หลายชาติอาจคุ้นเคยกับ The Jungle Book หรือ เมาคลีลูกหมาป่า ในฐานะหนังสือวรรณกรรมอมตะของ รัดยาร์ด คิปลิ่ง นักเขียนชาวอังกฤษ และ ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมของค่าย Disney ที่ออกฉายเมื่อปี 1967 แต่สำหรับในเมืองไทย หลายคนพูดได้ว่าโตมากับ เมาคลี สำหรับผู้ที่เรียนในโรงเรียนที่มีวิชาลูกเสือเนตรนารี บางคนน่าจะยังร้องเพลงรอบกองไฟอย่าง เมาคลีล่าสัตว์ ได้จนถึงทุกวันนี้
The Jungle Book ฉบับล่าสุดยังคงสร้างโดยค่ายดิสนี่ย์ โดยครั้งนี้ใช้คนแสดงร่วมกับเหล่าสัตว์ที่เกิดจากเทคนิค CG ฝีมือการกำกับของ จอน ฟาฟโรว์ เจ้าของผลงาน Chef , Iron Man 1-2 หนังได้ นีล เซ็ทธิ เด็กชายวัย 12 ปี ที่ผ่านการคัดเลือกจากเด็กหลายพันคนซึ่งเข้ารับการออดิชันบทนี้จากทั่วโลกมารับบท เมาคลี
ตัวหนังเล่าถึง เมาคลี เด็กชายที่อาศัยอยู่ในฝูงหมาป่ามานานหลายปี รัคชา หมาป่าแม่ลูกอ่อนรักเขาเหมือนลูก ส่วน อากีร่า จ่าฝูงก็พยายามปกป้อง เมาคลี พร้อมๆกับดูแลฝูงไปด้วย กระทั่งวันหนึ่ง เชียร์คาน เสือร้ายรู้ว่ามีลูกมนุษย์อาศัยอยู่กับหมาป่า มันจึงประกาศล่าตัว เมาคลี ทันที ระหว่างที่กลุ่มหมาป่ากำลังถกเถียงหาทางออกในสภา เมาคลี ก็ขอถอนตัวออกจากฝูงเอง เพราะไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อน
ต่อมา เมาคลี กับ บากีร่า เสือดำที่เป็นอาจารย์ของเขาออกเดินทางออกจากป่าลึกไปสู่หมู่บ้านมนุษย์ แต่ก็โดน เชียร์คาน จู่โจมก่อน เมาคลี หนีหนีเตลิดไปเจอกับ บาลู หมีเฒ่าที่สอนให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่ากับวิถีทางที่ต่างออกไป ทว่าหลังจากนั้น คิงลูอี้ ลิงยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ก็ส่งสมุนมาจับตัว เมาคลี ไป เพื่อหวังช่วงใช้ความเป็นมนุษย์จากเขา
บทภาพยนตร์ค่อนข้างซื่อสัตย์กับต้นฉบับ แต่มีหลายส่วนที่เนื้อหาถูกพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย และมีการตีความใหม่ พูดถึงเรื่องปรัชญาการดำรงชีวิต ผ่านกฏแห่งพงไพร ที่แฝงแนวคิดธรรมชาตินิยม เคารพสิ่งมีชีวิตทุกชนิด หวังให้สรรพสัตว์อยู่ร่วมกันโดยสันติ ดังนั้นถึงจะพอรู้เนื้อเรื่องก่อนแล้ว ก็ยังดูหนังสนุกอยู่ ชอบการตั้งคำถามของหนังเกี่ยวกับตำแหน่งจ้าวป่า ที่มีการแย่งชิงอำนาจกันอยู่เบาๆ ซึ่งไม่ได้มีการฟันธงว่าเป็น เสือ ช้าง ฝูงหมาป่า พญาลิง หรือ มนุษย์ กันแน่
นีล เซ็ทธิ ทำได้ยอดเยี่ยมกับบท เมาคลี แม้ว่าเขาจะเป็นตัวละครมนุษย์หนึ่งเดียวในหนังที่ต้องสื่อสารกับสิงสาราสัตว์ต่างๆซึ่งสร้างจากเทคนิคซีจีทั้งหมด นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้จินตนาการอย่างสูงทีเดียวในการแสดง แต่ นีล ก็เล่นออกมาได้ดูมีชีวิตชีวามาก ในส่วนของทีมพากย์
เบน คิงส์ลีย์ เสียงสุขุมเหมาะสมกับบท บากีร่า เช่นเดียวกับ ไอดริส เอลบา นํ้าเสียงทรงพลังของเขาส่งให้ เชียร์คาน เป็นวายร้ายผู้น่ากลัวโดยสมบูรณ์ ขณะที่ คริสโตเฟอร์ วอลเคน ก็สร้างสีสันได้ดีกับการพากย์เสียงกวนๆของ คิงลูอี้
สิ่งที่โดดเด่นของ The Jungle Book นอกจากงานสร้างชั้นเลิศ เทคนิคภาพที่สวยงามบวกสมจริงแล้ว ดนตรีประกอบฝีมือของ จอห์น เด็บนีย์ ก็ช่วยสร้างอารมณ์ให้คนดูได้อย่างมาก เสียงดังอลังการสุดๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังมีกลิ่นอายของ The Lion King นิดๆ ขณะเดียวกันหลายฉากก็ชวนให้ผู้ใหญ่หลายคนรำลึกถึงความหลังสมัยชมเวอร์ชั่นการ์ตูนของ The Jungle Book และ คิดถึงตอนที่เราเคยใส่เสื้อสีกาสียกนิ้วมือขึ้นท่อง คําปฏิญาณลูกเสือที่ว่า อากีล่า เราจะทำดีที่สุด
คะแนน 8.5/10
โดย นกไซเบอร์
เครดิต
https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ตัวอย่างหนัง
http://movie.bugaboo.tv/watch/209779/?link=4
รีวิวหนัง : The Jungle Book กฏแห่งพงไพร
หลายชาติอาจคุ้นเคยกับ The Jungle Book หรือ เมาคลีลูกหมาป่า ในฐานะหนังสือวรรณกรรมอมตะของ รัดยาร์ด คิปลิ่ง นักเขียนชาวอังกฤษ และ ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องเยี่ยมของค่าย Disney ที่ออกฉายเมื่อปี 1967 แต่สำหรับในเมืองไทย หลายคนพูดได้ว่าโตมากับ เมาคลี สำหรับผู้ที่เรียนในโรงเรียนที่มีวิชาลูกเสือเนตรนารี บางคนน่าจะยังร้องเพลงรอบกองไฟอย่าง เมาคลีล่าสัตว์ ได้จนถึงทุกวันนี้
The Jungle Book ฉบับล่าสุดยังคงสร้างโดยค่ายดิสนี่ย์ โดยครั้งนี้ใช้คนแสดงร่วมกับเหล่าสัตว์ที่เกิดจากเทคนิค CG ฝีมือการกำกับของ จอน ฟาฟโรว์ เจ้าของผลงาน Chef , Iron Man 1-2 หนังได้ นีล เซ็ทธิ เด็กชายวัย 12 ปี ที่ผ่านการคัดเลือกจากเด็กหลายพันคนซึ่งเข้ารับการออดิชันบทนี้จากทั่วโลกมารับบท เมาคลี
ตัวหนังเล่าถึง เมาคลี เด็กชายที่อาศัยอยู่ในฝูงหมาป่ามานานหลายปี รัคชา หมาป่าแม่ลูกอ่อนรักเขาเหมือนลูก ส่วน อากีร่า จ่าฝูงก็พยายามปกป้อง เมาคลี พร้อมๆกับดูแลฝูงไปด้วย กระทั่งวันหนึ่ง เชียร์คาน เสือร้ายรู้ว่ามีลูกมนุษย์อาศัยอยู่กับหมาป่า มันจึงประกาศล่าตัว เมาคลี ทันที ระหว่างที่กลุ่มหมาป่ากำลังถกเถียงหาทางออกในสภา เมาคลี ก็ขอถอนตัวออกจากฝูงเอง เพราะไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อน
ต่อมา เมาคลี กับ บากีร่า เสือดำที่เป็นอาจารย์ของเขาออกเดินทางออกจากป่าลึกไปสู่หมู่บ้านมนุษย์ แต่ก็โดน เชียร์คาน จู่โจมก่อน เมาคลี หนีหนีเตลิดไปเจอกับ บาลู หมีเฒ่าที่สอนให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่ากับวิถีทางที่ต่างออกไป ทว่าหลังจากนั้น คิงลูอี้ ลิงยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ก็ส่งสมุนมาจับตัว เมาคลี ไป เพื่อหวังช่วงใช้ความเป็นมนุษย์จากเขา
บทภาพยนตร์ค่อนข้างซื่อสัตย์กับต้นฉบับ แต่มีหลายส่วนที่เนื้อหาถูกพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย และมีการตีความใหม่ พูดถึงเรื่องปรัชญาการดำรงชีวิต ผ่านกฏแห่งพงไพร ที่แฝงแนวคิดธรรมชาตินิยม เคารพสิ่งมีชีวิตทุกชนิด หวังให้สรรพสัตว์อยู่ร่วมกันโดยสันติ ดังนั้นถึงจะพอรู้เนื้อเรื่องก่อนแล้ว ก็ยังดูหนังสนุกอยู่ ชอบการตั้งคำถามของหนังเกี่ยวกับตำแหน่งจ้าวป่า ที่มีการแย่งชิงอำนาจกันอยู่เบาๆ ซึ่งไม่ได้มีการฟันธงว่าเป็น เสือ ช้าง ฝูงหมาป่า พญาลิง หรือ มนุษย์ กันแน่
นีล เซ็ทธิ ทำได้ยอดเยี่ยมกับบท เมาคลี แม้ว่าเขาจะเป็นตัวละครมนุษย์หนึ่งเดียวในหนังที่ต้องสื่อสารกับสิงสาราสัตว์ต่างๆซึ่งสร้างจากเทคนิคซีจีทั้งหมด นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้จินตนาการอย่างสูงทีเดียวในการแสดง แต่ นีล ก็เล่นออกมาได้ดูมีชีวิตชีวามาก ในส่วนของทีมพากย์
เบน คิงส์ลีย์ เสียงสุขุมเหมาะสมกับบท บากีร่า เช่นเดียวกับ ไอดริส เอลบา นํ้าเสียงทรงพลังของเขาส่งให้ เชียร์คาน เป็นวายร้ายผู้น่ากลัวโดยสมบูรณ์ ขณะที่ คริสโตเฟอร์ วอลเคน ก็สร้างสีสันได้ดีกับการพากย์เสียงกวนๆของ คิงลูอี้
สิ่งที่โดดเด่นของ The Jungle Book นอกจากงานสร้างชั้นเลิศ เทคนิคภาพที่สวยงามบวกสมจริงแล้ว ดนตรีประกอบฝีมือของ จอห์น เด็บนีย์ ก็ช่วยสร้างอารมณ์ให้คนดูได้อย่างมาก เสียงดังอลังการสุดๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังมีกลิ่นอายของ The Lion King นิดๆ ขณะเดียวกันหลายฉากก็ชวนให้ผู้ใหญ่หลายคนรำลึกถึงความหลังสมัยชมเวอร์ชั่นการ์ตูนของ The Jungle Book และ คิดถึงตอนที่เราเคยใส่เสื้อสีกาสียกนิ้วมือขึ้นท่อง คําปฏิญาณลูกเสือที่ว่า อากีล่า เราจะทำดีที่สุด
คะแนน 8.5/10
โดย นกไซเบอร์
เครดิต https://www.facebook.com/cyberbirdmovie
ตัวอย่างหนัง http://movie.bugaboo.tv/watch/209779/?link=4