เกาะพยาม 4 วัน 3 คืน” ฉบับ “นักศึกษา”
สวัสดีครับ...เมื่อวันหยุดยาวพวกเราไปเที่ยวเกาะพยามกัน ซึ่งพวกเราประทับใจในธรรมชาติที่สวยงาม ความธรรมดา และเรื่องเล่าของผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะ ประทับใจแบบมากๆครับ พวกเขามีน้ำใจกับพวกเรา รอยยิ้มที่พวกเขามอบให้ผู้มาเยือนทุกๆคนนั้นออกมาจากใจจริงๆพวกเราจึงมาเขียนรีวิวเกาะพยามขึ้น เผื่อคนที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวจะได้ประทับใจแบบพวกเรา
***************************************************************
ทริปนี้เริ่มจากการที่เราต้องทำงานในวิชาที่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยโดยเราต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเที่ยวในรูปแบบ Backpacker โดยหัวข้อที่ว่า Low Price High Experience ซึ่งจากการที่พวกเราไล่ดูสถานที่ที่น่าสนใจตามเวปไซส์ต่างๆก็พบว่า เกาะพยามคือสถานที่ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่
สมาชิกของพวกเรามีกันทั้งหมด 6 คน เริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 8-12 เมษายน 2559
จากการที่ได้เรียนวิชาท่องเที่ยว เหล่าอาจารย์ผู้เจนจัดในการท่องเที่ยวสอนพวกเราไว้ว่า
“นักเดินทางที่ดีต้องวางแผนการเดินทาง ทั้งที่พัก สถานที่ที่จะไปเยี่ยมชม อาหารที่เราอยากกิน อย่าไปแบบไม่มีแผน มันอาจจะทำให้เราพลาดอะไรดีๆในสถานที่นั้นๆ”
การเดินทางครั้งนี้เราได้วางแผนตามคำสอนของอาจารย์ จองที่พักไว้ที่ Coffee & Resort สามวันสองคืน คือคืนวันที่ 9 และคืนวันที่ 10 เมษายน
วันที่ 8 เมษา เราเริ่มออกจากมหาวิทยาลัยไปที่สายใต้ใหม่เพื่อขึ้นรถ บขส.กรุงเทพ-ระนอง กะเปอร์ เที่ยว 20.30 น.(ตัดสินใจไปรอบนี้เพราะกะจะนอนบนรถตื่นเช้ามาเดินทางไปเกาะพยามด้วยเรือเที่ยวแรกพอดี)
รถออกสองทุ่มครึ่ง พวกเราตื่นเต้นอยากเที่ยวจึงรีบไปที่สายใต้ใหม่ตั้งแต่หกโมงเย็น เอาหน่าถือคติไปถึงก่อนดีกว่าไปช้า ช่วงที่เราไป ตรงกับช่วงที่คนกำลังเดินทางกลับบ้านพอดี คนจึงแน่นเป็นพิเศษ พวกเขาเดินทาง พวกเราก็เดินทาง เราเดินทางเหมือนกัน แต่ด้วยจุดหมายปลายทางที่ต่างกัน พวกเราเดินทางเพื่อค้นหาความท้าทาย พวกเขาเดินทางเพื่อกลับไปหาความเรียบง่ายอบอุ่นในครอบครัว
อย่างแรกที่ทำเมื่อมาถึง ไปรับตั๋วโดยสารที่เคาท์เตอร์ บขส.
ถึงแล้วครับขนส่ง ระนอง เราถึงกันตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้าทำให้ฟ้ายังมืดๆอยู่เลยแต่เราต้องเดินทางต่อเพราะต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ
พาหนะที่เราเลือกในการไปท่าเรือคือ แต่น แต้น สองแถวระนอง(คนละ 50 บาท)
ผ่านบ้านเมืองระนองเวลาเช้าตรู่ สวยงาม
ถึงแล้วท่าเรือ ซื้อตั๋วเรือกันเรียบร้อยโดยที่นี่มีเรือให้เลือกสองแบบคือเรือช้าและ Speed Boat โดยเรือช้าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงเกาะและวิ่งเพียงสองเที่ยวคือ 10.30 น. และ 14.00 น.(ราคา 250 บาท/คน) ซึ่งเราเลือกนั่งแบบ Speed Boat(350 บาท/คน)
ท่าเรือเทศบาล-เกาะพยาม
วันนี้น้ำลงมากทำให้เรือเข้าท่าไม่ได้เราจึงต้องไปขึ้นเรืออีกท่าหนึ่ง
สองแถวคันเดิมเพิ่งเติมคือจำนวนคน
สติ๊กเกอร์ชวนยิ้มบนหลังคาสองแถว
บริการดุจญาติมิตร แต่คิดตังค์
พร้อมแล้วไปขึ้นเรือกันเลย ><
ไกด์เฉพาะกิจที่ทำให้ตลอดการนั่งเรือของพวกเราเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน
ขอบคุณ พี่นกเกาะพยาม มากครับ
เห็นแล้วที่หมายของเรา เกาะพยาม
ถึงแล้วเกาะพยามท่าเทียบเรือประมง เราเดินไปตามท่าเรือลึกเข้ามาทางเกาะก็พบว่าเกาะนี้อยู่กันเป็นแบบชุมชนเล็กๆ บ้านช่องยังเป็นแบบธรรมดาๆ ปลูกกันแบบบ้านชั้นเดียวผสมกลมกลืนกับธรรมชาติภายในเกาะดูแล้วน่าหลงไหลชวนผ่อนคลายยิ่งลักษณ์ เอ้ย ยิ่งนัก
ถึงแล้ว
จากนั้นเราก็เดินทางไปที่พักโดยมีพี่ๆ ที่รีสอร์ทมารับซึ่งภายหลังเราได้ทราบชื่อว่าชื่อ พี่น่อ และ พี่ปู (คนบนเกาะพวกนี้แหละที่พวกเราบอกว่ามีน้ำใจและจริงใจมาก) และระหว่างทางไปที่พักเราได้สังเกตว่าบนเกาะนี้มีแต่รถจักรยานยนต์ ไม่มีรถยนต์แม้ซักคันเดียว คนที่นี้สัญจรโดยใช้มอเตอร์ไซค์เป็นส่วนใหญ่ มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่ารายวัน พวกเราติดต่อเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้กับรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว
ถึงแล้ว Coffee & Resort ที่พักของเรา(ถึงประมาณ 9.30 น.)
วิธีการเดินทางบนเกาะ : บนเกาะยานภาหนะเดียวที่ใช้กัน คือ รถจักรยานยนต์ ซึ่งที่พักของเราก็มีบริการให้เช่า พวกเราก็เลยจัดมา 3 คัน ราคาคันละ 200 บาท/วัน แต่ถ้าใครมาแล้วที่พักไม่มีไว้บริการให้เช่าก็สามารถเช่าได้ที่ร้านเช่าตามบริเวณท่าเรือที่เราขึ้นเรือมา ส่วนน้ำมันบนเกาะขายกันอยู่ที่ลิตรละ 40 บาท จะใส่มาเป็นขวดๆให้เราเติมเองซึ่งพวกเราก็ได้ซื้อเติมกันคนละขวดและก็เพียงพอสำหรับตลอดทริปที่เราอยู่บนเกาะ
หลังจากเติมพลังด้วยการนอนพักยาว เราก็มีแรงพร้อมที่จะไปยังจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ ดูพระอาทิตย์ตก ในจุดที่สวยที่สุดในเกาะ ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านพบว่าจุดที่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด คือ อ่าวใหญ่ แต่ระหว่างทางที่จะไปเราต้องผ่าน อ่าวเขาควาย เราจึงตัดสินใจแวะทั้งสองอ่าวเลย >< บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านเรือน
ถึงแล้วอ่าวแรกของเรา อ่าวเขาควาย
บรรยากาศ : อ่าวเขาควายเป็นหาดที่มีลักษณะโค้งเต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่วางสลับกันไปมาดูสวยงามแต่ต้องมาเวลาที่น้ำลงเพราะเวลาที่น้ำขึ้นสูงโขดหินเหล่านี้จะอยู่ใต้น้ำ และ ทีเด็ดของอ่าวเลยก็คือ หินทะลุ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติดูสวยงามถ้าใครมาที่นี่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ถ่ายรูปกันจนหนำใจเราก็ขบรถไปอ่าวที่สองเพื่อไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าขับมาซักพักก็มาถึงจุดหมายของเรา “อ่าวใหญ่”
บรรยากาศ : อ่าวใหญ่มีหาดทรายที่กว้างและยาวไกลเม็ดทรายละเอียดและลวดลายบนหาดทรายเป็นลิ้วคลื่นดูสวยงาม คลื่นลมที่นี่สูง คลื่นบางลูกถึงกับเลยหัวพวกเราดึงดูดให้เราลงไปเล่นน้ำทะเลให้คลื่นซัดเล่นดังจะเห็นได้จากมีชาวต่างชาติทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถือกระดานโต้คลื่นมาเล่นที่หาดนี้กัน
ภาพพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าที่อ่าวใหญ่สวยงามมากๆครับ
เย็นแล้วทำให้พวกเราหิวมากจึงเดินทางกลับไปที่พักเพื่อหาอะไรกินที่บาร์หน้าที่พักซึ่งเมนูที่เราสั่งกินกันวันนี้คือ ข้าวผัดทูน่า+ไข่ดาว
เมื่อแสงอาทิตย์แสงสุดท้ายได้ลาลับจากเราไปแล้วก็เป็นเวลาที่พวกเราโหยมาก เราบอกพี่จุ๋มแม่ครัวว่าขอข้าวเยอะๆนะครับพี่ ซึ่งพี่เขาก็ให้ข้าวมาแบบเรียกได้ว่าพูนจานโดยไม่คิดเงินเราเพิ่มเลย (80 บาท/จาน นี่ถือว่าเป็นราคามาตรฐานเนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารบนเกาะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา ทำให้ราคาสูงกว่าที่อื่น)
อุ๊ยหิวจัด ถ่ายเกือบไม่ทัน
กินข้าวเสร็จพวกเราก็อาบน้ำนอนเติมพลังสำหรับโปรแกรมเช้าวันพรุ่งนี้ต่อ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[CR] เกาะพยาม 4 วัน 3 คืน” ฉบับ “นักศึกษา”
สวัสดีครับ...เมื่อวันหยุดยาวพวกเราไปเที่ยวเกาะพยามกัน ซึ่งพวกเราประทับใจในธรรมชาติที่สวยงาม ความธรรมดา และเรื่องเล่าของผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะ ประทับใจแบบมากๆครับ พวกเขามีน้ำใจกับพวกเรา รอยยิ้มที่พวกเขามอบให้ผู้มาเยือนทุกๆคนนั้นออกมาจากใจจริงๆพวกเราจึงมาเขียนรีวิวเกาะพยามขึ้น เผื่อคนที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวจะได้ประทับใจแบบพวกเรา
ทริปนี้เริ่มจากการที่เราต้องทำงานในวิชาที่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยโดยเราต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อเที่ยวในรูปแบบ Backpacker โดยหัวข้อที่ว่า Low Price High Experience ซึ่งจากการที่พวกเราไล่ดูสถานที่ที่น่าสนใจตามเวปไซส์ต่างๆก็พบว่า เกาะพยามคือสถานที่ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่
สมาชิกของพวกเรามีกันทั้งหมด 6 คน เริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 8-12 เมษายน 2559
จากการที่ได้เรียนวิชาท่องเที่ยว เหล่าอาจารย์ผู้เจนจัดในการท่องเที่ยวสอนพวกเราไว้ว่า
“นักเดินทางที่ดีต้องวางแผนการเดินทาง ทั้งที่พัก สถานที่ที่จะไปเยี่ยมชม อาหารที่เราอยากกิน อย่าไปแบบไม่มีแผน มันอาจจะทำให้เราพลาดอะไรดีๆในสถานที่นั้นๆ”
การเดินทางครั้งนี้เราได้วางแผนตามคำสอนของอาจารย์ จองที่พักไว้ที่ Coffee & Resort สามวันสองคืน คือคืนวันที่ 9 และคืนวันที่ 10 เมษายน
วันที่ 8 เมษา เราเริ่มออกจากมหาวิทยาลัยไปที่สายใต้ใหม่เพื่อขึ้นรถ บขส.กรุงเทพ-ระนอง กะเปอร์ เที่ยว 20.30 น.(ตัดสินใจไปรอบนี้เพราะกะจะนอนบนรถตื่นเช้ามาเดินทางไปเกาะพยามด้วยเรือเที่ยวแรกพอดี)
รถออกสองทุ่มครึ่ง พวกเราตื่นเต้นอยากเที่ยวจึงรีบไปที่สายใต้ใหม่ตั้งแต่หกโมงเย็น เอาหน่าถือคติไปถึงก่อนดีกว่าไปช้า ช่วงที่เราไป ตรงกับช่วงที่คนกำลังเดินทางกลับบ้านพอดี คนจึงแน่นเป็นพิเศษ พวกเขาเดินทาง พวกเราก็เดินทาง เราเดินทางเหมือนกัน แต่ด้วยจุดหมายปลายทางที่ต่างกัน พวกเราเดินทางเพื่อค้นหาความท้าทาย พวกเขาเดินทางเพื่อกลับไปหาความเรียบง่ายอบอุ่นในครอบครัว
อย่างแรกที่ทำเมื่อมาถึง ไปรับตั๋วโดยสารที่เคาท์เตอร์ บขส.
ถึงแล้วครับขนส่ง ระนอง เราถึงกันตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้าทำให้ฟ้ายังมืดๆอยู่เลยแต่เราต้องเดินทางต่อเพราะต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ
พาหนะที่เราเลือกในการไปท่าเรือคือ แต่น แต้น สองแถวระนอง(คนละ 50 บาท)
ผ่านบ้านเมืองระนองเวลาเช้าตรู่ สวยงาม
ถึงแล้วท่าเรือ ซื้อตั๋วเรือกันเรียบร้อยโดยที่นี่มีเรือให้เลือกสองแบบคือเรือช้าและ Speed Boat โดยเรือช้าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงเกาะและวิ่งเพียงสองเที่ยวคือ 10.30 น. และ 14.00 น.(ราคา 250 บาท/คน) ซึ่งเราเลือกนั่งแบบ Speed Boat(350 บาท/คน)
ท่าเรือเทศบาล-เกาะพยาม
วันนี้น้ำลงมากทำให้เรือเข้าท่าไม่ได้เราจึงต้องไปขึ้นเรืออีกท่าหนึ่ง
สองแถวคันเดิมเพิ่งเติมคือจำนวนคน
สติ๊กเกอร์ชวนยิ้มบนหลังคาสองแถว
บริการดุจญาติมิตร แต่คิดตังค์
พร้อมแล้วไปขึ้นเรือกันเลย ><
ไกด์เฉพาะกิจที่ทำให้ตลอดการนั่งเรือของพวกเราเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ขอบคุณ พี่นกเกาะพยาม มากครับ
เห็นแล้วที่หมายของเรา เกาะพยาม
ถึงแล้วเกาะพยามท่าเทียบเรือประมง เราเดินไปตามท่าเรือลึกเข้ามาทางเกาะก็พบว่าเกาะนี้อยู่กันเป็นแบบชุมชนเล็กๆ บ้านช่องยังเป็นแบบธรรมดาๆ ปลูกกันแบบบ้านชั้นเดียวผสมกลมกลืนกับธรรมชาติภายในเกาะดูแล้วน่าหลงไหลชวนผ่อนคลายยิ่งลักษณ์ เอ้ย ยิ่งนัก
ถึงแล้ว
จากนั้นเราก็เดินทางไปที่พักโดยมีพี่ๆ ที่รีสอร์ทมารับซึ่งภายหลังเราได้ทราบชื่อว่าชื่อ พี่น่อ และ พี่ปู (คนบนเกาะพวกนี้แหละที่พวกเราบอกว่ามีน้ำใจและจริงใจมาก) และระหว่างทางไปที่พักเราได้สังเกตว่าบนเกาะนี้มีแต่รถจักรยานยนต์ ไม่มีรถยนต์แม้ซักคันเดียว คนที่นี้สัญจรโดยใช้มอเตอร์ไซค์เป็นส่วนใหญ่ มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่ารายวัน พวกเราติดต่อเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้กับรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว
ถึงแล้ว Coffee & Resort ที่พักของเรา(ถึงประมาณ 9.30 น.)
วิธีการเดินทางบนเกาะ : บนเกาะยานภาหนะเดียวที่ใช้กัน คือ รถจักรยานยนต์ ซึ่งที่พักของเราก็มีบริการให้เช่า พวกเราก็เลยจัดมา 3 คัน ราคาคันละ 200 บาท/วัน แต่ถ้าใครมาแล้วที่พักไม่มีไว้บริการให้เช่าก็สามารถเช่าได้ที่ร้านเช่าตามบริเวณท่าเรือที่เราขึ้นเรือมา ส่วนน้ำมันบนเกาะขายกันอยู่ที่ลิตรละ 40 บาท จะใส่มาเป็นขวดๆให้เราเติมเองซึ่งพวกเราก็ได้ซื้อเติมกันคนละขวดและก็เพียงพอสำหรับตลอดทริปที่เราอยู่บนเกาะ
หลังจากเติมพลังด้วยการนอนพักยาว เราก็มีแรงพร้อมที่จะไปยังจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ ดูพระอาทิตย์ตก ในจุดที่สวยที่สุดในเกาะ ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านพบว่าจุดที่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด คือ อ่าวใหญ่ แต่ระหว่างทางที่จะไปเราต้องผ่าน อ่าวเขาควาย เราจึงตัดสินใจแวะทั้งสองอ่าวเลย >< บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านเรือน
ถึงแล้วอ่าวแรกของเรา อ่าวเขาควาย
บรรยากาศ : อ่าวเขาควายเป็นหาดที่มีลักษณะโค้งเต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่วางสลับกันไปมาดูสวยงามแต่ต้องมาเวลาที่น้ำลงเพราะเวลาที่น้ำขึ้นสูงโขดหินเหล่านี้จะอยู่ใต้น้ำ และ ทีเด็ดของอ่าวเลยก็คือ หินทะลุ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติดูสวยงามถ้าใครมาที่นี่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ถ่ายรูปกันจนหนำใจเราก็ขบรถไปอ่าวที่สองเพื่อไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าขับมาซักพักก็มาถึงจุดหมายของเรา “อ่าวใหญ่”
บรรยากาศ : อ่าวใหญ่มีหาดทรายที่กว้างและยาวไกลเม็ดทรายละเอียดและลวดลายบนหาดทรายเป็นลิ้วคลื่นดูสวยงาม คลื่นลมที่นี่สูง คลื่นบางลูกถึงกับเลยหัวพวกเราดึงดูดให้เราลงไปเล่นน้ำทะเลให้คลื่นซัดเล่นดังจะเห็นได้จากมีชาวต่างชาติทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถือกระดานโต้คลื่นมาเล่นที่หาดนี้กัน
ภาพพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าที่อ่าวใหญ่สวยงามมากๆครับ
เย็นแล้วทำให้พวกเราหิวมากจึงเดินทางกลับไปที่พักเพื่อหาอะไรกินที่บาร์หน้าที่พักซึ่งเมนูที่เราสั่งกินกันวันนี้คือ ข้าวผัดทูน่า+ไข่ดาว
เมื่อแสงอาทิตย์แสงสุดท้ายได้ลาลับจากเราไปแล้วก็เป็นเวลาที่พวกเราโหยมาก เราบอกพี่จุ๋มแม่ครัวว่าขอข้าวเยอะๆนะครับพี่ ซึ่งพี่เขาก็ให้ข้าวมาแบบเรียกได้ว่าพูนจานโดยไม่คิดเงินเราเพิ่มเลย (80 บาท/จาน นี่ถือว่าเป็นราคามาตรฐานเนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารบนเกาะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา ทำให้ราคาสูงกว่าที่อื่น)
อุ๊ยหิวจัด ถ่ายเกือบไม่ทัน
กินข้าวเสร็จพวกเราก็อาบน้ำนอนเติมพลังสำหรับโปรแกรมเช้าวันพรุ่งนี้ต่อ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น