คดีบุกรุกยามวิกาล

กระทู้คำถาม
เหตุมีอยู่ว่าสามีดิฉันไปตกปลาที่ห้วยน้ำสาธารณะที่ติดกับที่ดินบ้านดิฉัน แต่ห้วยน้ำนี้บ้านดิฉันใช้ประโยชน์มานานและหาปลากินตั้งแต่สมัยตายายต่อมานาย ก.ซึ่งเป็นน้าชายซึ่งมีที่ดินแปลงข้างเคียงได้โทรศัพท์ไปแจ้งกับแม่ดิฉันว่าจะขอนำปลามาเลี้ยงในกระชังในห้วยน้ำสาธารณะหน้าบ้านดิฉันต่อปลาที่เลี้ยงในกระชังได้โตพอสมควรนายก.ซึ่งเป็นน้าชายได้ทำการปล่อยปลาลงในห้วยน้ำดังกล่าวโดยไม่ได้บอกดิฉันหรือแม่ดิฉันแต่อย่างใด ต่อมาสามีดิฉันได้ไปนั่งตกปลาหน้าบ้านเพื่อนำมาบริโภคไม่ได้นำไปจำหน่ายแต่ะก็ได้ตกบ่อยเกือบทุกวันส่วนหนึ่งที่ตกทุกวันเนื่องจากสามีดิฉันอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำงานต้องเลี้ยงลูกซึ่งยังมีอายุไม่ถึง 1 ปี ช่วงลูกหลับเค้าก็จะมานั่งตกปลาคลายเครียด แต่หลังจากสามีตกไปได้ซักระยะหนึ่งนาย ก.ก็ได้ถามว่าตกทำไมหนักหนาทุกวัน บ้างก็นำลวดหนามมาโยนทิ้งตรงหน้าในขณะที่สามีกำลังตกปลาอยู่ไม่แน่ใจว่าจะมีเจตนาให้สายคันเบ็ดตกปลาไปพันกับลวดหนามหรือไม่อันนี้ไม่กล้ากล่าวหา เป็นแบบนี้อยู่สักระยะ สามีดิฉันก็เริ่มจะทนกับพฤติกรรมและคำพูดที่นายก.ว่าถากถางไม่ได้ก็ได้โต้ตอบกลับบ้าง นายก.กลับไม่พอใจและได้โทรไปแจ้งแม่ดิฉันซึ่งอยู่ต่างอำเภอว่าพรุ่งนี้จะปิดทางรถเข้าออกซึ่งทางที่รถบ้านดิฉันผ่านเข้าออกเป็นที่ดินของลุง คือนาย ข. สามีดิฉันรู้สึกว่าตนเองถูกบีบคั้นและข่มเหงจิตใจอย่างรุนแรงจึงได้ถือมีดพร้าออกจากบ้านในเวลาประมาณ ทุ่มครึ่งออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังที่ดินส่วนที่ติดกับนายก.และได้ตะโกนเรียกนายก.ออกมาจากบ้านเพื่อซักถามว่าทำไมต้องข่มขู่ และบีบคั้นเรื่องจะเป็นทางพอไม่พอใจอะไรก็จะขุ่ว่าปิดทางตลอดอยากจะปิดก็ปิดไปเลย แค่เรื่องตกปลาแค่นี้ไม่พอใจขู่ว่าจะปิดทาง น้าสะใภ้ นางก.ก็ได้บอกว่าปลาในบ่อตกได้ปล่อยไว้ก็ให้ลูกและหลายหากินกันแต่ปลาดุกอย่าไปตกมันเลยพึ่งปล่อยไป ถ้าไม่ปล่อยในบ่อก็ไม่มีปลาซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่เคยปล่อยปลาในบ่อหรือห้วยน้ำเลยก่อนหน้านี้ก็สามารถหากินได้ตลอด สามีดิฉันพอได้ยินน้าสะใภ้พูดเรื่องปลาดุกก็เลยเอะใจว่าน้าสะใภ้รู้ได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่ตกปลามาวันนี้เป็นวันแรกที่ตกได้ปลาดุกและตัวที่ตกได้ก็มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล สามีดิฉันก็เลยรีบเดินกลับบ้านและไปเรียกน้าชายอีกคน นายค. ซึ่งขอเลขที่บ้านบนที่ดินของดิฉัน (คือขอเป็นเจ้าบ้านอีกหลังบนที่ดินที่ดิฉันเป็นเจ้าของ) และบ้านหลังดังกล่าวก็อยู่ติดกับบ้านของดิฉันไม่เกิน 6 เมตร ระหว่างบ้านก็มีต้นไม้ที่น้าชายปลูกต้นไม้สวยงามกั้นกลางระหว่างบ้าน สามีดิฉันก็ยังคงถือพร้าที่ถือไปเพื่อจะไว้ฟันหญ้าระหว่างทางไปบ้านนายก.และเพื่อป้องกันเพื่อมีสัตว์ร้าย(ที่บ้านงูชุมมาก ) เมื่อสามีดิฉันเรียกน้าชาย นายค.ออกมาน้าชายก็เดินลงมาจากบ้านอยู่ระหว่างชายคาบ้านดิฉันและบ้านน้าชายนายค. สามีดิฉันก็ถามว่าทำไมต้องนำเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านไปบอกกล่าวผู้อื่น(คือบ้านนายก.) รู้ไหวว่ามันทำให้เกิดเรื่องทะเลาะกันเค้าจะปิดทางเข้าออกรู้รึเปล่าว่าดิฉันและสามีต้องเดือนร้อนทำไมไม่เห็นใจกันบ้างทั้งที่ดิฉันให้นายค.อาศัยอยู่บนที่ดินของดิฉันโดยไม่คิดค่าเช่า ให้ใช้น้ำและไฟที่ต่อพ่วงจากบ้านดิฉันซึ่งดิฉันต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น และยังให้นายค.เก็บมะพร้าวซึ่งอยู่ในที่ดินดิฉันไปขายเพื่อนำเงินมาใช้สอยอีกต่างหาก ทำไมถึงไม่เห็นความดีกันบ้าง นายค.ก็บอกว่าตนไม่ได้นำเรื่องไปบอกสามีดิฉันก็โต้เถึยงกันว่าถ้านายค.ไม่บอกบ้านนายก.จะพูดเรื่องปลาดุกได้อย่างไรทั้งที่วันน้ันมีดิฉัน สามี และนายค.และบุตรของดิฉันซึ่งมีอายุไม่ถึงขวบอยู่เท่านั้น และจากบ้านนายก.ก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าสามีดิฉันตกปลาหรือไม่ โต้เถึยงกันซักพักน้าชายก็พูดจากดูถูกสามีดิฉันว่าอย่ามาจองหองอย่ามาอวดดีมีแต่ตัวจะมาอวดดีในที่คนอื่นได้อย่างไร (ซึ่งที่ที่พูดถึงคือที่ดินของดิฉันน้าชายไม่มีสิทธิตามชอบด้วยกฎหมายแต่ชอบแสดงว่าตนเป็นเจ้าของตลอดเวลาที่สามีดิฉันอยู่ที่นี่)ดิฉันไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินได้เต็มที่ตลอดเรื่อยมาสามีดิฉันเริ่มเกิดบรรดาลโทสะจะการดูถูกดูแคลนของนายค.จึงคิดจะใช้กำลังต่อสู้ดิฉันซึ่งอยู่ในเหตุการเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าจะเป็นเรื่องบานปลายมากกว่านี้จึงจับแขนขวาของสามีแล้วบอกให้เข้าบ้านมือนึงดิฉันก็ต้องอุ้มลูกอยู่ด้วยบอกว่าลูกโดนน้ำค้างนานแล้วเดี๋ยวใจไม่สบายสามีมองหน้าลูกสักพักนึงจึงยอมเดินเข้าบ้านแต่ระหว่างที่ดิฉํนและสามีกำลังเดินเข้าบ้านสามีเห็นน้าชายมุ่งมาประชิดตัวเลยคิดว่าน้าชายจะมาทำร้ายร่างกายตนจึงใช้มือพลักซ้ายพลักไปโดนใบหน้านายค. 1 ครั้งและรีบเดินเข้าบ้าน ในระหว่างที่ดิฉันกำลังจะปิดบ้านได้ยินเสียงน้าชายเปิดประตูบ้านอีกสามีคิดว่านายค.คงจะนำเรื่องนี้ไปพูดที่บ้านนายก.เกรงว่าจะมีเรื่องราวอื่นอีก จึงกระโดดออกทางหน้าต่างเมื่อนายค.เห็นสามีดิฉันก็ปิดประตูแล้วสามีดิฉันใช้พร้าเงื่องมือฟันประตูหน้าบ้านนายค. โดยสามียืนอยู่บนพื้นดินหน้าบ้านบริเวณบันได้ขึ้นบ้านไป 1 ครั้งด้วยความโมโหว่าที่พูดคุยกันเมื่อกี้นายค.ไม่ได้สนใจเลยว่าการนำเรื่องในบ้านไปพูดมันทำให้ดิฉันและสามีเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ยอมคุยและตกลงกันเอง เมื่อดิฉันเห็นดังนั้นก็รีบห้ามปรามสามีให้ใจเย็นและคิดถึงลูกให้มากอย่าทำอะไรบู่มบ่ามมันจะเกิดผลเสีย สามีก็ยอมเข้าบ้านแต่โดยดี หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนายค.เปิดประตูอีกและเดินไปที่บ้านนายก. หลังจากนั้นรุ่งเช้าก็มีตำรวจมาที่บ้านและแจ้งว่านายค.ไปแจ้งความข้อหาบุกรุกยามวิกาลทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธ ซึ่งตำรวจก็พยายามให้ไกล่เกลี่ยเนื่องจากเป็นญาติกันแต่นายค.ก็ไม่ยอมบอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด สามีดิฉันเลยถูกดำเนินคดีต้องแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เนื่องจากสามีดิฉันเคยต้องโทษคดีอื่นมากก่อน พ้นโทษออกมาเมื่อมิถุนา 55 คดียังพ้นมาไม่ถึง 5 ปี เลยถูกขอเพิ่มโทษ อีก1 ใน 3 ขอรบกวนถามผู้รู้นะค่ะ ว่า
1. สามีจะมีความผิดอย่างไรบ้างเช่นติดคุกหรือไม่ นายค.อ้างว่าสามีใช้พร้าฟันประตูขึ้นไปบนบ้านและใช้พร้ากดหน้าอกขณะตนนอนอยู่บนที่นอนและใช้มือตบหน้าขวาตบหน้า 2 ครั้ง ซึ่งที่ดิฉันเห็นมันไม่ใช่แบบนี้
2.  ถ้าต้องว่าจ้างทนายสู้คดีดิฉันต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณกี่บาทค่ะ
3.  ถ้าน้าชายดิฉันเคยมีอาการทางจิตเคยเข้ารับการรักษามาเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ได้รับการรักษาแล้วจะใช้เหตุอาการทางจิตมาสู้คดีได้หรือไม่
4.  ถ้าสามีดิฉันเคยเข้าออกบ้านน้าชาย นายค. ช่วยยกตู้เย็นและซ่อมบ้านก่อนหน้านี้ จะอ้างได้หรือไม่ว่าเคยเข้าออกมาก่อนไม่ถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครอง เพราะเจตนาจะเรียกมาซักถาม ถือเป็นเหตุอันควรได้หรือไม่
5.  ขอคำแนะนำที่พอจะช่วยเหลือสามีให้พ้นจากข้อกล่าวหานี้เพิ่มเติมด้วยค่ะ ลองถามทนายที่นี้ดูเค้าคิดค่าว่าจ้างตั้ง 50000 บาท ไม่มีเงินค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่