ต้องการร้องเรียนแพทย์ท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลแถวโชคชัย 4 ส่งไปร้องเรียนช่องทางไหนได้บ้าง

วันที่ 12 เมษายน 59 ดิฉัน นส.x ได้พาสามี นายx ซึ่งมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ ตัวร้อนมีไข้ขึ้นสูง ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะเหนียวข้น ครั่นเนื้อครั่นตัว ไปพบแพทย์ที่รพ.x เนื่องจากมีประกันสังคมที่รพ.แห่งนี้ เวลา (โดยประมาณ) 19.00 น. เมื่อไปถึงเคาเตอร์ register ได้แจ้งเจ้าหน้าที่หญิงกำลังตั้งครรภ์ว่าต้องการพบแพทย์เนื่องจากมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด โดยที่สามีมีประกันสังคมที่รพ.นี้ และสามารถสำรองจ่ายเองในส่วนค่าแพทย์ตรวจรักษาได้จำนวน 800 บาท เนื่องจากเราคิดว่าไม่อยากรอคิวการพบแพทย์จากส่วนประกันสังคมที่มักจะนานเสมอๆ เมื่อลงทะเบียนแจ้งกับเจ้าหน้าที่หญิงที่เคาเตอร์เสร็จ สามีได้รับการวัดไข้ (38.5 องศา) ชั่งน้ำหนัก วัดความดันตามกระบวนการแพทย์ปกติเป็นอย่างดีจากพยาบาล
เมื่อได้พบนายแพทย์A ได้ทำการตรวจวินิจฉัยโรคตามกระบวนการปกติของอาการป่วยไข้หวัด อย่างครบถ้วนตามหลักการแพทย์ เช่น การตรวจคอ ฟังการหายใจ ซักประวัติการแพ้ยา การกินยาที่ผ่านมาว่าได้รับยาอะไรบรรเทาการการป่วยไปบ้าง สามีประสงค์ขอฉีดยาลดไข้ และได้รับการฉีดยา เนื่องจากไข้สูงมาก เรารู้สึกดีกับการดูแลรับผิดชอบของนายแพทย์A เมื่อถึงเวลาชำระเงิน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเราต้องชำระ โดยประมาณ 2000 กว่าบาท ดิฉันแปลกใจ จึงขอดูใบชำระเงินว่า มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ได้อ่านเอกสารการเรียกเก็บเงินแล้วพบว่า มีค่ายา พาราฯ ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ไอ ฯลฯรวมค่าแพทย์อยู่ในใบแจ้งหนี้ จึงได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่แคชเชียร์ว่า ในส่วนของค่ายาเราใช้สิทธิ์ประกันสังคมและเราแจ้งได้ทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ registerแล้ว ทางเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยกันและดูเหมือนการ register เมื่อสักครู่ไม่ได้ระบุไว้ในระบบ ทำให้แคชเชียร์เก็บเงินเราเต็มจำนวน หลังจากการแก้ไขในระบบ เราก็ได้รับแจ้งให้เราชำระเงินจำนวน 800 บาท และใบนัดการนัดดูอาการครั้งต่อไปคือ 16 เมษายน 59
เมื่อได้รับยา เภสัชได้ทำหน้าที่สอบถามตามมาตรฐานการแพทย์ คือการแพ้ยาและอธิบายการทานยาต่างๆ ที่แพทย์Aสั่งให้ ยกเว้นยาให้ทานระบุว่า แก้ไอ(Ropect) ดิฉันถามเภสัชว่าตัวนี้ขับเสมหะหรือไม่ เนื่องจากที่หน้าซองยา มีเพียงคำว่า แก้อาการไอ ซึ่งสามีเรามีอาการเสมหะเหนียวข้นร่วมด้วย เภสัชตอบว่า “ขับค่ะ”

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนนั้นและวันรุ่งขึ้นสามีได้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งครบถ้วน
จนเช้าวันที่14 เมษายน 59 อาการของไข้หวัดได้ทุเลาลงตามที่ควรจะเป็น ยกเว้นอาการไอที่มีมีอยู่และไอมากขึ้นหนักมาก ไอโขลกๆ จนต้องโก่งตัวไอ แบบรุนแรงกว่าเดิมจนดิฉันรู้สึกแปลกใจ จึงหาข้อมูลการทำงานของยาแต่ละชนิดที่ได้รับทั้งหมด ได้ข้อสันนิษฐานว่า ยาแก้ไอ Ropect เป็นยาที่ไม่มีสรรพคุณในเรื่องเสมหะ ทั้งการขับออกหรือลดความเหนียวข้น แต่เป็นยาที่กดอาการไอ

หากมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ต่อมทอนซิลจะทำการสร้างเมือกมาทำให้เกิดการระคายคอทำให้เกิดอาการไอพื่อขับเสมหะออกมาความรู้เหล่านี้มิใช่ว่าต้องศึกษาจบจากโรงเรียนแพทย์ แต่ปัญญาชนทั่วไปที่มีใจฝักใฝ่หาความรู้ทางการแพทย์เบื้องต้นก็จะมีสามารถดูแลรักษาตนเองเบื้องต้นเพื่อร่วมมือกันกับการรักษาจากแพทย์ให้การเจ็บป่วยต่างๆ ทุเลาได้เปนอย่างดี วันนั้นดิฉันจึงต้องเสียเวลาและเงินออกไปปรึกษาเภสัชใกล้บ้านได้ยา Mucosolvan ละลายเสมหะมาให้สามีทาน อาการไอ ทั้งคืนจนตัวโยนส่งผลให้นอนไม่หลับของสามีได้ดีขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อถึงวันนัด 16 เมษายน 59 เวลาประมาณ 12.00 ดิฉันพาสามีไปพบแพทย์ตามใบนัดของนายแพทย์A เมื่อไปถึงทางเคาเตอร์ register ได้นำเอกสารการยินยอมจ่ายเงินเต็มจำนวนในการรักษา และขีดฆ่าการใช้สิทธิ์ประกันสังคมมาให้สามีเซ็น เราทั้งสองจึงแจ้งอีกครั้งว่า เราสามารถสำรองจ่ายได้ 800 บาท ในส่วนของค่าใช้จ่ายการพบแพทย์ แต่มีความจำนงในการเบิกค่ายาจากในส่วนประกันสังคม เจ้าหน้าที่จึงแก้ไขในระบบ (ทั้งๆที่ควรจะทำตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน)

ต่อมา ดิฉันแจ้งทางเจ้าหน้าที่ register ว่า ต้องการเปลี่ยนแพทย์ที่ทำการตรวจ สาเหตุที่เราเปลี่ยนแพทย์ในวันนี้ ไม่ใช่แพทย์ไม่ดี แต่เราต้องการขอยาเพิ่มในการรักษาอาการไอแบบมีเสมหะ ไม่อยากให้หมอรู้สึกไม่ดีกับเรา เราเกรงใจหมอและท่านได้ทำการตรวจรักษาอย่างเต็มที่แล้ว เพียงแค่จ่ายยาขาดไป 1ตัวเท่านั้นที่ เราคิดว่าน่าจะเราลองเปลี่ยนไปขอยากับหมอท่านอื่น เราทั้งสองมีความเห็นตรงกัน หลังจากยื่นเอกสารให้เคาเตอร์วัดความดัน และชั่งน้ำหนัก (ไม่มีการวัดไข้) เรารอพบแพทย์เกือบ 1 ชม. ซึ่งนานเกินไป ดิฉันได้เดินไปถามพยาบาลว่าคนไข้ต้องรออีกนานไหม และแพทย์ที่จะตรวจชื่ออะไร พยาบาลแจ้งว่าคิวต่อไปแล้วค่ะ นายแพทย์A ดิฉันรู้สึกคลางแคลงใจในระบบ operation ของทางรพ.x เป็นอย่างมาก ในเรื่องของการสื่อสารและคีย์ข้อมูลเข้าระบบ เหตุใดมันถึงได้มีแต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา ดิฉันได้ทำการแจ้งพยาบาลที่เคาเตอร์ register แล้วว่าขอเปลี่ยนหมอ แต่เหตุใดก็ยังได้หมอท่านเดิม จึงแจ้งพยาบาลที่หน้าห้องตรวจอายุรกรรมอีกครั้งว่า “มีหมอท่านอื่นไหม” พยาบาลแจ้งว่ามีแพทย์ B ว่างอยู่ สามารถตรวจได้เลย สามีจึงได้รับการตรวจกับนายแพทย์B

เมื่อตรวจเสร็จ สามีเดินกลับมาหาดิฉัน บอกว่าแพทย์Bได้ทำการตรวจโดยการส่องไฟที่คอ และบอกว่าน่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ และบ่นว่า เจ็บจมูกจัง เนื่องจากพยาบาลต้องแหย่สำลีเพื่อเอาเมือกที่จมูกไปตรวจ มีค่าใช้จ่าย 1000 บาท และต้องรอผลเล็ปอีก 45 นาที ดิฉันสับสนเป็นอย่างมาก และไม่เข้าใจว่าอาการที่สามีเป็นเรียกว่าไข้หวัดใหญ่ได้อย่างไร จึงได้แจ้งพยาบาลว่าขอพบแพทย์เพื่อซักถามและให้หยุดกระบวนการส่งผลตรวจเยื่อเมือกจมูกแล็บที่ยาวนานนี้ ไปก่อน เราจึงแจ้งพยาบาลที่เคาเตอร์วัดไข้ว่าต้องการพบแพทย์B เนื่องจากสามีไม่มีไข้ และไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆมากกว่าอาการไข้หวัดทั่วไป เหตุใดจึงสันนิษฐานว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่หญิงสูงอายุที่นั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์ใส่แว่นกรอบดำได้ทำการเหลือกตามองดิฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร พูดเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ หมอไปตรวจคนไข้ที่วอร์ด(ค่ะ) อีกนานกว่าจะมา”
ระหว่างรอแพทย์Bกลับมา น้องพยาบาลที่อายุน้อยกว่าดูนอบน้อบแต่มีอาการอึกๆอักๆ และไม่ทราบว่าต้องแก้ไขสถานการณ์อย่างไร แต่ไม่มีอาการก้าวร้าวใดๆ หรือสายตาดูถูกดูแคลนดิฉันเหมือนเช่นเจ้าหน้าที่สูงอายุที่มักเหลือกตามองลอดแว่นใส่ดิฉัน (ซึ่งส่งผลให้นางดูเสียบุคลิกสำหรับการทำหน้าที่ให้บริการ หน้าเคาเตอร์) ดิฉันร้อนรนเพราะใช้เวลารอนานมากแล้วจึงไปถามอีกครั้ง ทางเจ้าหน้าที่สูงอายุพูดกับดิฉันโดยไม่มองหน้าสบตาว่า “เดี๋ยวเรียกให้(ค่ะ)” ดิฉันกลับไปนั่งรออีกครึ่ง ชม. ยังไม่มีวี่แวว ดิฉันกลับไปทวงถามถึงหมออีกครั้ง เจ้าหน้าที่สูงอายุท่านเดิมทำปากยื่นๆ บุ้ยหน้าไปฝั่งตรงข้ามบอกว่า “ไปติดต่อเคาเตอร์พยาบาลฝั่งนู้นนะ ทางนู้นเขาเป็นคนเรียก ตรงนี้ไม่เกี่ยว” ดิฉันเริ่มเกิดอารมณ์คุกรุ่นและมีโทษะจากการให้บริการของเจ้าหน้าที่ท่านนี้ และอีกเหตุผลคือ การมาพบแพทย์ด้วยโรคหวัดธรรมดาๆ เหตุใดเราต้องเสียเวลาไปหลาย ชม.แบบนี้

ณ เวลานั้น ดิฉันเห็นน้องๆพยาบาลอายุน้อยๆ วิ่งไปมา สบตาอย่างตื่นๆ พยายามตอบดิฉัน ตอบเบาๆว่า “กำลังเรียกหมอให้นะคะ”
ระหว่างการรอแพทย์B สามีได้รับการร้องขอให้วัดไข้โดยปรอทจากน้องๆพยาบาลเด็กน้อย 2ครั้ง ได้ผลอุณหภู มิ 36.5 องศา ทั้ง 2 ครั้ง ในที่สุดหมอก็มา จากการพูดคุย ดิฉันพยายามถามหมอว่าอาการใดที่บ่งชี้ว่าสามีเป็นไข้หวัดใหญ่ทั้งๆที่ไม่วัดไข้ หมอตอบว่าเป็นหน้าที่พยาบาลวัดไข้ ไม่ใช่หมอ ดิฉันถามว่าแล้วอาการไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างไร หมอตอบด้วยเสียงกระชากว่าก็เหมือนไข้หวัด เป็นไข้ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ ดิฉันไม่พอใจ เพราะอาการไข้หวัดใหญ่ที่ดิฉันจำได้ว่าเคยเรียนวิชาสุขศึกษาเมื่อสมัยประถมศึกษา คือ นอกจากอาการหวัดธรรมดาที่ปรากฎให้เห็นชัดแล้ว ยังมีอาการไข้สูงมากถึง 39-40 องศาติดต่อกันหลายวันมี เสียงหายใจหวีดหวิว (ตรวจได้จากการฟังการหายใจ) ท้องเสียและ อาเจียนร่วม อาการเหล่านี้ไม่ปรากฎ และไม่มีการซักถามอาการผู้ป่วยจากนายแพทย์ท่านนี้ สามีได้รับการตรวจจากแพทย์โดยอ้าปากให้ส่องคอเพียงอย่างเดียว แพทย์แจ้งว่า การวินิจฉัยจากการอ่านประวัติเก่า (ซึ่งในประวัติเก่าก็ไม่มีอาการท้องเสีย อาเจียน หายใจหวีดหวิวเช่นกัน) ก็สามารถสั่งตรวจไข้หวัดใหญ่ได้แล้ว ดิฉันมีความข้องใจในการวินิฉัยเป็นอย่างมาก พยายามซักถามให้กระจ่าง แพทย์ตอบว่า “คุณเป็นหมอหรือ เรียนหมอมารึเปล่าถึงมาสงสัยวิธีการรักษา” เราเถียงกันไปมาเหมือนการพายเรือวนอยู่ในอ่าง ด้วยคำตอบวกวนจากหมอว่า เรื่องการวัดไข้เป้นหน้าที่พยาบาล ส่วนอาการอื่นหมอไม่ตอบ เพียงแค่ คนไข้แจ้งด้วยปากว่ามีไข้ ถึงไม่ทราบอุณหภูมิ หมอก็สามารถส่งตรวจไข้หวัดใหญ่ได้แล้ว หมอพยายามไล่ดิฉันออกจากห้องและไม่ประสงค์จะอธิบายอะไรอีก แจ้งว่าให้คุยกับพี่C ซึ่งหมอแจ้งว่าเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโรงพยาบาลที่ดิฉันจะคุยด้วยได้

ดิฉันถูกไล่ออกมารอพี่Cอีกเกือบ ชม. ในที่สุดพี่Cก่อมา ดิฉันแจ้งพี่Cว่า ต้องการคุยกันซึ่งๆหน้าทุกฝ่ายเ พราะต้องการเพียงคำตอบที่น่าพึงพอใจในการรักษา ไม่ต้องการมาด่าหมอลับหลังเพื่อความบันเทิงใจหรือสินทรัพย์ใดๆ เรายินดีจ่ายค่ารักษาหากการจ่ายนั้นมีเหตุผลอันสมควรทางการแพทย์ ดังนั้นเราจึงต้องรอหมออีกครั้งเพื่อคุยกันพร้อมพี่C ซึ่งตลอดการคุยกัน เราได้ไปคุยกันในห้องตรวจอายุรกรรม ดิฉันคาดว่าเนื่องจากทางรพ. ไม่เคยมีใครกล้าร้องเรียนแพทย์มาก่อน จึงไม่มีระบบมาตรฐานการ operation ที่เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ เช่นนี้ จึงไม่มีมาตรการรับมือที่เหมาะสม

เพราะตลอดเวลา ดิฉันและพี่ C ยืนคุยกับแพทย์Bในห้องตรวจอายุรกรรม เพราะที่นั่งไม่อำนวย การพูดคุยเป็นเวลานาน แม้น้ำสักแก้วก็ไม่มีการบริการ (ในส่วนของน้ำดื่มบริการคนไข้นั้น ได้มีการตั้งใส่กระติกแสตนเลสในมุมหนึ่งข้างกำแพงหน้าห้องรอตรวจ มีการวางแก้วพลาสติกไว้ใต้ชั้นโดยไม่มีอะไรรองหรือปกปิดกันฝุ่นผง น้ำในกระติกแห้งขอดโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ท่านใดมาเติม ถังขยะใบเล็กๆ ข้างกระติกน้ำมีแก้วพลาสติกล้นเต็ม คนไข้ที่ทานน้ำแล้วนำแก้วไปวางที่ชั้นปะปนกับแก้วใหม่ ) เมื่อคุยกับแพทย์อีกครั้งพร้อมพี่C การพูดคุยจากหมอก็ วกวนเหมือนรอบแรกคือ หมอแจ้งว่าไม่สนใจอุณหภูมิที่ต้องเพราะได้ถามปากเปล่ากับคนไข้ ว่ามีไข้ใช่หรือไม่ (โดยไม่สนใจอ่านจากใบประวัติคนไข้ว่าอุณหภูมิร่างกายของสามีใน ขณะนั้นกี่องศา) และเมื่อดิฉันถามถึงอาการอื่นๆของไข้หวัดใหญ่ที่ไม่พบในตัวสามี หมอก็ตอบกำปั้นทุบดินว่า “คุณเป็นหมอหรือ” การพูดคุยยาวนานไม่เกิดผลอะไรนอกจากได้รับทราบว่าหมอมีทัศนคติโลกแคบที่ คอยประกาศว่าตนเรียนจบแพทย์มาต้องรู้ดีที่สุด เราไม่ควรสงสัยการรักษา สุดท้ายแพทย์ B หันไปถามสามีดิฉันว่า “ทนอยู่กับดิฉันได้อย่างไร เปนแบบนี้บ่อยไหม ถ้าเป็นหมอ หมอไม่ทน” การพูดแบบนี้ออกมาในขณะที่เราถกเถียงเรื่องความสามารถการรักษาของหมออยู่ ส่งผลให้ดิฉันมีมุมมองว่า หมอท่านนี้มีปัญหาหลายด้าน อย่างแรกคงเป็นด้านทัศนติลบต่อเพศหญิง การดูถูกว่าไร้สมองและไม่มีเกียรติ ทั้งๆที่การเลือกคู่ของมนุษย์นั้นคือการตกลงปลงใจกันของคน  คน หาใช่ธุระกงการใดจากหมออายุรกรรมที่ทำการรักษาโรคหวัดไม่

ดิฉันเป็นเพียงประชาชนชาวไทยที่ต้องการดุลพินิจที่สมควรจากแพทย์เมื่อเจ็บป่วย ก็ได้รับการรักษาที่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณแพทย์  และมีสิทธิมนุษยชนที่พึงได้ตามสิทธ์รัฐธรรมนูญ ในฐานะประชาชนชาวไทย ดิฉันหวังมากไปใช่ไหมคะ

*แก้ไขแท็กเพิ่มประกันสังคมค่ะ
*แก้ไขลบพระบรมราโชวาทค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
การวินิจฉัยโรคของแพทย์ต้องอาศัยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มากในระดับหนึ่งนะครับ
มันไม่ง่ายแบบว่าไปอ่านว่าโรคต่างๆมีอาการอะไรแล้วอาการคล้ายๆแล้วคิดว่าน่าจะเป็นโรคนั้น
ข้อมูลของโรคต่างๆมักจะเป็นข้อมูลที่เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยของโรคนั้นๆ
ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีอาการคล้ายแล้วจะเป็นโรคนั้น
เพราะยังมีหลายโรคที่มีอาการคล้ายกัน
และในชีวิตจริงแล้ว
ผป.มาหาแพทย์มักมาด้วยอาการ เช่นไข้ มีนำ้มูก ไอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน etc.
ไม่ได้มาด้วยมีอะไรแปะหน้าผากมาว่า เป็นไข้หวัด เป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นไข้เลือดออก
( ตรงนี้บอกเลยว่าเจอบ่อยมากที่เป็น case refer มาจากรพ.อื่น
วินิจฉัยว่าเป็นโรคนั้นโรคนี้
แล้วหมอคนที่ตรวจต่อไปก็วินิจฉัยตามๆกันมาแบบไม่คิดอะไรเพิ่ม
กระทั่งประวัติในใบแรกรับผป.ยังลอกมาจากใบ refer
สุดท้ายเป็นการวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้บ่อยมาก )
จึงต้องมีขั้นตอนการวินิจฉัยแยกโรค ( differential diagnosis ,DDX )ไว้ในใจเสมอ
ในโรคที่อยู่ใน differential diagnosis
ก็ต้องไปศึกษาว่าแต่ละโรคที่อยู่ใน DDx นั้นมีอาการอย่างไร
จุดไหนคล้ายหรือต่างกันกับโรคที่คิดถึงที่จะช่วยให้คิดถึงโรคนั้นๆอีก
และแต่ละโรคที่เป็น DDx ยังมีโรคอะไรที่เป็น DDX ของโรคที่เรา DDx อีกที
แตกแขนงแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด
และบ่อยมากที่อาการของโรคที่เป็น ไม่ได้จำเป็นต้องมีทุกอาการในตำรา
อ่านไปมากๆจากหลายๆแหล่งและจากแหล่งที่ละเอียดขึ้นมากขึ้นก็จะมีข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งต้องมีประสบการณ์ในการเจอผป.จริงๆด้วยว่าแต่ละคนอาการเป็นอย่างไร
เหมือนกันตรงไหน ต่างกันตรงไหนทั้งๆที่เป็นโรคเดียวกัน
พวกนี้จะหล่อหลอมทั้งองค์ความรู้และประสบการณ์
เป็นทั้งศาสตร์และศิลปในการตรวจรักษา
ทางการแพทย์จึงต้องมีใบประกอบโรคศิลป์
การวินิจฉัยของแพทย์ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไปในครั้งแรกๆครับ
ครั้งแรกก็จะคิดถึงโรคหรือภาวะที่เป็นไปได้มากที่สุดก่อน
การติดตามอาการต่อมา การดูผลการตอบสนองต่อการรักษา etc.
อาจจะช่วยยืนยันว่าการวินิจฉัยนั้นน่าจะถูก
หรืออาจต้องคิดถึงโรคหรือภาวะอื่นเพิ่มเติม
บ่อยครั้งที่อาการผป.อาจจะดีขึ้นหรือหายโดยที่วินิจฉัยไม่ได้แน่นอน
( หลายๆโรคหายเองได้ เมื่อร่างกายสร้างภูมิมากำจัดเชื้อโรค )

ทีนี้มาว่าถึงอาการสามีคุณ
"มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ ตัวร้อนมีไข้ขึ้นสูง ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะเหนียวข้น ครั่นเนื้อครั่นตัว
วัดไข้ได้ 38.5"

คือการวัดไข้ได้ 38.5 คือการวัดทีจุดๆหนึ่งของเวลา
แต่ละช่วงผป.จะมีได้ตั้งแต่ไข้ลด จนถึงไข้สูงกว่า 38.5 ก็ได้
หวัดธรรมดาในเด็กโตหรือผู้ใหญ่
อาการเด่นจะเป็นเรื่องของนำ้มูก
อาจจะมีอาการไอร่วมด้วยได้บ่อย แต่ไม่ไอก็ได้
ส่วนเรื่องไข้ส่วนใหญ่จะไม่มีไข้ หรือมีแค่ไข้ตำ่ๆ ซึ่งผป.จะไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเรื่องไข้อะไร
ยกเว้นเด็กเล็กๆอาจจะมีไข้ค่อนข้างสูงได้
ส่วนใหญ่จะรำคาญแค่เรื่องนำ้มูก ไม่ค่อยจะมีความไม่สบายตัวอื่นๆ
อาการเท่าที่เล่ามาไม่เหมือนหวัดธรรมดาครับ
ค่อนข้างเหมือนไข้หวัดใหญ่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม อาการที่เหมือนไข้หวัดใหญ่
ถ้าเฉพาะจากอาการอย่างเดียว
ปกติไม่สามารถแยกได้ 100% กับพวกหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบระยะแรกๆได้

"อาการของไข้หวัดได้ทุเลาลงตามที่ควรจะเป็น
ยกเว้นอาการไอที่มีมีอยู่และไอมากขึ้นหนักมาก
ไอโขลกๆ จนต้องโก่งตัวไอ แบบรุนแรงกว่าเดิม"
อันนี้ยิ่งน่าจะทำให้คิดถึงไข้หวัดใหญ่มากขึ้นครับ
ปกติไข้หวัดใหญ่
อาการทั่วๆไปจะดีขึ้นได้เองแม้ว่าจะไม่ได้ให้ยาต้านไวรัส
ไข้มักจะเป็นอยู่ราว 3-8 วัน
( หากทราบว่าเป็นภายใน 48 ชั่วโมง
การให้ยาต้านไวรัส ที่นิยมคือ oseltamivir
จะทำให้หายเร็วขึ้น
ยิ่งได้ยาเร็วยิ่งได้ผลดี
กลุ่มที่ควรให้เป็นพิเศษคือกลุ่มเสี่ยง
เช่นเด็กเล็กกว่า 5 ปี คนสูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว
เพื่อลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนและอัตราตายด้วย
สำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี
การให้ยาต้านไวรัสเป็นเพียง optional ถ้ารู้เร็วภายใน 48 ชั่วโมง
เพราะอาจจะทำให้หายเร็วขึ้นราว 1-1.5 วัน
บางคนจะไม่ให้ก็ได้
รายที่วินิจฉัยไข้หวัดใหญ่ในระยะ 48 ชั่วโมงไม่ได้จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร)
ธรรมชาติของไข้หวัดใหญ่ที่น่าสนใจคือ
วันแรกๆของโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการชัดเจน
( ราวครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการ หรืออาการเล็กน้อยเหมือนหวัดธรรมดาได้
อันนี้ที่เข้าใจว่าถ้าไข้ไม่สูง 39-40 แล้วไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ก็จะมีโอกาสผิดประมาณ 50%
กลุ่มนี้ไม่มีปัญหากับการเจ็บป่วยของตัวเอง
แต่จะมีปัญหาในแง่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้ระมัดระวัง )
อาการเด่นเป็นเรื่องของอาการตามระบบ ( systemic symptoms )
ได้แก่ไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว
มากว่าอาการทางระบบทางเดินหายใจ ( ไอ นำ้มูก เจ็บคอ )
ทำให้วันแรกๆของโรคในบางรายจะวินิจฉัยแยกโรคกับไข้เลือดออกหรือไข้จากสาเหตุอื่นได้ยาก
แต่มีลักษณะที่น่าสังเกตุคือ
หลังจากนั้น อาจจะราว 3-4 วัน
อาการทางระบบทางเดินหายใจจะเริ่มเด่นขึ้น
อาการไอ นำ้มูกจะมากขึ้น
ที่เจอบ่อยคือไอมาก ( ไอมักจะเด่นกว่าเรื่องนำ้มูก ในขณะที่หวัดธรรมดาไม่มีไข้ นำ้มูกเด่นกว่า )
ช่วงนี้ไข้อาจจะเริ่มลดแล้วในบางราย (แบบสามีจขกท.) แต่ไอหนักขึ้นชัดเจน
หรือบางรายที่จะเป็นไข้นาน ก็จะทั้งยังมีไข้และไอมากขึ้น ซึ่งต้องแยกโรคกับพวกปอดอักเสบด้วย
ประวัติที่เดิมให้ไว้ว่ามีไข้สูง และตอนหลังไข้ลดแต่ไอมาก
ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับไข้หวัดใหญ่เลย
ไปคิดได้ไงครับว่าตอนนี้ไข้ลดแล้ว ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ในเมื่อประวัติเดิมก็บอกเองว่าไข้สูง
หรือไข้ไม่ถึง 39-40 แล้วไม่เป็นไข้หวัดใหญ่เพราะไปอ่านมาจากอินเตอร์เนท

ส่วนเรื่องตรวจไข้หวัดใหญ่จากการป้ายโพรงจมูก
หมอที่ส่งตรวจทำถูกแล้วครับ
ถ้าสงสัยจากประวัติและการตรวจร่างกาย
แต่การป้ายโพรงจมูกก็มีข้อจำกัดคือ
มันไม่ได้ให้ผลบวกทุกรายในรายที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
อาจจะให้ผลบวกแค่ 70-90% ขึ้นกับชุดทดสอบและรายงาน
หมายความว่าตรวจแล้วผลเป็นลบ
ยังอาจจะหลุดไปได้ราว 10-30%
เรียกว่าเป็นผลลบลวง
แต่ถ้าให้ผลบวกมันก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการวินิจฉัยโรคมากขึ้น
เนื่องจากมีผลลบลวงพอสมควร
ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงแล้วอาการเข้าได้
แพทย์บางคนจะให้การรักษาแบบไข้หวัดใหญ่ไปเลยโดยไม่ส่งป้ายโพรงจมูก
หรือป้ายโพรงจมูกแล้วผลเป็นลบก็ตาม
สำหรับสามีจขกท.
จะป้ายหรือไม่ก็ได้ครับ
เพราะถึงป้ายมาเป็นลยหรือบวกแต่เกิน 48 ชั่วโมงแล้ว
ร่วมกับไข้ลดแล้ว
คงไม่ต้องให้ยา
แต่รายที่ส่งตรวจก็อย่างว่า
ถ้าให้ผลบวกอาจจะเพิ่มความมั่นใจในการวินิจฉัยมากขึ้น
แต่ถ้าเป็นลบ ถ้าต่อมาอาการแย่ลงอีกอาจจะต้องไปหาว่าเป็นโรคอื่นหรือเป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีโรคแทรกซ้อนหรือไม่ด้วย
มีวิธีตรวจที่ดีกว่าการป้ายโพรงจมูก
( การป้ายโพรงจมูกเป็นการตรวจแบบ rapid test ใช้ชุดทดสอบเป็นชุด kit
ข้อดีคือถูก ทำง่าย ทำได้ที่คลินิกหรือรพ.เล็กๆก็ได้ ให้ผลเร็ว อ่านผลประมาณ 15 นาทีหลังทำ )
ก็คือเจาะเลือดตรวจส่งหาไวรัสไข้หวัดใหญ่ด้วยวิธี PCR
ข้อเสียคือทำไม่ได้ในทุกที่ ส่วนใหญ่ต้องส่งกรมวิทย์ หรือโรงเรียนแพทย์ หรือ lab เอกชนที่ใหญ่ๆ
กว่าจะได้ผลใช้เวลานาน 2-3 วันซึ่งไม่ทันถ้าจะใช้ประกอบการรักษาภายใน 48 ชั่วโมง
ราคาช่วง 2-6 พันแล้วแต่ที่
จึงเอามาใช้เพื่อดูผลยืนยันย้อนหลังกับไว้ศึกษาทางระบาดวิทยาเป็นส่วนมาก

"เสียงหายใจหวีดหวิว (ตรวจได้จากการฟังการหายใจ) ท้องเสียและ อาเจียนร่วม"
เสียงหายใจหวีดหวิว ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า wheezing
อาจจะพบได้ในการติดเชื้อทางเดินหายใจบางชนิดเช่น RSV ในเด็ก
( RSV ในผู้ใหญ่มักไม่มี wheezing ส่วนใหญ่อาการเหมือนหวัดธรรมดา)
แต่ที่พบบ่อยคือการติดเชื้อทางเดินหายใจอะไรก็ตาม(ไม่จำเป็นต้องไข้หวัดใหญ่)
ที่ผป.มีโรคประจำตัวคือหอบหืด ( asthma ) อยู่แล้ว
การติดเชื้อทางเดินหายใจไปกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบ
ส่วนในไข้หวัดใหญ่ในคนที่ไม่ได้เป็นหอบหืด
ทั่วไปเสียงปอดจะปกติ ไม่ได้มี wheezing อะไร
ถ้ามีต้องสงสัยว่ามีหอบหืดซ่อนอยู่หรือไม่มากกว่าครับ
เรื่องท้องเสีย อาเจียน
แม้จะเป็นอาการร่วมที่เจอได้บ่อยในไข้หวัดใหญ่
แต่ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีท้องเสีย หรืออาเจียน
เจอบ่อยกว่าไข้หวัดใหญ่ที่มีท้องเสีย อาเจียน ร่วมด้วยเสียอีกนะครับ

เรื่องยากดอาการไอ
ปกติไม่แนะนำให้ในไอมีเสมหะ
มักจะใช้ในไอแห้งๆ
โดยเฉพาะการไอที่รบกวนชีวิตประจำวันมาก
เช่น ไอจนพักไม่ได้ นอนไม่หลับ ไอจนเจ็บหน้าอก ไอจนมีเลือดออก
แต่บางคนแม้ว่าจะไอมีเสมหะ
แต่เป็นการไอมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน
บางคนอาจจะให้ยากดอาการไอ
เพราะแม้จะกดให้ไอน้อยลงแต่ก็มักจะกดได้ไม่หมด
ยังมักจะไออยู่พอสมควร เพียงแต่ให้น้อยลงบ้างให้ผป.สบายตัวขึ้นหน่อย
โดยต้องให้อย่างระมัดระวัง
และแนะนำว่าถ้าไอน้อยลงพอไหวแล้ว
ให้รีบหยุด อย่าให้ถึงกับไอน้อยมาก
ให้ไอบ้างเพื่อให้ขับเสมหะซึ่งเป็นของเสียออกมาบ้างก็ดี
อันนี้ค่อนข้างเป็นศิลปะ
ต้องเลือกให้ในผป.ที่คุยรู้เรื่อง ดูไม่เรื่องเยอะ
พร้อมบอกให้รู้ถึงความเสี่ยงระดับหนึ่ง
ในยุคที่มีการฟ้องร้องกันมากๆ
หลายๆคนจะไม่ให้เลย
ยอมให้ผป.ไอมากๆเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องหรือร้องเรียนแบบนี้แหละครับ

สรุปนะครับ
ประวัติแบบที่เล่ามา
ต่อให้ตรวจ rapid test for influenza แล้วผลเป็นลบ
ก็ยังนึกถึงไข้หวัดใหญ่มากว่าโรคอื่นอยู่ดีครับ
( หวัดธรรมดาตัดทิ้ง ไม่เหมือนแม้แต่น้อย )
แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ตอนนี้ไข้ลดแล้ว
คงรักษาตามอาการ
ไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส

การหาข้อมูลโรคทางอินเตอร์เนทเบื้องต้นเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
แต่อย่าไปคิดว่ามันจะแทนการตรวจรักษาจากแพทย์ได้
กว่าจะมาตรวจรักษามันต้องผ่านอะไรมาเยอะทั้งความรู้และประสบการณ์
หลายๆเรื่องถ้าไม่ใช่คนในวิชาชีพอาจจะไม่เข้าใจ เหมือนขัดความรู้สึก
แน่นอน ความรู้ประสบการณ์หมอแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย
หมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก็จะได้เปรียบกว่า
อย่างไข้หวัดใหญ่
อาจจะต้องอ่านเฉพาะหนังสือไม่ตำ่กว่า 10-20 เล่ม
ถ้าจะให้ดีก็ต้องเป็นหนังสือเฉพาะด้านโรคติดเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 4-5 เล่ม
แล้วก็มีข้อมูลพวก UpToDate, Jounal ต่างๆ, CDC ,WHO etc.
ที่ขาดไม่ได้ก็ต้องมีประสบการณ์กับผู้ป่วยจริงๆจำนวนมากด้วยครับ
( ในชีวิตจริงนานๆจะเจอผป.ไข้หวัดใหญ่ที่ " ไม่ไอ ไม่มีนำ้มูก " เลยก็มี
มีทั้งมาด้วยไข้สูงแล้วชักในเด็กเล็ก หรือไข้อย่างเดียวในเด็กโตกว่านั้น
แต่สงสัยจากประวัติคนในบ้านเป็นไข้ ไอ หรือมีเพื่อนนักเรียนที่โรงเรียนป่วยที่แยกไข้หวัดใหญ่ไม่ได้
เพราะหวัดใหญ่เป็นโรคที่ติดต่อง่าย )

ปล.อย่าเชื่อผมมาก ผมเดา
(แก้คำผิดนิดหน่อยครับ
อ่านทวนแล้วบางคำพิมพ์ผิด จากหอบหืด พิมพ์เป็นหอบหือ)
ความคิดเห็นที่ 1
คุณเยอะคะ
ความคิดเห็นที่ 7
คุณไปพบแพทย์ทำไม รู้ดีขนาดนี้ ซื้อยากินเองก็ได้
ปล ไม่ต้องขอบคุณ
พูดเพราะพูดดี แต่พูดไม่รู้เรื่อง
ความคิดเห็นที่ 13
เภสัชกรมาตอบค่ะ ropect มีฤทธิ์ขับเสมหะด้วยนะคะ เพราะมี glyceryl guaiacolaye แค่นี้ก้ว่าเยอะแล้ว ที่ไปว่าหมอ แล้วที่มีเสมหะเยอะ แทบไม่ต้องใช้ยาละลายเลย น้ำเปล่าดีที่สุดค่ะ
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องมากชิหาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่