สวัสดีเพื่อนๆพี่น้องๆชาว pantip ทุกคน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน ชื่อ "แบงค์" นะ
หลังจากที่ได้ตามอ่านกระทู้ของหลายๆคนที่เดินทางด้วยรถไฟ ใจมันฮึกเหิมอยากจะเดินตามรอยบ้างอะไรบ้าง ด้วยความที่เป็นคนชอบเดินทางโดยรถไฟอยู่แล้ว ไปมาก็หลายที่ แต่ไม่มีโอกาสได้เก็บข้อมูลมาทำบันทึกอย่างที่คนอื่นๆเค้าทำกันเลย ครั้งนี้จะถือว่าเป็นครั้งแรกที่จะมาบันทึกการเดินทางโดยรถไฟให้ทุกคนได้ติดตามกัน เหมือนเป็นการประสบการณ์การเดินทางและบันเรื่องราวระหว่างการเดินทางไปด้วย และขอออกตัวก่อนเลยนะว่า เป็นคนง่ายๆ สบายๆ อาจจะมีคำพูดบางคำที่ผิดพลาด หรือไม่ไพเราะ ก็ต้องขอโทษเอาไว้ก่อนด้วยนะ และกระทู้นี้เพิ่งได้มีเวลามาเขียน เพราะยุ่งมาก เคลียร์งานก่อนวันหยุดสงกรานต์ พร่ำมาเยอะแล้วเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
จริงๆแล้วแพลนมาระยะหนึ่งว่าจะไปเที่ยวตลาดโรงเกลือ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไป เพราะไม่มีตัง ฮ่าๆๆๆๆ ก็พับเอาโปรแกรมนี้ไว้ก่อน จนมาถึงวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2559 เวลา 02.35 นาฬิกา ตุ๊ดก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็มานอนต่อ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ เลยลุกขึ้นมาอีกรอบ เปืดไฟ หยิบโทรศัพท์มาเล่น เปิดไปเจอรองเท้าในไอจี หูยยย อยากได้จัง แต่แพงนะ เห้ย !!!!!! ไปโรงเกลือสิ ต้องไปโรงเกลือ ถูกชัวร์ แถมใกล้จะปิดตัวลง ต้องมีของเซลล์แน่ๆ ไปๆลุกๆไปอาบน้ำแต่งตัว แถมวันนี้เป็นวันศุกร์ อ่ะ !! แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงศุกร์หรรษา ก็ต้องหาอะไรที่มันหรรษาทำสิ อาบน้ำเสร็จ ก็ต้องหาอะไรทำ มันเป็นธรรมดาของคนที่ไฮเปอแอคทีฟ อยู่เฉยไม่ได้ อยากจะทำนั่นนี่นู้น เผื่อมีอะไรให้ช็อป ชม ชิม ชิว บ้าง แล้วก็กริ๊งกร๊างไปหาผู้ชาย เพื่อนสมัยที่เคยเรียนด้วยกัน สอบถามว่าตลาดนั้นปิดหรือยัง ยังมีของขายไหม คำตอบที่ได้รับคือ "มีตามปกติ" ได้ฟังแล้วก็เริ่มหาข้อมูลการเดินทาง ทั้งรถยนต์ รถตู้ รถไฟ แล้วสรุปว่าจะไปรถไฟ จะได้สอดคล้องกับสโลแกนที่ตั้งเอาไว้ว่า ทัวร์แบบอินเทรน เทรนนี้ ไม่ใช่ เทรนด์ แบบ In Trend แต่เป็น Train ที่แปลว่า รถไฟ นั่นเอง
หลังจากที่ได้ข้อมูลการเดินทางแล้ว ก็เช็คตารางการเดินรถของรถไฟไทย ดูผ่านเว็ปไซต์ ตามนี้เลยที่รัก
http://www.railway.co.th/checktime/checktime.asp
รถไฟมีเที่ยวแรก 05.55 จะทำยังไงให้ไปทัน ตอนนี้ก็ตีสามกว่าแล้ว คิดแล้วคิดอีก คิดหลายตลบ เห้ย !!!! ไปๆๆๆ ไปหารถ มัวมานั่งลีลาเดี๋ยวไม่ได้ไปพอดี หยิบกระเป๋า เตรียมแบตเตอรีสำรอง เงิน ที่สำคัญ บัตรประชาชน หรือ พาสปอร์ท เผื่อจะได้ข้ามไปเที่ยวกัมพูชาด้วย เช็คหนังหน้า เสื้อผ้าหน้าผม ฉีกยิ้มใส่กระจกหนึ่งที แล้ววิ่งออกไป เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน ทั้งมืด ทั้งน่ากลัว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผีเจอหน้าตุ๊ด ผีคงเกรงใจไม่กล้าหลอก เดินออกมาที่ถนนใหญ่ โบกแท็กซี่ คันแรกไม่จอด คันที่สองจอด
"พี่ ไปหัวลำโพง"
โชคดีมาก ที่พี่ขับแท็กซี่จะตีรถกลับห้องพักแถวหัวลำโพงพอดี และจะกลับอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อไปเยี่ยมครอบครัว พี่เขาว่าต้องกลับก่อนสงกรานต์ ไม่งั้นคนจะเยอะ และพี่เค้าก็ไม่กดมิตเตอร์ ให้ติดรถไปฟรี ตุ๊ดซึ้งมาก ซึ้งจริงนะ คือไม่คิดว่าจะเจอพี่แท็กซี่น้ำใจงามขนาดนี้ ระหว่างทางก็คุยเรื่องราวสัพเพเหระฆ่าเวลา จนมาถึงหัวลำโพงในเวลา 05.12 นาฬิกา ตายแล้ว !!! เดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว ไปเอาตั๋ว ไปเอาตั๋ว
"ไปอรัญประเทศที่นึงคับ"
"ขอบัตรประชานด้วยค่ะ"
"ขอบคุณครับ"
เที่ยวนี้เป็นรถไฟฟรีจ้าาาาา ยังมีบริการอยู่นะ เชิญมาใช้บริการกันได้
หลังจากที่ได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามหาชานชาลา อันไหนละนี่ มีเยอะแยะมากมาย แต่ดีที่ทำการบ้านมาก่อน รถไฟที่จะไปอรัญประเทศ จอดอยู่ที่ชานชาลา 6 ไม่ไกลจากที่ขายตั๋ว เป็นรถไฟแบบ รถธรรมดา เลขที่ 275 : กรุงเทพ - อรัญประเทศ
แต่เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ ตุ๊ดก็ถามนะ ก่อนจะเดินขึ้นรถไฟไป อะโหย ขนาดมาแต่เช้า ยังมิวายที่รถไฟจะแน่น เดินค่ะ เดิน เดิน เดิน เดินต่อไป โบกี้ที่หนึ่ง โบกี้ที่สอง โบกี้ที่สาม โบกี้ที่สี่ ซ้ายเป็นคู่สามีภรรยา ขวาเป็นคุณลุงนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ เออ นั่งกับคุณลุงแล้วกันเว้ย ขณะที่กำลังจะหย่อนก้นนั่งลง ก็มองเห็นคุณป้าคนนึง กวักมือเรียก หันไปมองข้างหลัง ไม่มีใคร แล้วป้าเรียกใคร อ๋อ สงสัยเรียกเรา เลยเดินไปหา ป้าเอากระเป๋าสัมภาระลงไปวางที่พื้น และให้เรานั่งข้างๆแก เบาะนิ่มด้วย อ่าาาาาาาาาา ฟินนนนนนนน
หลังจากผ่านการฟินไปได้ไม่นึงนาที ป้าก็เริ่มชวนคุย นู้นนี่นั่น แรกๆตุ๊ดก็ฟุ้งกับป้าอย่างออกรสออกชาติ ป้าก็เริ่มสนิทขึ้นเรื่อยๆ ตุ๊ดก็เริ่มหวั่นๆ กลัวจะเป็นมิจฉาชีพบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ได้คิดในใจ ไม่กล้าพูด กลัวโดนตบ ป้าก็ชวนคุย เรื่องลูก ป้าแกบอกว่ามีลูก อายุห่างจากตุ๊ดประมาณ 6 ปี ทำงานที่โรงแรมห้าดาว แถวๆคลองสาน เป็นแบบหนูนี่แหล่ะ เราก็เลยย้อนถามไปว่า ลูกชายเหรอ ป้าตอบว่า เป็นตุ๊ด อ้าวป้า ไหงพูดงี้ล่ะคะ ไม่เป็นไร อภัยให้ แลกกับที่นั่ง ป้าแกก็เล่าต่อว่า เป็นลูกชายคนเล็ก ทำงานนู้นนีนั่น เก่งอย่างงั้นอย่างงี้ รักป้า ห่วงป้า กลับบ้านมนอนกับป้าทุกคืน ไม่เคยทิ้งป้าไปไหน ตุ๊ดได้ฟังก็อมยิ้มแทนป้า เห็นสีหน้าป้าที่กำลังเล่าถึงลูกชาย ดูแกมีความสุขมาก ตามประสาคนแก่ เวลาพูดถึงครอบครัว ก็จะมีความสุข มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา ขณะทีกำลังมีความสุข ป้าก็ใส่ไวรัสลงในเครื่องคอมพ์พิวเตอร์ที่กำลังสปีดวายฟายของตุ๊ดด้วยข้อความที่ว่า "แต่ลูกป้าเค้าตายแล้ว จะสองปีแล้ว ไม่มีวันไหนเลย ที่ป้าจะไม่คิดถึงลูก" ป้าแกพูดจบ แกก็หลั่งน้ำตาออกมา ตุ๊ดได้ฟัง ก็สตั๊นไปสามวินาที คือเมื่อกี้ยังแฮปปี้อยู่ แล้วป้าก็เปลี่ยนฟิลลิ่งกระทันหัน ตัดเข้าดราม่า ป้าก็เล่าถึงอาการป่วย ก่อนที่ลูกแกจะเสีย ว่าลูกแกถามถึงแฟน ว่าทำไมแฟนไม่มาหา มาเยี่ยมเลย แฟนที่คบกันมาหลายปี พอรู้ว่าลูกแกป่วย ก็ทิ้งไป
"เลวเนอะ" ตุ๊ดหลุดคำพูดออกมา
ป้ามองหน้า ทั้งน้ำตา
"คือแบงค์คิดว่าเลวนะป้า คนรักกันชอบกัน คบกันมาตั้งนาน พออีกคนป่วย ทำไมไม่ดูแล กลับทิ้งขว้าง" ตุ๊ดใส่ฟิลลิ่งเต็มที่
"ป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง สงสารลูกก็สงสาร จะพูดก็ไม่ได้ ป้าก็ได้แต่ตอบไปว่า เค้าโทรมาหาแม่ เค้าติดงาน ทั้งๆที่จริงแล้วไม่ได้โทรเลย" ป้าบอก
"แล้วพี่เค้าเป็นอะไรถึงเสียละคับป้า" ตุ๊ดถาม
"มะเร็งสมอง" ป้าตอบ
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกันไปพักนึง ก้มตาก้มตา เช็ดน้ำตาของตัวเอง เออ เอาสิ อีนี่ก็ร้องไห้ไปกับป้าด้วย มันรู้สึกแย่นะ คือแบบ คนที่โดนทิ้งก่อนตาย มันเป็นอะไรที่แย่มากๆ ค่อนข้างฝังใจ และแอนตี้พวกที่แบบ พอแฟนแย่ แล้วทิ้ง อะไรงี้ ชักจะนอกเรื่อง เดี๋ยวหันพวงมาลัยเข้าทางเดิมแป๊บ
รถไฟวิ่งผ่านที่ต่างๆ วิ่งทางเดียวกับแอร์พอร์ตเรลลิงก์ วิ่งข้างล่าง วิ่งตัดถนนหนทาง บ้านเรือน ตึกต่างๆ ไม่มีอะไรน่าดูเท่าไหร่ เพราะเป็นภาพเมืองกรุงเทพ ที่เห็นจนชินตา วิ่งมาได้สักแป๊บ ก็มาจอดที่โรงงานมักกะสัน เป็นสถานี และเป็นโรงรถจักรด้วย
รถไฟจอดที่นี่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าจอดนานอะไรเบอร์นั้น เกือบหกโมงครึ่งถึงได้ออกวิ่ง แอบเห็นรถไฟขบวนแอร์พอร์ตเรลลิงก์จอดอยู่ เตรียมออกวิ่งไปสนามบินสุวรรณภูมิ
รถวิ่งมาได้สักพัก ก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายน้ำดื่ม ขายอาหาร ตุ๊ดไม่ได้ช่วยอุดหนุน เพราะยังไม่หิว
แล้วก็มีนายตรวจ มาเดินตรวจตั๋ว เสียงที่เจาะตั๋วดังมาแต่ไกล ไม่ต้องหันไปมอง ก็เตรียมหยิบตัวได้เลย
ยิ่งวิ่งผ่านสถานีต่างๆ คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เป็นวันทำงาน ก็มีคนใช้บริการรถไฟเยอะเหมือนกัน คนที่ขึ้นก่อนก็สบาย ได้นั่ง คนที่ขึ้นที่หลัง ก็ตีตั๋วยืนไปตามระเบียบ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบตรงที่ บางคนนั่งแล้วเอากระเป๋าสัมภาระวางข้างๆ หรือไม่ก็ยกขายกแข้งขึ้นมา แทนที่จะขยับนั่งดีๆ จะได้มีสเปชที่นั่งเพิ่ม ไม่เลย มองก็แล้ว ก็ยังด้านนั่งแบบนั้นต่อไป ตุ๊ดเคยเจอตอนไปหัวหิน นั่งยืดขาคนเดียว ยืนมองก็ยังหน้าด้านนั่ง ตุ๊ดก็ด้านยืนมองเหมือนกัน แล้วเอ่ยถามไปว่า "พี่ตีตั๋วสองใบเหรอ" ถึงได่ยอมเอาขาลง คนไทยนะ คนไทยที่ทำแบบนี้ ถ้าเป็นแรงงานต่างชาติ พม่า เขมร จะนิสัยดีมาก เห็นเราเดิน ก็รีบเขยิบให้นั่ง จำได้เลย ช่วงที่กลับจากเพชรบุรี หนุ่มน้อยชาวพม่า เดินมาสะกิดให้ไปนั่งด้วย เพราะเห็นตุ๊ดยืนหน้าหงิกเป็นตะขอมองมนุษย์ป้านั่งยืดขาเล่นโทรศัพท์ (ขอให้หดขากลับไม่ได้ ยืดอยู่แบบนั้น ดีออก)
บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็หลับไหลไปตามเรื่อง บางคนก็กินข้าวกินน้ำ แต่คุณลุงคนที่นั่งข้างๆนี่สิ ยกบาทาขึ้นมาด้วย ลมก็พัดเข้ามาทางหน้าตาง ลุงก็ยกเท้าเปลือยขึ้นมาจากผ้าใบ อ๊าาาา กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ !!!!!!
คุยกับป้าจนคอแหบคอแห้ง ซื้อน้ำมาดื่มให้ชุ่มคอเสียหน่อย คนข้างหลังซื้อน้ำเปล่า 20 บาท มาถึงตุ๊ด ตุ๊ดมองๆดู น้ำเปล่าเวิร์คสุด จ่ายไป 20 บาท เค้าทอนกลับมา 10 บาท "อ้าว ไม่ใช่ยี่สิบหรอพี" ตุ๊ดถาม
"เอาสิบบาทพอ" พี่ตัวโตตอบ
"อู๊ว ขอบคุณครับ" ตุ๊ดยกมือไหว้
ดีเนาะ น้ำใจงามดีจัง พี่ตัวโตหน้าตาเหมือนทวงหนี้ มือใหญ่ขนาดที่ตบบ้องหูทีแก้วหูคงแตกละเอียดเป็นผุยผง แต่มาขายน้ำดื่ม แถมยังใจดี๊ดีอีก เนี่ยะ ถึงได้บอกว่า อย่ามองคนแต่ภายนอก นะที่รัก
รถไฟวิ่งผ่านออกมาจากกรุงเทพ เข้าฉะเชิงเทรา ระหว่างทางก็มีการอัดหินใต้ราง ก่อสร้างรถไฟรางคู่ ดูเกร๋ดีนะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องรอหลีกนานๆอีก คิดยังไม่ทันเสร็จ รถก็มาจอดเพื่อรอหลีกรถด่วนพิเศษ ห่าจิก !!!!!
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดินทางต่อ รถไฟขบวนนี้ เป็นรถธรรมดาชานเมืองนะ ก็เลยจอดทุกสถานี จะใหญ่แบบประจำจังหวัด หรือจะเล็กยิบย่อยหอยจุ๊บแบบตามตำบล ก็จอดหมด อย่างสถานีนี้ เป็น ศ.ศาลาเงียบเหงา มีคนลงบ้างประปราย แอบเห็นว่าบ้านนี้ขายลูกชิ้นทอด เห็นหิ้วถุงลูกชิ้นลงไป ขึ้นมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ที่มีป้ายติดว่า "น้องเบญญษภา ลูกชิ้นทอด ไม้ละ 5 บาท" อู้ววววว คนที่นี่ตั้งชื่อร้านหรูจัง ตั้งแต่ชื่อน้ำดื่มละ
พอออกมาต่างจังหวัด ทิวทัศน์ข้างทางก็หนีไม่พ้นธรรมชาติ สวนแตงโม แตงร้าน ฟักทอง เผือก มันสับปะหลัง ข้าวโพด มากมาย แอบมีฝุ่นแดงๆให้เอาผ้าปืดจมูกเล่น แนะนำว่าให้พกแมสไปด้วย จะได้ไม่ต้องซื้อคอตต้อนบัดมาปั่นจมูกแบบตุ๊ด
ระหว่างการเดินทาง จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ จุดหมายปลายทาง ยานพาหนะ คนรอบข้าง และเสียงเพลง แน่นอนว่านักเดินทางส่วนใหญ่ เวลานั่งรถชิวๆก็จะหยิบหูฟังออกมาเสียบ เปิดเพลงที่ถูกใจฟังไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าการเดินทางในแต่ละครั้งก็ต้องมีเรื่องราวที่น่าประทับใจเกิดขึ้น ตุ๊ดเลยฟังเพลงนี้ ช่างเข้ากับบรรยากาศเสียจริง
หันไปเจอป้ายสถานี แอบเห็นว่าสถานีต่อไป เป็นสถานีบ้านนักร้องเกาหลี กรี๊ดดดดดด !!!!!!!!!!!!! บ้านดงบังค่ะคุณขา พระเจ้าช่วยกล้วยทอดมอดไหม้ไปเป็นหวี บ้านดงบังชินกิ เตรียมคัฟเวอร์เลยค่ะคุณขา (หลบตรีเอฟซีดงบังชินกิแพร๊บบบบบบ)
เดะต่อนะ ตามนี้นะที่รัก
http://ppantip.com/topic/35030369
[CR] ตุ๊ดตะลอนออนทัวร์ "ตามติดชีวิตอินเทรน" ตอน เมื่อตุ๊ดตะลุยตลาดโรงเกลืออรัญประเทศ
หลังจากที่ได้ตามอ่านกระทู้ของหลายๆคนที่เดินทางด้วยรถไฟ ใจมันฮึกเหิมอยากจะเดินตามรอยบ้างอะไรบ้าง ด้วยความที่เป็นคนชอบเดินทางโดยรถไฟอยู่แล้ว ไปมาก็หลายที่ แต่ไม่มีโอกาสได้เก็บข้อมูลมาทำบันทึกอย่างที่คนอื่นๆเค้าทำกันเลย ครั้งนี้จะถือว่าเป็นครั้งแรกที่จะมาบันทึกการเดินทางโดยรถไฟให้ทุกคนได้ติดตามกัน เหมือนเป็นการประสบการณ์การเดินทางและบันเรื่องราวระหว่างการเดินทางไปด้วย และขอออกตัวก่อนเลยนะว่า เป็นคนง่ายๆ สบายๆ อาจจะมีคำพูดบางคำที่ผิดพลาด หรือไม่ไพเราะ ก็ต้องขอโทษเอาไว้ก่อนด้วยนะ และกระทู้นี้เพิ่งได้มีเวลามาเขียน เพราะยุ่งมาก เคลียร์งานก่อนวันหยุดสงกรานต์ พร่ำมาเยอะแล้วเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
จริงๆแล้วแพลนมาระยะหนึ่งว่าจะไปเที่ยวตลาดโรงเกลือ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไป เพราะไม่มีตัง ฮ่าๆๆๆๆ ก็พับเอาโปรแกรมนี้ไว้ก่อน จนมาถึงวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2559 เวลา 02.35 นาฬิกา ตุ๊ดก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็มานอนต่อ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ เลยลุกขึ้นมาอีกรอบ เปืดไฟ หยิบโทรศัพท์มาเล่น เปิดไปเจอรองเท้าในไอจี หูยยย อยากได้จัง แต่แพงนะ เห้ย !!!!!! ไปโรงเกลือสิ ต้องไปโรงเกลือ ถูกชัวร์ แถมใกล้จะปิดตัวลง ต้องมีของเซลล์แน่ๆ ไปๆลุกๆไปอาบน้ำแต่งตัว แถมวันนี้เป็นวันศุกร์ อ่ะ !! แน่นอนว่าทุกคนต้องนึกถึงศุกร์หรรษา ก็ต้องหาอะไรที่มันหรรษาทำสิ อาบน้ำเสร็จ ก็ต้องหาอะไรทำ มันเป็นธรรมดาของคนที่ไฮเปอแอคทีฟ อยู่เฉยไม่ได้ อยากจะทำนั่นนี่นู้น เผื่อมีอะไรให้ช็อป ชม ชิม ชิว บ้าง แล้วก็กริ๊งกร๊างไปหาผู้ชาย เพื่อนสมัยที่เคยเรียนด้วยกัน สอบถามว่าตลาดนั้นปิดหรือยัง ยังมีของขายไหม คำตอบที่ได้รับคือ "มีตามปกติ" ได้ฟังแล้วก็เริ่มหาข้อมูลการเดินทาง ทั้งรถยนต์ รถตู้ รถไฟ แล้วสรุปว่าจะไปรถไฟ จะได้สอดคล้องกับสโลแกนที่ตั้งเอาไว้ว่า ทัวร์แบบอินเทรน เทรนนี้ ไม่ใช่ เทรนด์ แบบ In Trend แต่เป็น Train ที่แปลว่า รถไฟ นั่นเอง
หลังจากที่ได้ข้อมูลการเดินทางแล้ว ก็เช็คตารางการเดินรถของรถไฟไทย ดูผ่านเว็ปไซต์ ตามนี้เลยที่รัก http://www.railway.co.th/checktime/checktime.asp
รถไฟมีเที่ยวแรก 05.55 จะทำยังไงให้ไปทัน ตอนนี้ก็ตีสามกว่าแล้ว คิดแล้วคิดอีก คิดหลายตลบ เห้ย !!!! ไปๆๆๆ ไปหารถ มัวมานั่งลีลาเดี๋ยวไม่ได้ไปพอดี หยิบกระเป๋า เตรียมแบตเตอรีสำรอง เงิน ที่สำคัญ บัตรประชาชน หรือ พาสปอร์ท เผื่อจะได้ข้ามไปเที่ยวกัมพูชาด้วย เช็คหนังหน้า เสื้อผ้าหน้าผม ฉีกยิ้มใส่กระจกหนึ่งที แล้ววิ่งออกไป เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน ทั้งมืด ทั้งน่ากลัว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผีเจอหน้าตุ๊ด ผีคงเกรงใจไม่กล้าหลอก เดินออกมาที่ถนนใหญ่ โบกแท็กซี่ คันแรกไม่จอด คันที่สองจอด
"พี่ ไปหัวลำโพง"
โชคดีมาก ที่พี่ขับแท็กซี่จะตีรถกลับห้องพักแถวหัวลำโพงพอดี และจะกลับอุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อไปเยี่ยมครอบครัว พี่เขาว่าต้องกลับก่อนสงกรานต์ ไม่งั้นคนจะเยอะ และพี่เค้าก็ไม่กดมิตเตอร์ ให้ติดรถไปฟรี ตุ๊ดซึ้งมาก ซึ้งจริงนะ คือไม่คิดว่าจะเจอพี่แท็กซี่น้ำใจงามขนาดนี้ ระหว่างทางก็คุยเรื่องราวสัพเพเหระฆ่าเวลา จนมาถึงหัวลำโพงในเวลา 05.12 นาฬิกา ตายแล้ว !!! เดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว ไปเอาตั๋ว ไปเอาตั๋ว
"ไปอรัญประเทศที่นึงคับ"
"ขอบัตรประชานด้วยค่ะ"
"ขอบคุณครับ"
เที่ยวนี้เป็นรถไฟฟรีจ้าาาาา ยังมีบริการอยู่นะ เชิญมาใช้บริการกันได้
หลังจากที่ได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามหาชานชาลา อันไหนละนี่ มีเยอะแยะมากมาย แต่ดีที่ทำการบ้านมาก่อน รถไฟที่จะไปอรัญประเทศ จอดอยู่ที่ชานชาลา 6 ไม่ไกลจากที่ขายตั๋ว เป็นรถไฟแบบ รถธรรมดา เลขที่ 275 : กรุงเทพ - อรัญประเทศ
แต่เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ ตุ๊ดก็ถามนะ ก่อนจะเดินขึ้นรถไฟไป อะโหย ขนาดมาแต่เช้า ยังมิวายที่รถไฟจะแน่น เดินค่ะ เดิน เดิน เดิน เดินต่อไป โบกี้ที่หนึ่ง โบกี้ที่สอง โบกี้ที่สาม โบกี้ที่สี่ ซ้ายเป็นคู่สามีภรรยา ขวาเป็นคุณลุงนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ เออ นั่งกับคุณลุงแล้วกันเว้ย ขณะที่กำลังจะหย่อนก้นนั่งลง ก็มองเห็นคุณป้าคนนึง กวักมือเรียก หันไปมองข้างหลัง ไม่มีใคร แล้วป้าเรียกใคร อ๋อ สงสัยเรียกเรา เลยเดินไปหา ป้าเอากระเป๋าสัมภาระลงไปวางที่พื้น และให้เรานั่งข้างๆแก เบาะนิ่มด้วย อ่าาาาาาาาาา ฟินนนนนนนน
หลังจากผ่านการฟินไปได้ไม่นึงนาที ป้าก็เริ่มชวนคุย นู้นนี่นั่น แรกๆตุ๊ดก็ฟุ้งกับป้าอย่างออกรสออกชาติ ป้าก็เริ่มสนิทขึ้นเรื่อยๆ ตุ๊ดก็เริ่มหวั่นๆ กลัวจะเป็นมิจฉาชีพบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ได้คิดในใจ ไม่กล้าพูด กลัวโดนตบ ป้าก็ชวนคุย เรื่องลูก ป้าแกบอกว่ามีลูก อายุห่างจากตุ๊ดประมาณ 6 ปี ทำงานที่โรงแรมห้าดาว แถวๆคลองสาน เป็นแบบหนูนี่แหล่ะ เราก็เลยย้อนถามไปว่า ลูกชายเหรอ ป้าตอบว่า เป็นตุ๊ด อ้าวป้า ไหงพูดงี้ล่ะคะ ไม่เป็นไร อภัยให้ แลกกับที่นั่ง ป้าแกก็เล่าต่อว่า เป็นลูกชายคนเล็ก ทำงานนู้นนีนั่น เก่งอย่างงั้นอย่างงี้ รักป้า ห่วงป้า กลับบ้านมนอนกับป้าทุกคืน ไม่เคยทิ้งป้าไปไหน ตุ๊ดได้ฟังก็อมยิ้มแทนป้า เห็นสีหน้าป้าที่กำลังเล่าถึงลูกชาย ดูแกมีความสุขมาก ตามประสาคนแก่ เวลาพูดถึงครอบครัว ก็จะมีความสุข มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา ขณะทีกำลังมีความสุข ป้าก็ใส่ไวรัสลงในเครื่องคอมพ์พิวเตอร์ที่กำลังสปีดวายฟายของตุ๊ดด้วยข้อความที่ว่า "แต่ลูกป้าเค้าตายแล้ว จะสองปีแล้ว ไม่มีวันไหนเลย ที่ป้าจะไม่คิดถึงลูก" ป้าแกพูดจบ แกก็หลั่งน้ำตาออกมา ตุ๊ดได้ฟัง ก็สตั๊นไปสามวินาที คือเมื่อกี้ยังแฮปปี้อยู่ แล้วป้าก็เปลี่ยนฟิลลิ่งกระทันหัน ตัดเข้าดราม่า ป้าก็เล่าถึงอาการป่วย ก่อนที่ลูกแกจะเสีย ว่าลูกแกถามถึงแฟน ว่าทำไมแฟนไม่มาหา มาเยี่ยมเลย แฟนที่คบกันมาหลายปี พอรู้ว่าลูกแกป่วย ก็ทิ้งไป
"เลวเนอะ" ตุ๊ดหลุดคำพูดออกมา
ป้ามองหน้า ทั้งน้ำตา
"คือแบงค์คิดว่าเลวนะป้า คนรักกันชอบกัน คบกันมาตั้งนาน พออีกคนป่วย ทำไมไม่ดูแล กลับทิ้งขว้าง" ตุ๊ดใส่ฟิลลิ่งเต็มที่
"ป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง สงสารลูกก็สงสาร จะพูดก็ไม่ได้ ป้าก็ได้แต่ตอบไปว่า เค้าโทรมาหาแม่ เค้าติดงาน ทั้งๆที่จริงแล้วไม่ได้โทรเลย" ป้าบอก
"แล้วพี่เค้าเป็นอะไรถึงเสียละคับป้า" ตุ๊ดถาม
"มะเร็งสมอง" ป้าตอบ
แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกันไปพักนึง ก้มตาก้มตา เช็ดน้ำตาของตัวเอง เออ เอาสิ อีนี่ก็ร้องไห้ไปกับป้าด้วย มันรู้สึกแย่นะ คือแบบ คนที่โดนทิ้งก่อนตาย มันเป็นอะไรที่แย่มากๆ ค่อนข้างฝังใจ และแอนตี้พวกที่แบบ พอแฟนแย่ แล้วทิ้ง อะไรงี้ ชักจะนอกเรื่อง เดี๋ยวหันพวงมาลัยเข้าทางเดิมแป๊บ
รถไฟวิ่งผ่านที่ต่างๆ วิ่งทางเดียวกับแอร์พอร์ตเรลลิงก์ วิ่งข้างล่าง วิ่งตัดถนนหนทาง บ้านเรือน ตึกต่างๆ ไม่มีอะไรน่าดูเท่าไหร่ เพราะเป็นภาพเมืองกรุงเทพ ที่เห็นจนชินตา วิ่งมาได้สักแป๊บ ก็มาจอดที่โรงงานมักกะสัน เป็นสถานี และเป็นโรงรถจักรด้วย
รถไฟจอดที่นี่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าจอดนานอะไรเบอร์นั้น เกือบหกโมงครึ่งถึงได้ออกวิ่ง แอบเห็นรถไฟขบวนแอร์พอร์ตเรลลิงก์จอดอยู่ เตรียมออกวิ่งไปสนามบินสุวรรณภูมิ
รถวิ่งมาได้สักพัก ก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาขายน้ำดื่ม ขายอาหาร ตุ๊ดไม่ได้ช่วยอุดหนุน เพราะยังไม่หิว
แล้วก็มีนายตรวจ มาเดินตรวจตั๋ว เสียงที่เจาะตั๋วดังมาแต่ไกล ไม่ต้องหันไปมอง ก็เตรียมหยิบตัวได้เลย
ยิ่งวิ่งผ่านสถานีต่างๆ คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เป็นวันทำงาน ก็มีคนใช้บริการรถไฟเยอะเหมือนกัน คนที่ขึ้นก่อนก็สบาย ได้นั่ง คนที่ขึ้นที่หลัง ก็ตีตั๋วยืนไปตามระเบียบ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบตรงที่ บางคนนั่งแล้วเอากระเป๋าสัมภาระวางข้างๆ หรือไม่ก็ยกขายกแข้งขึ้นมา แทนที่จะขยับนั่งดีๆ จะได้มีสเปชที่นั่งเพิ่ม ไม่เลย มองก็แล้ว ก็ยังด้านนั่งแบบนั้นต่อไป ตุ๊ดเคยเจอตอนไปหัวหิน นั่งยืดขาคนเดียว ยืนมองก็ยังหน้าด้านนั่ง ตุ๊ดก็ด้านยืนมองเหมือนกัน แล้วเอ่ยถามไปว่า "พี่ตีตั๋วสองใบเหรอ" ถึงได่ยอมเอาขาลง คนไทยนะ คนไทยที่ทำแบบนี้ ถ้าเป็นแรงงานต่างชาติ พม่า เขมร จะนิสัยดีมาก เห็นเราเดิน ก็รีบเขยิบให้นั่ง จำได้เลย ช่วงที่กลับจากเพชรบุรี หนุ่มน้อยชาวพม่า เดินมาสะกิดให้ไปนั่งด้วย เพราะเห็นตุ๊ดยืนหน้าหงิกเป็นตะขอมองมนุษย์ป้านั่งยืดขาเล่นโทรศัพท์ (ขอให้หดขากลับไม่ได้ ยืดอยู่แบบนั้น ดีออก)
บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็หลับไหลไปตามเรื่อง บางคนก็กินข้าวกินน้ำ แต่คุณลุงคนที่นั่งข้างๆนี่สิ ยกบาทาขึ้นมาด้วย ลมก็พัดเข้ามาทางหน้าตาง ลุงก็ยกเท้าเปลือยขึ้นมาจากผ้าใบ อ๊าาาา กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ !!!!!!
คุยกับป้าจนคอแหบคอแห้ง ซื้อน้ำมาดื่มให้ชุ่มคอเสียหน่อย คนข้างหลังซื้อน้ำเปล่า 20 บาท มาถึงตุ๊ด ตุ๊ดมองๆดู น้ำเปล่าเวิร์คสุด จ่ายไป 20 บาท เค้าทอนกลับมา 10 บาท "อ้าว ไม่ใช่ยี่สิบหรอพี" ตุ๊ดถาม
"เอาสิบบาทพอ" พี่ตัวโตตอบ
"อู๊ว ขอบคุณครับ" ตุ๊ดยกมือไหว้
ดีเนาะ น้ำใจงามดีจัง พี่ตัวโตหน้าตาเหมือนทวงหนี้ มือใหญ่ขนาดที่ตบบ้องหูทีแก้วหูคงแตกละเอียดเป็นผุยผง แต่มาขายน้ำดื่ม แถมยังใจดี๊ดีอีก เนี่ยะ ถึงได้บอกว่า อย่ามองคนแต่ภายนอก นะที่รัก
รถไฟวิ่งผ่านออกมาจากกรุงเทพ เข้าฉะเชิงเทรา ระหว่างทางก็มีการอัดหินใต้ราง ก่อสร้างรถไฟรางคู่ ดูเกร๋ดีนะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องรอหลีกนานๆอีก คิดยังไม่ทันเสร็จ รถก็มาจอดเพื่อรอหลีกรถด่วนพิเศษ ห่าจิก !!!!!
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดินทางต่อ รถไฟขบวนนี้ เป็นรถธรรมดาชานเมืองนะ ก็เลยจอดทุกสถานี จะใหญ่แบบประจำจังหวัด หรือจะเล็กยิบย่อยหอยจุ๊บแบบตามตำบล ก็จอดหมด อย่างสถานีนี้ เป็น ศ.ศาลาเงียบเหงา มีคนลงบ้างประปราย แอบเห็นว่าบ้านนี้ขายลูกชิ้นทอด เห็นหิ้วถุงลูกชิ้นลงไป ขึ้นมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ที่มีป้ายติดว่า "น้องเบญญษภา ลูกชิ้นทอด ไม้ละ 5 บาท" อู้ววววว คนที่นี่ตั้งชื่อร้านหรูจัง ตั้งแต่ชื่อน้ำดื่มละ
พอออกมาต่างจังหวัด ทิวทัศน์ข้างทางก็หนีไม่พ้นธรรมชาติ สวนแตงโม แตงร้าน ฟักทอง เผือก มันสับปะหลัง ข้าวโพด มากมาย แอบมีฝุ่นแดงๆให้เอาผ้าปืดจมูกเล่น แนะนำว่าให้พกแมสไปด้วย จะได้ไม่ต้องซื้อคอตต้อนบัดมาปั่นจมูกแบบตุ๊ด
ระหว่างการเดินทาง จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ จุดหมายปลายทาง ยานพาหนะ คนรอบข้าง และเสียงเพลง แน่นอนว่านักเดินทางส่วนใหญ่ เวลานั่งรถชิวๆก็จะหยิบหูฟังออกมาเสียบ เปิดเพลงที่ถูกใจฟังไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าการเดินทางในแต่ละครั้งก็ต้องมีเรื่องราวที่น่าประทับใจเกิดขึ้น ตุ๊ดเลยฟังเพลงนี้ ช่างเข้ากับบรรยากาศเสียจริง
หันไปเจอป้ายสถานี แอบเห็นว่าสถานีต่อไป เป็นสถานีบ้านนักร้องเกาหลี กรี๊ดดดดดด !!!!!!!!!!!!! บ้านดงบังค่ะคุณขา พระเจ้าช่วยกล้วยทอดมอดไหม้ไปเป็นหวี บ้านดงบังชินกิ เตรียมคัฟเวอร์เลยค่ะคุณขา (หลบตรีเอฟซีดงบังชินกิแพร๊บบบบบบ)
เดะต่อนะ ตามนี้นะที่รัก
http://ppantip.com/topic/35030369
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น