่อยมา
นอกจากจะเป็นคนที่กลัวกับอนาคตมากแล้ว ฉันยังเป็นคนที่จมอยู่กับอดีตได้นาน ๆ อีกด้วย อดีตที่ดี ๆ ฉันก็มักจะหวนนึกถึงมันอยู่เรื่อย ๆ ชอบเหม่อคิดถึงเรื่องดี ๆ ในอดีต คิดได้เป็นชั่วโมง ๆ พร้อมกับความรู้สึกที่เลี่ยงไม่ได้คือ เสียดายที่มันเป็นแค่อดีต แต่ฉันก็ไม่ได้คิดแต่เรื่องดี ๆ นะ เรื่องร้าย ๆ ในอดีตฉันก็เก็บมาคิดได้บ่อยไม่แพ้กัน ซึ่งเรื่องเหล่านั้นก็กลับมาทำร้ายจิตใจฉันได้บ่อยเท่าจำนวนครั้งที่คิดถึงนั่นเอง
นิสัยช่างคิด ช่างกังวล อยู่ติดตัวฉันมาตลอด และก่อนหน้านี้ก็เหมือนฉันจะมองไม่ออกด้วยซ้ำ ว่ามันเป็นเครื่องถ่วงให้ชีวิตฉันไม่มีความสุข จนกระทั่งได้เริ่มมาศึกษาพระพุทธศาสนา
วันหนึ่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันบังเอิญอ่านเจอธรรมะสั้น ๆ บทหนึ่งของท่านเว่ยหล่าง (พระเถระนิกายเซน) จากหนังสือเรื่องสูตรของท่านเว่ยหล่างแปลโดยท่านพุทธทาส ที่ว่า ...
“จงปล่อยให้อดีตเป็นอดีต ถ้าเราเผลอให้ความคิดของเราที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต มาจัดติดต่อกันเป็นห่วงโซ่แล้ว ก็หมายความว่าเราจับตัวเองใส่กรงขัง”
คำสอนบทนี้เหมือนกระแทกลงมาตรงใจฉันเหลือเกิน ฉันเป็นอย่างนี้มาตลอดชีวิตเลย ที่ผ่านมาฉันขังตัวเองอยู่ในความคิดในอดีตและอนาคต ทำไมฉันไม่เคยมองเห็นเลยนะว่าฉันสร้างความคิดขึ้นมาขังจิตใจตัวเองอยู่
จากนั้นมาฉันก็เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจังมากขึ้น เริ่มศึกษาหาแนวทางปฏิบัติ และน้อมเอาธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
มีคนแนะนำว่า ในเมื่อฉันเป็นคนมีความทุกข์เพราะความคิด เป็นคนคิดมาก ฉันควรจะปฏิบัติธรรมตามแนวจิตตานุปัสสนา (คือการมีสติตามรู้จิตใจตามความเป็นจริง) และมีกัลยาณมิตรหลายท่านแนะนำให้ฉันรู้จักครูบาอาจารย์ทางสายนี้
หลังจากหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมตามแนวนี้มาได้เกือบสองปี ฉันก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในทางที่ดีขึ้น
ระยะเวลาที่ฉันเหม่อ ๆ ไปถึงอดีตนั้นสั้นลงมาก ความคิดกังวลในเรื่องอนาคตก็น้อยลง
ฉันมีความสุขอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น จิตใจฉันโล่ง โปร่งสบายมากขึ้น ฉันเริ่มสัมผัสกับความรู้สึกเต็มอิ่มและเบิกบานจากการอยู่กับปัจจุบัน
จากที่เคยขี้กังวลและเหมือนแบกอะไรหนัก ๆ อยู่ในใจ อาการแบบนั้นก็เริ่มน้อยลง ฉันรู้สึกว่าอดีตดูเหมือนอยู่ไกล ๆ ตัวฉันออกไปกว่าเดิม
ไม่ว่าเรื่องดีเรื่องร้ายมันก็จบ ก็ขาดออกไปเช่นเดียวกัน อนาคตก็เช่นกัน มันเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ห่าง ๆ ออกไป
ฉันเริ่มรู้สึกว่าอดีตและอนาคตมันเกิดขึ้นได้เพราะ ความคิดของเราเอง ตราบใดที่เรามีสติอยู่ในปัจจุบัน อดีตและอนาคตย่อมไม่มีความหมาย และไม่สามารถจะทำร้ายจิตใจเราได้เลย
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของฉันหลังจากเริ่มปฏิบัติธรรมชัดเจนจนคนใกล้ตัวสังเกตได้ แต่ก่อนเวลาฉันกังวลเรื่องอะไร ฉันก็มักจะไปบ่นระบายให้แฟนและครอบครัวฟัง ซึ่งก็ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ กังวลเกี่ยวกับฉันไปด้วย แต่หลังจากปฏิบัติธรรมได้ซักระยะ ฉันก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปบ่นระบายให้ใครฟังบ่อย ๆ ฉันเลิกคาดหวังว่าจะมีใครเข้ามาปลอบเวลามีปัญหา ฉันรู้สึกว่าจิตใจเข้มแข็งขึ้น พึ่งตัวเองได้มากขึ้น พ่อแม่ก็เลิกกังวลเกี่ยวกับตัวฉัน แฟนฉันก็ไม่ต้องคอยเบื่อมานั่งฟังปัญหาของฉัน
นอกจากนี้ในทางโลกฉันก็รู้สึกว่าฉันทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย พอความกลัว ความกังวลลดน้อยลงไป ฉันก็กล้าที่จะทำอะไร ๆ ได้มากขึ้น พอระยะเวลาที่เคยใช้เหม่อ ๆ คิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้น้อยลงไป เวลาในชีวิตฉันดูมีมากขึ้นและมีคุณค่าขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางธรรมฉันก็ยังมองเห็นตัวเองเป็นแค่นักเรียนชั้นอนุบาล ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย ทุกวันนี้เวลาเจอเรื่องแย่ ๆ ฉันก็ยังคงเศร้าเสียใจ ร้องไห้เป็นบางครั้ง แต่เมื่อเทียบกับเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองพัฒนาขึ้น พัฒนาการทางจิตใจที่เห็นได้ ทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันมาถูกทาง ฉันพบทางที่จะช่วยแก้และคลายความทุกข์ในจิตใจได้จริง
จากนี้ไปก็เหลือแค่เดินหน้า พากเพียร ตามรู้ตามดูจิตใจต่อไป
นี่ขนาดเพิ่งเริ่มศึกษาได้ไม่นานนะ เทียบแล้วเป็นแค่เด็กอนุบาล ฉันยังมีความสุขมากขึ้นได้ขนาดนี้เลย แล้วนี่ถ้าฉันศึกษาเรียนรู้จิตใจตนเองไปจนรู้แจ้งจบหลักสูตรของพระพุทธศาสนาล่ะ ความสุขจะมากมายขนาดไหนกันนะ
ขออนุโมทนานะคะ