“เวิลด์แบงก์” เปรี้ยง “เวียดนาม-ปินส์” ทิ้งไม่เห็นฝุ่น
ธนาคารโลกออกรายงานระบุภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกปีนี้โตลดเหลือ 6.3% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ชู “เวียดนาม–ฟิลิปปินส์” เติบโตสูงสุด ขณะที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำลงเหลือ 2.5% จาก 2.9% ในการประมาณการครั้งก่อน ต่ำสุดเทียบกับประเทศอาเซียนขนาดใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารโลกได้เปิดผลรายงาน เศรษฐกิจประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP Update) วานนี้ (10 เม.ย.) โดยคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกยังคงฟื้นตัวท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกอันท้าทาย โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตลดลงเล็กน้อยในระหว่างปี พ.ศ.2559-2561 ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นและประเทศต่างๆ ควรจัดลำดับความสำคัญของนโยบายด้านการเงินและการคลังที่จะช่วยลดความเปราะบางและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปด้านโครงสร้างให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารโลกคาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง การขยายตัว 6.5% ในปี 58 ที่ผ่านมาเหลือขยายตัว 6.3% ในปีนี้ และจะขยายตัวในอัตรา 6.2% ในช่วงปี 60-61 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เปลี่ยนไปสู่การเติบโตที่ชะลอตัวลงและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจีนจะมีอัตราการเติบโต 6.7% ในปี 59 และ 6.5% ในปี 60 เทียบกับการขยายตัว 6.9% ในปีที่ผ่านมา
นางวิคตอเรีย ควาควา รองประธานธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมาถึง 2 ใน 5 ซึ่งมากกว่าภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอื่นๆ รวมกันถึง 2 เท่า จากความพยายามในการเพิ่มรายได้จากภายในประเทศของบางประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP Update) ดังกล่าวได้ทำการวิเคราะห์โอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ภายใต้สถานการณ์อันท้าทาย ได้แก่ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง การหดตัวทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ความอ่อนแอของการค้าโลก ความตกต่ำอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของตลาดการเงินโลก ทั้งนี้ หากไม่นับรวมประเทศจีนแล้ว ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้มีการเติบโต 4.7% ในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงขึ้นเล็กน้อยโดยมีการขยายตัว 4.8% ในปีนี้ และขยับขึ้นเป็นขยายตัว 4.9% ในช่วงปี 60-61
โดยประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีแนวโน้มจะเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโต 6.2% ขณะที่ฟิลิปปินส์จะเติบโต 6.4% ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่คาดการณ์ว่า จะมีการเติบโต 5.1% และมาเลเซีย 4.4% ขณะที่กัมพูชา เมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะอยู่ที่ 6.9%, 7.8% และ 7% ตามลำดับ
สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะต่ำที่สุดในประเทศเหล่านี้ โดยในปี 59 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในอัตรา 2.5% ต่ำกว่าการประมาณ การครั้งก่อนที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.9% และคาดการณ์ว่าในปี 60 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.6% และเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปี 61
นายชูเดียร์ เชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ประเทศรายได้สูงมีอัตราการฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ตลอดจนการที่เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ในขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายก็มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจมหภาคได้น้อยลง ทั้งนี้ ประเทศต่างๆ ควรนำนโยบายด้านการเงินและการคลังที่ช่วยลดการเปิดรับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคมาปรับใช้ และดำเนินการปฏิรูปด้านโครงสร้างอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มผลิตภาพ และส่งเสริมการเติบโตอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ความต้องการซื้อต่ำลง และยังชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
รายงานของธนาคารโลกเสนอให้มีการติดตามความเปราะบางทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เกี่ยวกับระดับหนี้ที่สูง การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว รวมไปถึงระดับหนี้ขององค์กรและภาคครัวเรือนที่สูงในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางประเทศ โดยภาพรวมของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้นั้น ยังต้องมีนโยบายด้านการคลังที่รัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากความผันผวนของปัจจัยภายนอก.
http://www.thairath.co.th/content/6046
เฮ่อออออ
เศรษฐกิจไทยรั้งบ๊วยอาเซียน
ธนาคารโลกออกรายงานระบุภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกปีนี้โตลดเหลือ 6.3% จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ชู “เวียดนาม–ฟิลิปปินส์” เติบโตสูงสุด ขณะที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำลงเหลือ 2.5% จาก 2.9% ในการประมาณการครั้งก่อน ต่ำสุดเทียบกับประเทศอาเซียนขนาดใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารโลกได้เปิดผลรายงาน เศรษฐกิจประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP Update) วานนี้ (10 เม.ย.) โดยคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกยังคงฟื้นตัวท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกอันท้าทาย โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตลดลงเล็กน้อยในระหว่างปี พ.ศ.2559-2561 ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นและประเทศต่างๆ ควรจัดลำดับความสำคัญของนโยบายด้านการเงินและการคลังที่จะช่วยลดความเปราะบางและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการปฏิรูปด้านโครงสร้างให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารโลกคาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง การขยายตัว 6.5% ในปี 58 ที่ผ่านมาเหลือขยายตัว 6.3% ในปีนี้ และจะขยายตัวในอัตรา 6.2% ในช่วงปี 60-61 โดยการคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เปลี่ยนไปสู่การเติบโตที่ชะลอตัวลงและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจีนจะมีอัตราการเติบโต 6.7% ในปี 59 และ 6.5% ในปี 60 เทียบกับการขยายตัว 6.9% ในปีที่ผ่านมา
นางวิคตอเรีย ควาควา รองประธานธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภูมิภาคนี้มีสัดส่วนในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมาถึง 2 ใน 5 ซึ่งมากกว่าภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอื่นๆ รวมกันถึง 2 เท่า จากความพยายามในการเพิ่มรายได้จากภายในประเทศของบางประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP Update) ดังกล่าวได้ทำการวิเคราะห์โอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ ภายใต้สถานการณ์อันท้าทาย ได้แก่ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง การหดตัวทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ ความอ่อนแอของการค้าโลก ความตกต่ำอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของตลาดการเงินโลก ทั้งนี้ หากไม่นับรวมประเทศจีนแล้ว ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้มีการเติบโต 4.7% ในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงขึ้นเล็กน้อยโดยมีการขยายตัว 4.8% ในปีนี้ และขยับขึ้นเป็นขยายตัว 4.9% ในช่วงปี 60-61
โดยประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีแนวโน้มจะเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโต 6.2% ขณะที่ฟิลิปปินส์จะเติบโต 6.4% ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่คาดการณ์ว่า จะมีการเติบโต 5.1% และมาเลเซีย 4.4% ขณะที่กัมพูชา เมียนมา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะอยู่ที่ 6.9%, 7.8% และ 7% ตามลำดับ
สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะต่ำที่สุดในประเทศเหล่านี้ โดยในปี 59 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในอัตรา 2.5% ต่ำกว่าการประมาณ การครั้งก่อนที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.9% และคาดการณ์ว่าในปี 60 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.6% และเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปี 61
นายชูเดียร์ เชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ประเทศรายได้สูงมีอัตราการฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ตลอดจนการที่เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ในขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายก็มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจมหภาคได้น้อยลง ทั้งนี้ ประเทศต่างๆ ควรนำนโยบายด้านการเงินและการคลังที่ช่วยลดการเปิดรับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคมาปรับใช้ และดำเนินการปฏิรูปด้านโครงสร้างอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มผลิตภาพ และส่งเสริมการเติบโตอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ความต้องการซื้อต่ำลง และยังชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
รายงานของธนาคารโลกเสนอให้มีการติดตามความเปราะบางทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เกี่ยวกับระดับหนี้ที่สูง การปรับตัวลดลงของราคาสินค้า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว รวมไปถึงระดับหนี้ขององค์กรและภาคครัวเรือนที่สูงในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่บางประเทศ โดยภาพรวมของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้นั้น ยังต้องมีนโยบายด้านการคลังที่รัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากความผันผวนของปัจจัยภายนอก.
http://www.thairath.co.th/content/6046
เฮ่อออออ