....สัพเพเหระธรรม....
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 41 ค่ะ
เด็กวัดอาสา ตอน ตามรอยเท้าพระคุณเจ้า
โดย กลางวัน
ตีห้าตรง เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างตรงเวลา แต่เปล่าหรอกฉันยังหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทราไม่ได้ยินอะไรเลย จนกระทั่งน้องต้องเอื้อมมือคว้านาฬิกาปลุกมาไว้ข้างหู ฉันจึงได้ยินเสียง ก็เวลานี้เป็นเวลาที่เช้ากว่าเวลาตื่นปกติของฉันเกือบสองชั่วโมงได้ แต่ฉันก็รีบลุกจากเตียงอย่างไม่อิดออด เพราะเป้าหมายของวันนี้คือ “การเป็นเด็กวัด”
เช้าวันนี้ฉันกับเพื่อนตกลงกันว่าจะไปช่วยหลวงพ่อถือข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาใส่บาตร เพราะหลวงพ่อท่านอายุมากแล้ว พวกเรามาถึงวัดกันประมาณตีห้าสี่สิบนาที ท้องฟ้ายังมืดสนิท จันทร์เสี้ยวข้างแรมดูสวยสว่าง ส่องแสงนำทางเราไปยังกุฏิของท่าน ปรากฏว่ามีเด็กวัดอาสามาถึงก่อนเราอีกสองคน รวมเป็นวันนี้มีเด็กวัดทั้งหมดสี่คน เพื่อนฉันถามหลวงพ่อว่าจะไปกันหรือยังครับ หลวงพ่อท่านจึงบอกให้รอให้ฟ้าสว่างกว่านี้ก่อน ฉันคิดว่าเป็นเพราะท่านเมตตาเห็นแก่เด็กวัดมือใหม่ ที่ไม่ชินทางอาจจะเดินสะดุดอะไร
หัวทิ่มหัวตำก็ได้
ฟ้าเริ่มมีแสงรำไรให้มองเห็นถนนได้ ฉันมองขบวนของพวกเราอย่างขำ ๆ เพราะพระหนึ่งรูปมีเด็กวัดเดินตามถึงสี่คน ท่านเมตตาหันมาบอกฉันซึ่งตัวเล็กที่สุดในขบวนว่าวันนี้เดินไกลนะ ต้องข้ามสะพานลอยด้วย จากนั้นท่านก็นำทางไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ฉันก้มลงมองพื้นเพราะกลัวจะเดินสะดุดหรือเหยียบอะไรสกปรก ๆ เข้า จึงได้เห็นว่าท่านไม่ได้ใส่รองเท้า ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นภาพที่พุทธศาสนิกชนเห็นกันทั่วไปว่าเวลาพระบิณฑบาตท่านจะไม่ใส่รองเท้า แต่วันนี้เมื่อเปลี่ยนมุมมองจากคนที่รอใส่บาตร เป็นฝ่ายเดินบ้าง ฉันก็ได้เห็นถึงความอดทนและเมตตาของท่าน ขนาดฉันใส่รองเท้าแท้ ๆ ยังมีเศษหินกระเด็นเข้ามาในรองเท้าให้เหยียบเจ็บ ๆ ไหนจะรังเกียจความสกปรกของพื้นถนน บางแห่งที่เดินผ่านก็มีน้ำเจิ่งนอง เดินได้สักพักก็มีอุบาสิกาสองแม่ลูกนิมนต์หลวงพ่อรับอาหาร น้องผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนเพื่อเตรียมไปโรงเรียนหลังจากใส่บาตรเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ เดินไปอีกไม่ไกลก็มีเสียงร้องไม่ดังนักว่า นิมนต์ค่ะ คงเพราะเห็นชายธงชัยพระอรหันต์อยู่แวบ ๆ พี่ผู้หญิงรีบกระโดดแผล็ว ๆ ออกจากประตูบ้าน เพื่อมาใส่บาตรก่อนไปทำงาน
หลวงพ่อท่านเดินนำลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ ริมคลองระบายน้ำที่เริ่มส่งกลิ่นและมีสีดำ ทางเดินนั้นแคบจนแทบเดินสวนกันไม่ได้ในบางช่วง เป็นกรุงเทพฯ ในมุมที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านเดินมาจนถึงบ้านของโยมท่านหนึ่งซึ่งคงนิมนต์ท่านเป็นประจำ เพราะโยมนิมนต์ท่านและเชิญทีมเด็กวัดทั้งสี่เข้าบ้าน จากนั้นก็ถวายกาแฟให้ท่านฉันและคุณโยมท่านนี้ยังมีน้ำใจชงกาแฟแจกพวกเราคนละถ้วยด้วย ในขณะที่เดินทางกลับวัดผ่านทางริมคลองแคบ ๆ นั้น ฉันก็พบภาพประทับใจอีกภาพหนึ่งคือ โยมผู้หญิงที่เดินสวนมานั้น หลบทางให้หลวงพ่อโดยการปีนข้ามรั้วกั้นไปยืนตรงคานเล็ก ๆ ที่พาดระหว่างทางระบายน้ำอย่างไม่กลัวตก เพื่อให้หลวงพ่อท่านได้มีทางเดิน _/|\_ ขากลับมีญาติโยมใส่บาตรพอสมควรจนเพื่อนฉันแซวว่า โยมอาจจะเห็นว่าหลวงพ่อท่านมีเด็กวัดต้องเลี้ยงเยอะก็ได้ ^___^
เมื่อกลับถึงวัดเพื่อนฉันก็จัดแจงเตรียมน้ำเพื่อล้างเท้าให้หลวงพ่อ จากนั้นเราก็กราบลาท่านเพื่อไปทำหน้าที่การงานที่รออยู่ด้วยจิตใจชุ่มชื่นอิ่มสุขเป็นที่สุด
เด็กวัดอาสา ตอน ตามรอยเท้าพระคุณเจ้า โดย กลางวัน ....สัพเพเหระธรรม.... จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 41 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 41 ค่ะ
เด็กวัดอาสา ตอน ตามรอยเท้าพระคุณเจ้า
โดย กลางวัน
ตีห้าตรง เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างตรงเวลา แต่เปล่าหรอกฉันยังหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทราไม่ได้ยินอะไรเลย จนกระทั่งน้องต้องเอื้อมมือคว้านาฬิกาปลุกมาไว้ข้างหู ฉันจึงได้ยินเสียง ก็เวลานี้เป็นเวลาที่เช้ากว่าเวลาตื่นปกติของฉันเกือบสองชั่วโมงได้ แต่ฉันก็รีบลุกจากเตียงอย่างไม่อิดออด เพราะเป้าหมายของวันนี้คือ “การเป็นเด็กวัด”
เช้าวันนี้ฉันกับเพื่อนตกลงกันว่าจะไปช่วยหลวงพ่อถือข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาใส่บาตร เพราะหลวงพ่อท่านอายุมากแล้ว พวกเรามาถึงวัดกันประมาณตีห้าสี่สิบนาที ท้องฟ้ายังมืดสนิท จันทร์เสี้ยวข้างแรมดูสวยสว่าง ส่องแสงนำทางเราไปยังกุฏิของท่าน ปรากฏว่ามีเด็กวัดอาสามาถึงก่อนเราอีกสองคน รวมเป็นวันนี้มีเด็กวัดทั้งหมดสี่คน เพื่อนฉันถามหลวงพ่อว่าจะไปกันหรือยังครับ หลวงพ่อท่านจึงบอกให้รอให้ฟ้าสว่างกว่านี้ก่อน ฉันคิดว่าเป็นเพราะท่านเมตตาเห็นแก่เด็กวัดมือใหม่ ที่ไม่ชินทางอาจจะเดินสะดุดอะไร
หัวทิ่มหัวตำก็ได้
ฟ้าเริ่มมีแสงรำไรให้มองเห็นถนนได้ ฉันมองขบวนของพวกเราอย่างขำ ๆ เพราะพระหนึ่งรูปมีเด็กวัดเดินตามถึงสี่คน ท่านเมตตาหันมาบอกฉันซึ่งตัวเล็กที่สุดในขบวนว่าวันนี้เดินไกลนะ ต้องข้ามสะพานลอยด้วย จากนั้นท่านก็นำทางไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ฉันก้มลงมองพื้นเพราะกลัวจะเดินสะดุดหรือเหยียบอะไรสกปรก ๆ เข้า จึงได้เห็นว่าท่านไม่ได้ใส่รองเท้า ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นภาพที่พุทธศาสนิกชนเห็นกันทั่วไปว่าเวลาพระบิณฑบาตท่านจะไม่ใส่รองเท้า แต่วันนี้เมื่อเปลี่ยนมุมมองจากคนที่รอใส่บาตร เป็นฝ่ายเดินบ้าง ฉันก็ได้เห็นถึงความอดทนและเมตตาของท่าน ขนาดฉันใส่รองเท้าแท้ ๆ ยังมีเศษหินกระเด็นเข้ามาในรองเท้าให้เหยียบเจ็บ ๆ ไหนจะรังเกียจความสกปรกของพื้นถนน บางแห่งที่เดินผ่านก็มีน้ำเจิ่งนอง เดินได้สักพักก็มีอุบาสิกาสองแม่ลูกนิมนต์หลวงพ่อรับอาหาร น้องผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนเพื่อเตรียมไปโรงเรียนหลังจากใส่บาตรเป็นภาพที่ประทับใจมาก ๆ เดินไปอีกไม่ไกลก็มีเสียงร้องไม่ดังนักว่า นิมนต์ค่ะ คงเพราะเห็นชายธงชัยพระอรหันต์อยู่แวบ ๆ พี่ผู้หญิงรีบกระโดดแผล็ว ๆ ออกจากประตูบ้าน เพื่อมาใส่บาตรก่อนไปทำงาน
หลวงพ่อท่านเดินนำลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ ริมคลองระบายน้ำที่เริ่มส่งกลิ่นและมีสีดำ ทางเดินนั้นแคบจนแทบเดินสวนกันไม่ได้ในบางช่วง เป็นกรุงเทพฯ ในมุมที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านเดินมาจนถึงบ้านของโยมท่านหนึ่งซึ่งคงนิมนต์ท่านเป็นประจำ เพราะโยมนิมนต์ท่านและเชิญทีมเด็กวัดทั้งสี่เข้าบ้าน จากนั้นก็ถวายกาแฟให้ท่านฉันและคุณโยมท่านนี้ยังมีน้ำใจชงกาแฟแจกพวกเราคนละถ้วยด้วย ในขณะที่เดินทางกลับวัดผ่านทางริมคลองแคบ ๆ นั้น ฉันก็พบภาพประทับใจอีกภาพหนึ่งคือ โยมผู้หญิงที่เดินสวนมานั้น หลบทางให้หลวงพ่อโดยการปีนข้ามรั้วกั้นไปยืนตรงคานเล็ก ๆ ที่พาดระหว่างทางระบายน้ำอย่างไม่กลัวตก เพื่อให้หลวงพ่อท่านได้มีทางเดิน _/|\_ ขากลับมีญาติโยมใส่บาตรพอสมควรจนเพื่อนฉันแซวว่า โยมอาจจะเห็นว่าหลวงพ่อท่านมีเด็กวัดต้องเลี้ยงเยอะก็ได้ ^___^
เมื่อกลับถึงวัดเพื่อนฉันก็จัดแจงเตรียมน้ำเพื่อล้างเท้าให้หลวงพ่อ จากนั้นเราก็กราบลาท่านเพื่อไปทำหน้าที่การงานที่รออยู่ด้วยจิตใจชุ่มชื่นอิ่มสุขเป็นที่สุด