สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
ถ้าว่ากันตามตัวเลขเศรษฐกิจก็นี่แหละครับ ดู CPI ประกอบจะเห็นผลดีที่สุด
หรือก็คือเงินเฟ้อ/เงินฝืด หากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น สภาพคล่องดี เศรษฐกิจดี
ประชาชนมีกำลังซื้อ ประชาชนจับจ่าย มันก็ย่อมมีเรื่องของเงินเฟ้อเป็นปกติ
แต่อย่างที่เห็นตอนนี้คือ CPI ลงไปติดลบ และติดลบนานถึง 15 เดือนติดต่อกัน
ความยาวนานของเงินเฟ้อติดลบนานถึง 15 เดือน ยาวนานกว่าเมื่อปี 2008 ที่มีวิกฤตซัพไพรม์
ประกอบกับความไม่สงบทางการเมือง การปิดสนามบิน รอบนั้นติดลบยาวนาน 9 เดือน
ถ้านับไปถึงต้มยำกุ้ง รอบนั้นเราติดลบแค่ 5 เดือน แต่รอบต้มยำกุ้งนั่นคือการร่วงหล่นลงมา
อย่างแรงและเร็วเพราะมันมีเรื่องของกลไกค่าเงินบาท และการปิดสถาบันการเงิน
หรือก็คือถึงแม้จะเทียบว่ากับปี 40 นั้นติดลบระยะสั้นกว่า แต่เหตุ และผล รอบปี 40 หนักกว่า
นับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา อย่างที่เห็นคือเงินเฟ้อร่วงลงมาตลอด จนกระทั่งเป็นติดลบ
แล้วก็ยังโงหัวกันไม่ขึ้นเป็นบวกไม่ได้สักที ก็ยังมีแต่ติดลบและติดลบกันต่อไป
แต่ถามว่ามันเป็นเพราะอะไร มันก็มีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการ Slowdown ของจีน
ซึ่งจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ ก็ทำให้โลกชะลอตัวลงเมื่อจีนชะลอการบริโภค
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงหนักมากจาก 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ล่าสุดเหลือราวๆ 38 ดอลลาร์
ก็เลยส่งผลให้ CPI โดนกดลงมาตามไปด้วย เพราะไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
คนไทยก็ต้องใช้น้ำมัน ใช้พลังงาน ดังนั้น CPI ที่ลงมานอกจากเศรษฐกิจจีน และโลก
ก็ยังมีปัจจัยน้ำมันเข้ามาเป็นส่วนส่งเสริมให้ CPI โงหัวกันไม่ขึ้นอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ หนี้ครัวเรือนไทยยังทำสถิติสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดจ่อกันอยู่แถว 80% ของ GDP
เมื่อคนต้องจ่ายหนี้เพิ่มขึ้น คือหาเงินได้เท่าไหร่ก็ประเคนส่งแบงค์ ส่งรถ ส่งบ้าน ผ่อนนู่นนี่นั่นกันหมด
ดังนั้นคนก็จะลดรายจ่ายลง การจับจ่ายก็จะฝืด เพราะเมื่อคนไม่ได้มีกำลังซื้อแบบในอดีต
การหดตัวของภาคเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้น เพราะคนก็ต้องประหยัด ออม ลดการลงทุน ลดการซื้อของ
แต่จะบอกว่ามันไม่แปลกครับ เศรษฐกิจมันมีขึ้นมีลงเสมอ มันลง มันก็มีขึ้น มันขึ้น มันก็มีลง
ที่เหลือก็แค่ต้องปรับตัว ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ต้องทำใจ เพราะมันเป็นเรื่องของกลไกเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลงเสมอ
ถ้าว่ากันตามตัวเลขเศรษฐกิจก็นี่แหละครับ ดู CPI ประกอบจะเห็นผลดีที่สุด
หรือก็คือเงินเฟ้อ/เงินฝืด หากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น สภาพคล่องดี เศรษฐกิจดี
ประชาชนมีกำลังซื้อ ประชาชนจับจ่าย มันก็ย่อมมีเรื่องของเงินเฟ้อเป็นปกติ
แต่อย่างที่เห็นตอนนี้คือ CPI ลงไปติดลบ และติดลบนานถึง 15 เดือนติดต่อกัน
ความยาวนานของเงินเฟ้อติดลบนานถึง 15 เดือน ยาวนานกว่าเมื่อปี 2008 ที่มีวิกฤตซัพไพรม์
ประกอบกับความไม่สงบทางการเมือง การปิดสนามบิน รอบนั้นติดลบยาวนาน 9 เดือน
ถ้านับไปถึงต้มยำกุ้ง รอบนั้นเราติดลบแค่ 5 เดือน แต่รอบต้มยำกุ้งนั่นคือการร่วงหล่นลงมา
อย่างแรงและเร็วเพราะมันมีเรื่องของกลไกค่าเงินบาท และการปิดสถาบันการเงิน
หรือก็คือถึงแม้จะเทียบว่ากับปี 40 นั้นติดลบระยะสั้นกว่า แต่เหตุ และผล รอบปี 40 หนักกว่า
นับตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา อย่างที่เห็นคือเงินเฟ้อร่วงลงมาตลอด จนกระทั่งเป็นติดลบ
แล้วก็ยังโงหัวกันไม่ขึ้นเป็นบวกไม่ได้สักที ก็ยังมีแต่ติดลบและติดลบกันต่อไป
แต่ถามว่ามันเป็นเพราะอะไร มันก็มีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการ Slowdown ของจีน
ซึ่งจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ ก็ทำให้โลกชะลอตัวลงเมื่อจีนชะลอการบริโภค
ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงหนักมากจาก 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ล่าสุดเหลือราวๆ 38 ดอลลาร์
ก็เลยส่งผลให้ CPI โดนกดลงมาตามไปด้วย เพราะไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
คนไทยก็ต้องใช้น้ำมัน ใช้พลังงาน ดังนั้น CPI ที่ลงมานอกจากเศรษฐกิจจีน และโลก
ก็ยังมีปัจจัยน้ำมันเข้ามาเป็นส่วนส่งเสริมให้ CPI โงหัวกันไม่ขึ้นอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ หนี้ครัวเรือนไทยยังทำสถิติสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดจ่อกันอยู่แถว 80% ของ GDP
เมื่อคนต้องจ่ายหนี้เพิ่มขึ้น คือหาเงินได้เท่าไหร่ก็ประเคนส่งแบงค์ ส่งรถ ส่งบ้าน ผ่อนนู่นนี่นั่นกันหมด
ดังนั้นคนก็จะลดรายจ่ายลง การจับจ่ายก็จะฝืด เพราะเมื่อคนไม่ได้มีกำลังซื้อแบบในอดีต
การหดตัวของภาคเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้น เพราะคนก็ต้องประหยัด ออม ลดการลงทุน ลดการซื้อของ
แต่จะบอกว่ามันไม่แปลกครับ เศรษฐกิจมันมีขึ้นมีลงเสมอ มันลง มันก็มีขึ้น มันขึ้น มันก็มีลง
ที่เหลือก็แค่ต้องปรับตัว ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ต้องทำใจ เพราะมันเป็นเรื่องของกลไกเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลงเสมอ
ความคิดเห็นที่ 22
ลำบากกันทั่วโลก ถึงเวลาช่วยๆกันทุกภาคส่วน
15 ปีที่แล้ว ทีมงานของเราไปเดินในเขตต่างๆของบรูไน มีคนไทยทักทายเสียงเซ็งแซ่ สมัยนั้น เศรษฐกิจของบรูไนดีมาก เงินจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไหลเข้าประเทศจนใช้ไม่ทัน แรงงานไทยในบรูไนมีประมาณ 30,000 คน
20-24 กุมภาพันธ์ และ 26-28 มีนาคม 2559 พวกเราไปบรูไน กันอีก 2 รอบ พบว่าความเงียบเหงาเข้ามาเกาะกิน ทำให้บรูไนไม่เหมือนก่อน เศรษฐกิจไม่อู้ฟู่หรูหรา เพราะราคาน้ำมันตก บรูไนเป็นประเทศที่เอาไข่ไปใส่ตะกร้าใบเดียว ผมหมายถึงรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศมาจากการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เมื่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติราคาตก ก็กระทบกับเศรษฐกิจอย่างแรง
15 ปีที่แล้ว พวกเราสนทนากับข้าราชการคนสำคัญของประเทศ ท่านก็มีคำตอบเรื่องเมื่อน้ำมันหมด อนาคตของบรูไนจะเป็นอย่างไร รัฐบาลบรูไนมีนโยบายทำให้บรูไนมีเศรษฐกิจหลากหลาย แต่ทว่า นโยบายนั้นนำมาใช้ไม่ทันครับ เพราะน้ำมันราคาตกก่อนที่การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้ทำอาชีพอย่างอื่น
ไม่ใช่บรูไนเพียงประเทศเดียวดอก แม้แต่เวเนซุเอลาตอนนี้ก็ลำบาก ก่อนหน้าที่จะเจอน้ำมัน คนเวเนซุเอลาปลูกข้าว เลี้ยงปลา ปลูก กาแฟ และโกโก้ โกโก้ของเวเนซุเอลาเคยยิ่งใหญ่ขนาดครองตลาดโลก แต่หลังจากเจอน้ำมัน รัฐบาลของประเทศนี้ก็เอาเศรษฐกิจของตนไปพึ่งการผลิตและส่งออกปิโตรเลียม ทำให้รายได้จากการส่งออกน้ำมันมีมากกว่าร้อยละ 80 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด เมื่อราคาน้ำมันร่วง คนเวเนซุเอลาทั้งประเทศก็ลำบากมาก
ไม่นานมานี้ รัฐบาลเวเนซุเอลาออกกฎหมายกำหนดให้กิจการการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเป็นของรัฐบาล เอกชนไม่สามารถถือหุ้นในกิจการน้ำมันได้เกินกว่าร้อยละ 50 เมื่อราคาน้ำมันร่วงก็กระทบรายได้รัฐบาล และกระทบต่อไปถึงประชาชน ตามห้างสรรพ-สินค้าของเวเนซุเอลาว่างเปล่า เพราะไม่มีเงินไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาให้ประชาชนบริโภค ประชาชนผลิตเองไม่เป็น แม้แต่กาแฟและโกโก้ที่เคยเป็นอันดับต้นๆของโลก ตอนนี้ก็ผลิตได้เพียงร้อยละ 1 ของปริมาณกาแฟโลก และใช้เพื่อการบริโภคภายในเวเนซุเอลาเองเท่านั้น
ผมเพิ่งอ่านบทความชิ้นหนึ่งถึงความทุกข์ของคนงานในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับค่าจ้างมานานหลายเดือนแล้ว เช่น บริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆของประเทศ กลุ่มก่อสร้างฮาริรี ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน นายรอฟิก ฮาริรี (ถูกฆาตกรรมเมื่อกุมภาพันธ์ 2548) หลังจากบิดาถูกระเบิดตาย ก็ให้ลูกชายเป็นผู้ดำเนินการต่อ
อีกบริษัทหนึ่งซึ่งผมอ่านเจอก็คือ Saudi Oger ที่มีคนงาน 50,000 คน จากมากมายหลายสัญชาติ พนักงานคนหนึ่งของบริษัทนี้ออกมาเปิดเผยว่า...the salaries of nearly all have been delayed. เงินเดือนเกือบจะของทุกคนล่าช้า...at six months without a pay cheque, I am among the longest suffering. คนงาน คนนี้สื่อว่า หกเดือนแล้วตนเองยังไม่ได้รับค่าจ้าง “I don’t have money.” ผมไม่มีเงิน “It’s hard.” ลำบากมาก
ญี่ปุ่นกำลังลำบาก
ธนาคารกลางญี่ปุ่นพลิกประวัติศาสตร์การเงิน ประกาศนโยบายดอกเบี้ยติดลบเป็นครั้งแรกที่ -0.1 % เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และบีบให้คนฝากเงินน้อยลงและนำเงินออกมาจับจ่ายมากขึ้น หลังจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเงินฝืด และถดถอยมากว่า 2 ทศวรรษ คนญี่ปุ่นพากันแห่ถอนเงินจากธนาคารเพื่อเก็บไว้ที่บ้าน เพราะเกรงว่าจะถูกคิดดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารของเขา
ประเทศญี่ปุ่นเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น กลับวางแผนที่จะขึ้นภาษีขายเพิ่มเติมจาก 8% ซึ่งปรับขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. 2014 รวมถึงยังปรับลดบำนาญและสวัสดิการลง เพื่อลดงบประมาณขาดดุลและหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นที่สูงถึงราว 230% ของขนาดเศรษฐกิจเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นจะต้องจ่ายบำนาญให้แก่ประชากร 1 ใน 3 ภายในปี 2035
การขึ้นภาษีขายของญี่ปุ่นส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นตามไปด้วย นำไปสู่อาชญากรรมโดยผู้สูงวัยขึ้นตามมา โดยสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จำนวนอาชญากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี แตะระดับราว 2.36 หมื่นคนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2015 เมื่อเทียบกับอาชญากรวัยรุ่นอายุระหว่าง 14-19 ปี ที่ราว 1.96 หมื่นคน ขณะที่เรือนจำของญี่ปุ่นบริการทั้งอาหาร การอำนวยความสะดวก และการดูแลสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หันมามองที่บ้านเรา ประเทศไทยนั้น นับว่า.....ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จากนโยบายเศรษฐกิจที่หลากหลาย. ไม่ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว รวมทั้งนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการโตจากภายใน ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เพื่อทดแทนการส่งออก วันนี้เริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว..... เมื่อ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้น มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.5 เพิ่มจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.8
แม้ตัวเลขจะไม่สูงนัก แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ป้อแป้ แค่นี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้ชาวไทยทุกคนได้ข้ามผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน
15 ปีที่แล้ว ทีมงานของเราไปเดินในเขตต่างๆของบรูไน มีคนไทยทักทายเสียงเซ็งแซ่ สมัยนั้น เศรษฐกิจของบรูไนดีมาก เงินจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไหลเข้าประเทศจนใช้ไม่ทัน แรงงานไทยในบรูไนมีประมาณ 30,000 คน
20-24 กุมภาพันธ์ และ 26-28 มีนาคม 2559 พวกเราไปบรูไน กันอีก 2 รอบ พบว่าความเงียบเหงาเข้ามาเกาะกิน ทำให้บรูไนไม่เหมือนก่อน เศรษฐกิจไม่อู้ฟู่หรูหรา เพราะราคาน้ำมันตก บรูไนเป็นประเทศที่เอาไข่ไปใส่ตะกร้าใบเดียว ผมหมายถึงรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศมาจากการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เมื่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติราคาตก ก็กระทบกับเศรษฐกิจอย่างแรง
15 ปีที่แล้ว พวกเราสนทนากับข้าราชการคนสำคัญของประเทศ ท่านก็มีคำตอบเรื่องเมื่อน้ำมันหมด อนาคตของบรูไนจะเป็นอย่างไร รัฐบาลบรูไนมีนโยบายทำให้บรูไนมีเศรษฐกิจหลากหลาย แต่ทว่า นโยบายนั้นนำมาใช้ไม่ทันครับ เพราะน้ำมันราคาตกก่อนที่การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้ทำอาชีพอย่างอื่น
ไม่ใช่บรูไนเพียงประเทศเดียวดอก แม้แต่เวเนซุเอลาตอนนี้ก็ลำบาก ก่อนหน้าที่จะเจอน้ำมัน คนเวเนซุเอลาปลูกข้าว เลี้ยงปลา ปลูก กาแฟ และโกโก้ โกโก้ของเวเนซุเอลาเคยยิ่งใหญ่ขนาดครองตลาดโลก แต่หลังจากเจอน้ำมัน รัฐบาลของประเทศนี้ก็เอาเศรษฐกิจของตนไปพึ่งการผลิตและส่งออกปิโตรเลียม ทำให้รายได้จากการส่งออกน้ำมันมีมากกว่าร้อยละ 80 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด เมื่อราคาน้ำมันร่วง คนเวเนซุเอลาทั้งประเทศก็ลำบากมาก
ไม่นานมานี้ รัฐบาลเวเนซุเอลาออกกฎหมายกำหนดให้กิจการการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเป็นของรัฐบาล เอกชนไม่สามารถถือหุ้นในกิจการน้ำมันได้เกินกว่าร้อยละ 50 เมื่อราคาน้ำมันร่วงก็กระทบรายได้รัฐบาล และกระทบต่อไปถึงประชาชน ตามห้างสรรพ-สินค้าของเวเนซุเอลาว่างเปล่า เพราะไม่มีเงินไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาให้ประชาชนบริโภค ประชาชนผลิตเองไม่เป็น แม้แต่กาแฟและโกโก้ที่เคยเป็นอันดับต้นๆของโลก ตอนนี้ก็ผลิตได้เพียงร้อยละ 1 ของปริมาณกาแฟโลก และใช้เพื่อการบริโภคภายในเวเนซุเอลาเองเท่านั้น
ผมเพิ่งอ่านบทความชิ้นหนึ่งถึงความทุกข์ของคนงานในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับค่าจ้างมานานหลายเดือนแล้ว เช่น บริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆของประเทศ กลุ่มก่อสร้างฮาริรี ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน นายรอฟิก ฮาริรี (ถูกฆาตกรรมเมื่อกุมภาพันธ์ 2548) หลังจากบิดาถูกระเบิดตาย ก็ให้ลูกชายเป็นผู้ดำเนินการต่อ
อีกบริษัทหนึ่งซึ่งผมอ่านเจอก็คือ Saudi Oger ที่มีคนงาน 50,000 คน จากมากมายหลายสัญชาติ พนักงานคนหนึ่งของบริษัทนี้ออกมาเปิดเผยว่า...the salaries of nearly all have been delayed. เงินเดือนเกือบจะของทุกคนล่าช้า...at six months without a pay cheque, I am among the longest suffering. คนงาน คนนี้สื่อว่า หกเดือนแล้วตนเองยังไม่ได้รับค่าจ้าง “I don’t have money.” ผมไม่มีเงิน “It’s hard.” ลำบากมาก
ญี่ปุ่นกำลังลำบาก
ธนาคารกลางญี่ปุ่นพลิกประวัติศาสตร์การเงิน ประกาศนโยบายดอกเบี้ยติดลบเป็นครั้งแรกที่ -0.1 % เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และบีบให้คนฝากเงินน้อยลงและนำเงินออกมาจับจ่ายมากขึ้น หลังจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเงินฝืด และถดถอยมากว่า 2 ทศวรรษ คนญี่ปุ่นพากันแห่ถอนเงินจากธนาคารเพื่อเก็บไว้ที่บ้าน เพราะเกรงว่าจะถูกคิดดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารของเขา
ประเทศญี่ปุ่นเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น กลับวางแผนที่จะขึ้นภาษีขายเพิ่มเติมจาก 8% ซึ่งปรับขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. 2014 รวมถึงยังปรับลดบำนาญและสวัสดิการลง เพื่อลดงบประมาณขาดดุลและหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นที่สูงถึงราว 230% ของขนาดเศรษฐกิจเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ในขณะที่ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นจะต้องจ่ายบำนาญให้แก่ประชากร 1 ใน 3 ภายในปี 2035
การขึ้นภาษีขายของญี่ปุ่นส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้นตามไปด้วย นำไปสู่อาชญากรรมโดยผู้สูงวัยขึ้นตามมา โดยสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จำนวนอาชญากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี แตะระดับราว 2.36 หมื่นคนในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2015 เมื่อเทียบกับอาชญากรวัยรุ่นอายุระหว่าง 14-19 ปี ที่ราว 1.96 หมื่นคน ขณะที่เรือนจำของญี่ปุ่นบริการทั้งอาหาร การอำนวยความสะดวก และการดูแลสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หันมามองที่บ้านเรา ประเทศไทยนั้น นับว่า.....ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จากนโยบายเศรษฐกิจที่หลากหลาย. ไม่ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว รวมทั้งนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการโตจากภายใน ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เพื่อทดแทนการส่งออก วันนี้เริ่มเห็นแสงสว่างแล้ว..... เมื่อ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้น มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.5 เพิ่มจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 2.8
แม้ตัวเลขจะไม่สูงนัก แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ป้อแป้ แค่นี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้ชาวไทยทุกคนได้ข้ามผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน
แสดงความคิดเห็น
สถานการณ์เศรษฐกิจในลำปางตอนนี้ เกือบจะเทียบเท่าปี2539 แล้วครับ