สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนนนน วันนี้เราจะมารีวิวการท่องเที่ยวกาญจนบุรีกับการรถไฟกันนะ! บอกก่อนเลยว่ารูปเยอะ แต่ถ่ายจากมือถือทั้งหมดนะ เพราะฉะนั้นรูปจะไม่สวยเท่ากับกล้องโปรๆนะ อาจจะพิมผิดไปบ้างนะ เราตกภาษาไทยเล็กน้อย -.- (รีวิวนี้รูปเยอะแต่สาระน้อย 55555) เราจะทิ้งรายละเอียดทั้งหมดไว้ให้ในตอนท้ายสำหรับผู้สนใจจะเดินทางไปกาญจนบุรีนะ ขี้เกียจอ่านก็เลื่อนลงไปตอนท้ายกระทู้ได้เลย อิอิ
เอาล่ะ...เราจะมาเริ่มเรื่องกันที่เดือนเมษามีวันหยุดที่เยอะแยะมากมายหลายวัน หนึ่งในนั้นคือวันจักรี ซึ่งเราเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน วันหยุดก็จะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง วัดในเมืองบ้าง ซึ่งจะไปกับเพื่อนสี่ห้าคน ซึ่งทริปนี้เราไปกันสองคน เนื่องจากเพื่อนคนอื่นบอกไม่ว่างและไม่มีตัง ซึ่งเราเองก็ไม่มีค่ะ แต่ครั้งนี้เราคำนวณไว้แล้วว่า เราจะใช้เงินกันไม่เกินคนล่ะ 500 บาทเท่านั้น เนื่องจากเราเองก็ศึกษาจากรีวิวในพันทิปนี้ล่ะค่ะว่าเขาเดินทางกันยังไงบ้างใช้งบประมาณเท่าไหร่
เรากับเพื่อนโทรไปสอบถามกับเบอร์การรถไฟ 1690 ว่าเราจะไปเที่ยวกับการรถไฟเนี่ย สามารถทำได้อย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่ก็แจ้งกลับมาหมดทั้งเรื่องการไปซื้อตั๋วรถไฟ ราคาตั๋วรถไฟเวลาที่รถไฟออกจากสถานี เป็นต้น (อ๋อ..แล้วก็เวลาไปซื้อตั๋วต้องใช้บัตรประชาชนด้วยนะค่ะ อย่าลืมเตรียมไปเด็ดขาด!)
แปะกำหนดการทั้งหมดจากการรถไฟให้อ่านกันก่อน...
กำหนดการทั้งหมดนี้ไม่แน่นอนนะค่ะอยู่ที่ช่วงเวลาของการเดินทางด้วยนั้นเอง
วันที่ 6 เมษายน 2559
เวลา 06:30 เป็นเวลาที่รถไฟจะออกจากสถานีหัวลำโพง
เราถึงสถานีเวลา 06: 20 น. จากนั้นก็หาโบกี้ตามตั๋วที่ได้มา
เราอยู่โบกี้ 1/1
เราก็จะนั่งตามที่ๆระบุในตั๋วรถไฟที่เราได้มานะ
ที่เราถืออยู่เป็นตั๋วขากลับนะ เพราะตั๋วขาไปเพื่อนเป็นคนเก็บไว้ (แบ่งๆกันเก็บ)
ตั๋วนี้สำคัญมาก เจ้าหน้าที่การรถไฟแจ้งให้ดูแลเก็บรักษาไว้ดีๆ
เนื่องจากเป็นตั๋วที่มีประกัน งง..กันไปเลย
เนื่องจากอาทิตย์ก่อนหน้านี้ รถไฟขบวน 910 ที่เราขึ้นนี้ล่ะค่ะ
เกิดเหตุ รถบัสแหกที่กั้นชนกับขบวนรถไฟสายนี้มาซึ่งเราก็เจอข่าวตามเน็ตบ้างแต่ก็ยังตัดสินใจจะไป
เราเชื่อมั่นว่าถึงแม้จะมีการเกิดเหตุแบบนี้ก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้ทุกอาทิตย์หรือเปล่า ? 555555
ตอนสถานีหัวลำโพง ฝั่งตรงข้ามเรายังไม่มีคนนั่งค่ะ มีคนขึ้นมานั่งตรงข้ามเราอีกทีก็คือสถานีบางซื่อ
(ต้องแจ้งก่อนเลยรถไฟจะจอดรับผู้โดยสารที่สถานี หัวลำโพง สามเสน และบางซื่อนะ)
มื้อแรกของวันนี้เป็นข้าวเหนียวหมูหวานที่มีป้าหอบกระเช้ามาขายบนรถไฟ ชุดละ 30 บาท
ถึงจะแพงก็ต้องกินค่ะ เพราะไม่มีเวลาซื้อของ เรามาสายเอง ต้องทำใจ 5555
เจ้าหน้าที่ของการรถไฟเขาก็จะอธิบายการเดินทางของวันนี้ทั้งหมดว่าจะผ่านหรือแวะที่ไหนบ้าง
เจ้าหน้าที่การรถไฟใจดีมาก สอบถามได้ตลอด และแฝงมุกตลกตลอดเวลาในการพูดอธิบาย
สถานีแรกที่รถไฟจะจอดคือสถานีนครปฐม
ให้เวลาพักผ่อนหย่อนใจที่สถานีเป็นเวลา 40 นาที
ห้ามสายห้ามเลต ถ้าตกรถไฟแล้วอย่ามาร้องเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน! (เจ้าหน้าที่การรถไฟเล่นมุกนี้จริงๆนะ)
จุดเด่นของที่นี้คือเจดีย์ขนาดใหญ่ ใหญ่มากจริงๆค่ะ
คือตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปดูเจดีย์ยังไงนะ เลยถามแม่ค้าแถวนั้นเขาบอก
เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวก็เห็น เราก็งง จะเห็นได้ยังไง พอเดินมาก็รู้เลยว่าทำไมเห็น ใหญ่มากจริงๆ
ใหญ่พอมั้ย มองไกลก็เห็นชัดขนาดนี้ 5555
แต่เราไม่ได้เข้าไปสักการะเนื่องจากกินข้าวเพลินไปหน่อย
รู้ตัวอีกทีก็จะหมดเวลาแล้ว เลยได้แค่ถ่ายรูปจากมุมไกลๆ
มีความรถเยอะไม่แพ้กรุงเทพเลย เพราะฉะนั้นหลบกันให้ดีๆ
ของกินก็มีเยอะมากมาย แนะนำให้ซื้อขึ้นไปกักตุนบนรถไฟ (โดนเฉพาะน้ำดื่ม) เพราะสถานีต่อไปจะไม่มีตลาดแบบนี้แล้ว
แน่นอนว่าถ้าใครจะเข้าเซเว่นที่นี้ก็มีนะ แต่คนค่อนข้างเยอะ (ก็คนที่ลงจากรถไฟเดียวกันนี้ล่ะค่ะ 555)
เมื่อครบเวลา 40 นาทีเราก็จะออกเดินทางกันต่อเลยยยย
แสงแดด ดอกเดซี่ และเนยสุกรองเรือง เปลี่ยนเจ้าหนูอ้วนเซ่อกลายเป็นสีเหลืองเดี๋ยวนี้ เอ้ย ไม่ใช่!
นี้คือระหว่างทางการเดินทางที่หาได้จากการเดินทางบนรถไฟเท่านั้นจริงๆ -..-
อ้าวจู่ๆเราก็โผล่มาที่ญี่ปุ่นเฉยเลย 555555
มโนไปว่าก้อนหินสีขาวๆนี้เป็นหิมะเลยค่ะ
มีน้องหมาที่สถานีด้วย ซึ่งคนบนรถไฟก็จะโยนของกินที่เราซื้อมาแบ่งให้เจ้าพวกนี้กินกัน
นี้คือข้อดีของการเดินทางโดยรถไฟ
เราจะรู้จักกับคนแปลกหน้าไปโดยปริยาย
น้องคนนี้ชื่อน้องเบล เพลียมากขึ้นรถไฟมาได้ก็ทำท่าหลับแต่เริ่มเลย คุณแม่ของน้องบอกตื่นกันตั้งแต่ตีสี่
เพื่อจะได้มาที่สถานีรถไฟได้ทัน (เราก็เหมือนกันค่ะ ตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ ง่วงมากอยากหลับตลอดทาง)
ตอนที่เจ้าหน้าที่อธิบาย เห็นแกบอกว่าที่กาญจนบุรีก็มีหมอกนะ ไม่ต้องไปถึงเชียงใหม่ก็ได้
หมอกจริงๆ เป็นประเภทหมอกควันไร่อ้อยอะไรแบบนี้ แต่วิวก็สามารถทำให้มโนได้ถึงหมอกอยู่
เราควรเปลี่ยนชื่อทริปว่าทริปนี้เพื่อการมโนภาพดีมั้ย 55555
อันนี้คือรายการอาหารของฝากกลับบ้านนะ
การรถไฟเขาก็จัดมาให้เลือกแบบเต็มอิ่ม
แต่ของเราจะได้ช่วงเย็นประมาณห้าถึงหกโมงค่ะ
ถึงแล้วววววว สะพานข้ามแม่น้ำแคววววว
สภาพผู้คนลงจากรถไฟคือเยอะแยะมากมาย
สถานีนี้ให้เวลาถ่ายรูปพักผ่อนกันเยอะมาก 20 นาที เราว่าเขาให้เวลาไม่น้อยนะ ส่วมมากคนเขาก็จะขึ้นมาก่อนเวลาอยู่แล้ว
แถมบางคนบอกว่า ยังเดินไปไม่ถึงสะพานเลย ขอกลับขึ้นรถไฟก่อน เพราะแดดร้อนมากกกกก
น่าจะเป็นช่วงปิดเทอมเด็กเล็กเด็กน้อยกับทริปนี้ก็เลยมีเยอะ
ส่วนพวกวัยรุ่นอย่างเราๆก็เยอะค่ะ ทำนองไปกับแก๊งค์เพื่อนก็สนุกดี
หากเดินไปขึ้นไปบนสะพาน
ข้อแนะนำคือจับกล้องและโทรศัพท์ให้แน่นๆ จำไว้ว่า ข้างล่างนั้นน้ำนะเธอ..
เวลคัมทูสะพานข้ามแม่น้ำแควอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
แดดร้อนจัด แนะนำให้เตรียมแว่นเตรียมหมวกเตรียมครีมกันแดดกันให้พร้อม
พลังเเสงอาทิตย์ที่นี้จะทำให้คุณ(ใจ)ละลายได้ 5555
นี้คือเพื่อนเรา นางบ่นว่าร้อนค่ะ คือส่วนมากคนเขาก็จะใส่เสื้อคลุมกันแดดกันอยู่แล้ว
แต่นางใส่เสื้อยีนส์ไง บอกเลยว่าร้อนได้อีก ...
เฟดเฟ่เท่ถือถ้วยไอติมกันแบบบอยแบรนด์ คลายร้อนกันไป
เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว เตรียมขึ้นรถไฟแล้วเดินทางกันต่อได้
นี้คือวิวตอนข้ามสะพานแม่น้ำแคว *-*
มันสวยมากๆเลย อยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
ปู๊น ปู๊นนนนนนนนนนนนน
นี้คือการขนรูปมาแปะให้รกกันเล็กๆ =.,=
ตรงนี้ก็จะเป็นจุดชมวิวของรีสอร์ทสวนไทรโยค
ที่นี้มีกิจกรรมโดดหอให้เล่นกันด้วย
เรากำลังจะขึ้นเส้นทางรถไฟสายมรณะกัน
ซึ่งเราก็ได้ถ่ายแค่รางรถไฟมาให้กันได้แค่นี้ เนื่องจากกลัวความสูงกันเบาๆ 555
ไม่ต้องตกใจว่าเขามุ่งอะไรกัน ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่รถไฟแจ้งว่าจะผ่านเชิงผาเลียบ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
หากจะขอพรให้นำมือแตะที่หน้าผาแล้วมาแตะที่หน้าผาก
และอธิฐานสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะค่ะ
[CR][SR] รีวิว [ท่องเที่ยวกาญจนบุรีกับรถไฟ ปู๊น ปู๊น ~]
สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนนนน วันนี้เราจะมารีวิวการท่องเที่ยวกาญจนบุรีกับการรถไฟกันนะ! บอกก่อนเลยว่ารูปเยอะ แต่ถ่ายจากมือถือทั้งหมดนะ เพราะฉะนั้นรูปจะไม่สวยเท่ากับกล้องโปรๆนะ อาจจะพิมผิดไปบ้างนะ เราตกภาษาไทยเล็กน้อย -.- (รีวิวนี้รูปเยอะแต่สาระน้อย 55555) เราจะทิ้งรายละเอียดทั้งหมดไว้ให้ในตอนท้ายสำหรับผู้สนใจจะเดินทางไปกาญจนบุรีนะ ขี้เกียจอ่านก็เลื่อนลงไปตอนท้ายกระทู้ได้เลย อิอิ
เอาล่ะ...เราจะมาเริ่มเรื่องกันที่เดือนเมษามีวันหยุดที่เยอะแยะมากมายหลายวัน หนึ่งในนั้นคือวันจักรี ซึ่งเราเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน วันหยุดก็จะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง วัดในเมืองบ้าง ซึ่งจะไปกับเพื่อนสี่ห้าคน ซึ่งทริปนี้เราไปกันสองคน เนื่องจากเพื่อนคนอื่นบอกไม่ว่างและไม่มีตัง ซึ่งเราเองก็ไม่มีค่ะ แต่ครั้งนี้เราคำนวณไว้แล้วว่า เราจะใช้เงินกันไม่เกินคนล่ะ 500 บาทเท่านั้น เนื่องจากเราเองก็ศึกษาจากรีวิวในพันทิปนี้ล่ะค่ะว่าเขาเดินทางกันยังไงบ้างใช้งบประมาณเท่าไหร่
เรากับเพื่อนโทรไปสอบถามกับเบอร์การรถไฟ 1690 ว่าเราจะไปเที่ยวกับการรถไฟเนี่ย สามารถทำได้อย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่ก็แจ้งกลับมาหมดทั้งเรื่องการไปซื้อตั๋วรถไฟ ราคาตั๋วรถไฟเวลาที่รถไฟออกจากสถานี เป็นต้น (อ๋อ..แล้วก็เวลาไปซื้อตั๋วต้องใช้บัตรประชาชนด้วยนะค่ะ อย่าลืมเตรียมไปเด็ดขาด!)
กำหนดการทั้งหมดนี้ไม่แน่นอนนะค่ะอยู่ที่ช่วงเวลาของการเดินทางด้วยนั้นเอง
วันที่ 6 เมษายน 2559
เวลา 06:30 เป็นเวลาที่รถไฟจะออกจากสถานีหัวลำโพง
ที่เราถืออยู่เป็นตั๋วขากลับนะ เพราะตั๋วขาไปเพื่อนเป็นคนเก็บไว้ (แบ่งๆกันเก็บ)
ตั๋วนี้สำคัญมาก เจ้าหน้าที่การรถไฟแจ้งให้ดูแลเก็บรักษาไว้ดีๆ
เนื่องจากเป็นตั๋วที่มีประกัน งง..กันไปเลย
เนื่องจากอาทิตย์ก่อนหน้านี้ รถไฟขบวน 910 ที่เราขึ้นนี้ล่ะค่ะ
เกิดเหตุ รถบัสแหกที่กั้นชนกับขบวนรถไฟสายนี้มาซึ่งเราก็เจอข่าวตามเน็ตบ้างแต่ก็ยังตัดสินใจจะไป
เราเชื่อมั่นว่าถึงแม้จะมีการเกิดเหตุแบบนี้ก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้ทุกอาทิตย์หรือเปล่า ? 555555
(ต้องแจ้งก่อนเลยรถไฟจะจอดรับผู้โดยสารที่สถานี หัวลำโพง สามเสน และบางซื่อนะ)
ถึงจะแพงก็ต้องกินค่ะ เพราะไม่มีเวลาซื้อของ เรามาสายเอง ต้องทำใจ 5555
เจ้าหน้าที่การรถไฟใจดีมาก สอบถามได้ตลอด และแฝงมุกตลกตลอดเวลาในการพูดอธิบาย
ให้เวลาพักผ่อนหย่อนใจที่สถานีเป็นเวลา 40 นาที
ห้ามสายห้ามเลต ถ้าตกรถไฟแล้วอย่ามาร้องเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน! (เจ้าหน้าที่การรถไฟเล่นมุกนี้จริงๆนะ)
คือตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปดูเจดีย์ยังไงนะ เลยถามแม่ค้าแถวนั้นเขาบอก
เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวก็เห็น เราก็งง จะเห็นได้ยังไง พอเดินมาก็รู้เลยว่าทำไมเห็น ใหญ่มากจริงๆ
แต่เราไม่ได้เข้าไปสักการะเนื่องจากกินข้าวเพลินไปหน่อย
รู้ตัวอีกทีก็จะหมดเวลาแล้ว เลยได้แค่ถ่ายรูปจากมุมไกลๆ
แน่นอนว่าถ้าใครจะเข้าเซเว่นที่นี้ก็มีนะ แต่คนค่อนข้างเยอะ (ก็คนที่ลงจากรถไฟเดียวกันนี้ล่ะค่ะ 555)
เมื่อครบเวลา 40 นาทีเราก็จะออกเดินทางกันต่อเลยยยย
นี้คือระหว่างทางการเดินทางที่หาได้จากการเดินทางบนรถไฟเท่านั้นจริงๆ -..-
มโนไปว่าก้อนหินสีขาวๆนี้เป็นหิมะเลยค่ะ
เราจะรู้จักกับคนแปลกหน้าไปโดยปริยาย
น้องคนนี้ชื่อน้องเบล เพลียมากขึ้นรถไฟมาได้ก็ทำท่าหลับแต่เริ่มเลย คุณแม่ของน้องบอกตื่นกันตั้งแต่ตีสี่
เพื่อจะได้มาที่สถานีรถไฟได้ทัน (เราก็เหมือนกันค่ะ ตื่นกันตั้งแต่ตีสี่ ง่วงมากอยากหลับตลอดทาง)
หมอกจริงๆ เป็นประเภทหมอกควันไร่อ้อยอะไรแบบนี้ แต่วิวก็สามารถทำให้มโนได้ถึงหมอกอยู่
เราควรเปลี่ยนชื่อทริปว่าทริปนี้เพื่อการมโนภาพดีมั้ย 55555
การรถไฟเขาก็จัดมาให้เลือกแบบเต็มอิ่ม
แต่ของเราจะได้ช่วงเย็นประมาณห้าถึงหกโมงค่ะ
สภาพผู้คนลงจากรถไฟคือเยอะแยะมากมาย
สถานีนี้ให้เวลาถ่ายรูปพักผ่อนกันเยอะมาก 20 นาที เราว่าเขาให้เวลาไม่น้อยนะ ส่วมมากคนเขาก็จะขึ้นมาก่อนเวลาอยู่แล้ว
แถมบางคนบอกว่า ยังเดินไปไม่ถึงสะพานเลย ขอกลับขึ้นรถไฟก่อน เพราะแดดร้อนมากกกกก
ส่วนพวกวัยรุ่นอย่างเราๆก็เยอะค่ะ ทำนองไปกับแก๊งค์เพื่อนก็สนุกดี
ข้อแนะนำคือจับกล้องและโทรศัพท์ให้แน่นๆ จำไว้ว่า ข้างล่างนั้นน้ำนะเธอ..
แดดร้อนจัด แนะนำให้เตรียมแว่นเตรียมหมวกเตรียมครีมกันแดดกันให้พร้อม
พลังเเสงอาทิตย์ที่นี้จะทำให้คุณ(ใจ)ละลายได้ 5555
แต่นางใส่เสื้อยีนส์ไง บอกเลยว่าร้อนได้อีก ...
มันสวยมากๆเลย อยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
นี้คือการขนรูปมาแปะให้รกกันเล็กๆ =.,=
ที่นี้มีกิจกรรมโดดหอให้เล่นกันด้วย
ซึ่งเราก็ได้ถ่ายแค่รางรถไฟมาให้กันได้แค่นี้ เนื่องจากกลัวความสูงกันเบาๆ 555
หากจะขอพรให้นำมือแตะที่หน้าผาแล้วมาแตะที่หน้าผาก
และอธิฐานสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลนะค่ะ
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น