แค่คิดแก้ปัญหาโลกร้อน ;:;: หากช่วยได้ก็ยินดี

การที่มีข่าวเรื่องรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ,,,,

และข่าวเรื่องการทำข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวการแก้ปัญหาโลกร้อน ในกรุงปารีสปีที่แล้วว่า
"" จะรอไม่ได้แล้ว ภัยโลกร้อนใกล้เข้ามาติด ๆ """ แต่ที่ผ่านมา เหมือนโลกร้อนหายเงียบไปกับข้อตกลง จึงอยากเตือนทุกคนว่า การลงชื่อข้อตกลงระหว่างชาติ ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่า ปัญหาโลกร้อนจะหมดไปกับข้อตกลง ,,,, เราต้องเป็นผู้ที่ปรับและเปลี่ยนพฤติกรรม ,,, ปริมาณ CO2 หรือ Greenhouse gas ถึงจะลดลง

:;:; ควันพิษที่ว่า จะไม่ลดลงเอง เพราะขณะนี้พวกเราปล่อยมันเข้าสู่อากาศโลกทุกวัน :;:;



มาทบทวนกันอีกรอบเผื่อ ,,,,

คน ปล่อยควันพิษ ( co2 / greenhouse gas ) ทำให้โลกร้อน

เมื่อโลกร้อนขึ้น หิมะละลาย หากหิมะโลกละลายทั้งหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 70 เมตร คาดว่าอาจเกิดขึ้นภายในปี 2100 คือปี พ.ศ. 2643 -- น้ำทะเลท่วมขังในหลาย ๆ พื้นที่จนกลายเป็นเมืองบาดาล

เมื่ออากาศโลกร้อนขึ้น เชื้อโรคอยู่นานมากขึ้น และเชื้อโรคจะเป็นอีกภัยวิบัตินอกจาก ภัยวิบัติจากระดับน้ำทะเล ผู้คนติดเชื้อง่ายมากขึ้น เพราะเชื้อโรคมีชีวิตนานที่จะต่อต้าน

เมื่อโลกร้อนขึ้น ทะเลมหาสมุทรจะกลายเป็นกรด และตอนนี้ พื้นที่ปะการังบางประเทศ รวมทั้งพื้นที่บางพื้นที่ในทะเลอันดามันของไทย ปะการังจู่ๆก็เป็นสีขาว นั้นคือตาย นอกจากปะการังเสียชีวิต. สัตว์ทะเลบางชนิดก็จะล้มตายไปด้วยเช่น แพลงตอน และเมื่อสัตว์เล็กล้มตาย สัตว์ใหญ่ขาดอาหาร ผลกระทบจะกลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ ที่ปลาใหญ่ไม่มีปลาน้อยให้กิน ,,,

เมื่อร้อนมากขึ้น ไฟป่าก็มีมากขึ้น

เมื่อร้อนมากขึ้น พายุมรสุมก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น เพราะกลไกของโลกที่หาความเป็นสมดุลให้กับตัวเอง

เมื่อโลกร้อนมากขึ้น ความแห้งแล้งก็จะมาเยือน ,,, ประเทศใดไม่พร้อมที่จะรับมือความแล้ง การอยู่กินอาจลำบาก

เมื่อโลกร้อนมากขึ้น ที่พูดมา ส่งผลกระทบต่อคนโดยตรง และเผ่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเผ่าเดียวที่ได้รับผลกระทบนี้ สัตว์โลกทุกตัวแมลงทุกชนิดต่างก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วย



ต้องบอกตรง ๆว่าไม่ใช่แค่ไทยเป็นประเทศเดียวที่จะได้รับผลกระทบครั้งนี้ ทุกคนทุกเผ่าทุกเหล่าทุกชนชั้น จะได้รับผลกระทบนี้เท่ากัน

การแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดขึ้น
---- เป็นแค่ความคิดเห็นน่ะค่ะ ที่คิดว่าสามารถนำไปใช้ได้  หลายสิ่งที่เสนอไป ประชาชนส่วนใหญ่จะได้ผลประโยชน์นี้กันเต็ม ๆ เชื่อว่า หากประชาชนในประเทศ มีความสุข การพัฒนาชาติกลายเป็นเรื่องขี้ประติวไปค่ะ ----

อันดับแรก คือแก้ปัญหาเรื่องน้ำ น้ำแล้งอย่ากลัวเลยค่ะ หากทุกบ้านมีแทงน้ำฝน คอยเก็บน้ำในยามฝนตก และหากต้องการใช้น้ำเพิ่ม คงต้องพึ่งน้ำประปา แต่อย่างน้อยวิธีนี้ ชาวบ้านไม่แย่งน้ำจากชาวนาไปใช้
****ความแล้งที่มาจากปรากฎการณ์ที่เรียกว่า El Niño จะอยู่อย่างมาก 2-7 ปี และความแล้งจะกลับมาอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นการตั้งมือรับ ให้ชาวบ้านมีแทงค์น้ำฝนประจำบ้าน เพื่อปล่อยให้น้ำฝ่ายหรือเขื่อนเป็นสิทธ์ของชาวนา เป็นการเพิ่มสิทธ์ให้ชาวนามีโอกาสใช้น้ำปลูกพืชสวนเพิ่ม  เพราะหากชาวนาไม่ทำไร่ทำสวน คนเมืองอาจไม่มีอาหารที่จะชื้อทาน **** และในเมื่อไม่มีสินค้าวัตถุดิบตั้งแต่แรก เรื่องของ Trading / business / stock market.... อาจเป็นแค่ทฤษฎีที่ไม่มีสินค้าให้แลกเปลี่ยน ?!?!?!?

อันดับที่สอง องค์กรการไฟฟ้า ควรที่จะแจกแผงโซล่าให้ตามบ้านเรือน เพื่อหยุดทำเขื่อนตัดต้นไม้ เพราะต้นไม้เป็นแหล่งดูดคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอย่างดี และอีกอย่างหลังคาอาคารบ้านเรือน คงมีพื้นที่มากพอที่จะให้แผงโซล่าวางต้อนรับแสงแดด เพื่อผลิตไฟฟ้า ส่งคืนกลับองค์กรไฟฟ้า แล้วนำกระแสนั้นขายสู่ตามความต้องการของตลาด บวกกับให้กังหันลมอยู่ตามชายฝั่งทะเล เพราะที่แถวๆใกล้ทะเลมีลมแรง แรงพอที่จะขับเคลื่อนกังหันลม ผลิตไฟฟ้าไว้ขาย
---ผลที่ได้คือ  ไม่ต้องตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อทำเขื่อน เพราะต้นไม้เป็นแหล่งดูดซับควันพิษธรรมชาติของโลก----สองข้อได้แก้ปัญหาเรื่องน้ำและพื้นที่เกษตรกร พร้อมทั้งลดค่าไฟให้กับประชาชน ไม่เพิ่มค่าน้ำให้ครอบครัว และเมื่อลดค่าใช้จ่ายทางบ้านได้ ประชาชนก็จะมีความสุขมากขึ้น แถมประเทศชาติคงความอุดมสมบูรณ์เก็บไว้ให้ลูกหลานเจริญรอยตาม

อันดับที่สาม ถอนรถเก่าที่สร้างควันพิษออกจากถนน ,, ให้หมด ,, และสนับสนุนให้คนใช้รถโดยสารร่วมให้มากขึ้น :;:; หากจะมานั่งบอกเป็นขั้นตอนว่า รถเก่านำมาเป็นเศษเหล็กขาย แล้วนำเงินที่ได้ปรับรถโดยสารร่วมให้มีมาตรฐานทางด้านใส่ใจธรรมชาติและผู้โดยสาร อาจจะยาวไปค่ะ ;:;: -- ข้อนี้เชื่อว่าตอนนี้ตลาดนำเข้าของรถประหยัดน้ำมันหรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เป็นพิษต่อสภาพแวดล้อม เริ่มตีตลาดโลกเข้ามติด ๆ รัฐบาลไทยควรเปิดหูกางตา เพื่อให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น โดยลดมลพิษในอากาศ เพื่อคงโลกใบนี้ไว้ให้ลูกหลานได้ลิ้มลองความเป็นธรรมชาติ ที่งดงามหาคำบรรยายไม่ได้ :;:;:  เด็ก ๆ ทุกคนที่เกิดเมื่อวันซืน มีสิทธ์ที่จะได้รับมอบมรดกโลกใบนี้ เท่ากับสิทธ์ที่พวกเราได้ทำลายโลกไปแล้วกว่าครึ่ง

อันดับที่สี่ ให้เมืองไทยเป็นเมืองปลอดถุงพลาสติก ใช้มาตราการข้อบังคับการปรับหรือให้จ่ายเพิ่ม หากใช้ถุงพลาสติก แต่ล่ะครั้ง ---- คนมักไม่ชอบจ่ายเพิ่ม ข้อบังคับนี้ น่าจะได้ผล

อันดับที่ห้า สนับสนุนให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งต้นไม้ หากทุกครอบครัว ปลูกไม้หรือไม้พุ่มครอบครัวล่ะต้นสองต้น บางบ้านอาจต้องดูแลในกระถาง ก็นับว่าช่วยโลกได้บ้างแล้ว
คิดว่าต้นไม้ที่ปลูกในกระถาง ยังดีกว่าปล่อยปละละเลยไม่ทำอะไรเลย

เมื่อต้นไม้เป็นสิ่งเดียวที่ดูดซับ CO2 ควันพิษได้ทีล่ะล้านๆตัน ทำไมเราต้องโค้นล้มตัดมันเพียงเพื่อมองเห็นผลกำไร ,,.,., โลกได้สร้างกลไกธรรมชาติให้กำจัดของเสียควันพิษ ,.,., ทำไมเราต้องมาเป็นผู้เดียวที่ขวางโลก โดยใช้ความโลภนำทาง

หากเราลดควันพิษได้  และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้เพิ่มควันพิษในอากาศมากอย่างที่เคยเป็น
ภัยโลกร้อนที่จะใกล้เข้ามา อาจเป็นแค่การเตือนภัย

กินอยู่อย่างเพียงพอช่วยเหลือแบ่งปัน เป็นคำขวัญที่คนในยุคโลกร้อนควรใส่ใจ

ในเมื่อคนมากกว่าครึ่งประเทศรู้วิธีการปกกันภัยโลกร้อน จะรีรออะไร ,,,, !?!? น่ะค่ะ!?!? ,,,,

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่