เอเจนซีส์ - โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นขวางโลกอีกครั้ง ประกาศกับฝูงชนนับพันว่ารู้สึก “ยินดีและมีความหวัง” สำหรับแนวโน้มการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น ชี้ควรปล่อยให้รัฐบาลแดนปลาดิบป้องกันตัวเอง เนื่องจากอเมริกาไม่สามารถเป็น “ตำรวจโลก” คอยส่งทหารไปประจำการเพื่อพิทักษ์ประเทศอื่นๆ ตลอดไปโดยไม่ได้อะไรตอบแทน
ทรัมป์ ตัวเก็งผู้แทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้ กล่าวกับผู้สนับสนุนระหว่างการหาเสียงที่รอธไชด์ รัฐวิสคอนซิน เมื่อวันเสาร์ (2) ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีที่รัฐนี้ในวันอังคาร (5) ว่าหากความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองมาถึงจุดแตกหัก “คงแย่มาก แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์กยังบอกว่า “โชคดี ขอให้สนุกนะเพื่อน”
ทรัมป์ยังพาดพิงถึงคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยบ่นว่า อเมริกามีทหาร 28,000 นายประจำการอยู่ในเขตพักรบระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเพียงเพื่อ “หยุดยั้งคนบ้า”
อดีตพิธีกรเรียลตีโชว์บ่นต่อว่า อเมริกาไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการนำทหารไปประจำการทั่วโลกเพื่อช่วยประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้จ่ายคืนให้แก่อเมริกันชนผู้เสียภาษี
“เราไม่สามารถเป็นตำรวจโลกได้ เราได้อะไรจากสิ่งที่ทำอยู่ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศอื่นๆ จะเลิกมองเราเป็นคนโง่เสียที” ทรัมป์ร่ายต่อด้วยว่า หากชนะเลือกตั้งเขาจะทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องจ่ายหนี้ที่ติดค้างมานานหลายปี รวมถึงหนี้จากการที่อเมริกาต้องเข้าไปแบกรับภาระดูแลประเทศเหล่านั้นนับจากอดีตถึงปัจจุบัน
อเมริกาส่งทหารไปประจำการในเกาหลีใต้เพื่อให้การสนับสนุนสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้ข้อตกลงสงบศึกที่ทำให้สงครามเกาหลียุติลงในปี 1953 กระนั้นสองประเทศยังคงเป็นคู่สงครามกันในทางเทคนิค และเกาหลีเหนือแสดงความก้าวร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอด เช่น จมเรือและยิงปืนใหญ่ใส่เกาหลีใต้
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เป็นประธานการประชุมสุดยอดด้านนิวเคลียร์ในวอชิงตัน เกาหลีเหนือก็ได้ท้าทายมาตรการลงโทษของนานาชาติด้วยการทดสอบขีปนาวุธ หลังจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เพิ่งเผยแพร่ภาพยนตร์ปลุกระดมว่าด้วยการโจมตีวอชิงตันด้วยอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์สำทับว่า ควรปล่อยให้ญี่ปุ่นป้องกันตัวเอง บางทีญี่ปุ่นอาจถล่มเกาหลีเหนือราบเป็นหน้ากลองอย่างรวดเร็วเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งกองทัพของประเทศตน มีได้เพียงกองกำลังป้องกันตนเอง
นับจากผงาดขึ้นมาเป็นตัวเก็งของพรรครีพับลิกัน นโยบายการต่างประเทศของทรัมป์ถูกจับตาด้วยความเคลือบแคลง แม้เปิดตัวทีมที่ปรึกษาเมื่อไม่นานนี้ แต่ทรัมป์กลับทำลายความน่าเชื่อถือนั้นด้วยการให้สัมภาษณ์กับเอ็มเอสเอ็นบีซีว่า ในประเด็นต่างประเทศ “ผมคุยกับตัวเอง เหตุผลข้อแรกก็คือ ผมมีสมองดีมากและผมพูดกับตัวเองหลายเรื่อง”
สองสัปดาห์ก่อน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า แคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและประเด็นร้อนด้านนโยบายการต่างประเทศของพรรครีพับลิกันทำให้อเมริกา “อิหลักอิเหลื่อ” เมื่อต้องเสวนากับต่างชาติ
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีทางซีเอ็นเอ็นว่า เกาหลีใต้และญี่ปุ่นควรมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายต่างประเทศตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาของสหรัฐฯ โดยทรัมป์มองว่า “อาจถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนนโยบายดังกล่าว”
แม้แต่คู่แข่งในพรรคเดียวกันอย่างจอห์น เคสิก ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ยังชำแหละนโยบายต่างประเทศของทรัมป์โดยบอกว่า “ทรัมป์ยังไม่พร้อมเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เขาพูดถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์และการยุบนาโตแบบผิวเผิน อเมริกากำลังเผชิญความท้าทายสำคัญทั้งในและนอกประเทศ ไม่อาจเลือกประธานาธิบดีที่ไม่เคารพความสำคัญจริงจังของตำแหน่งนี้”
ขณะที่คู่แข่งสำคัญร่วมพรรคอีกคน คือ เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเทกซัส วิจารณ์ทรัมป์ว่า “อ่อนแอและสนับสนุนลัทธิการแยกอยู่โดดเดี่ยวที่อันตราย”
กระนั้น ระหว่างหาเสียงที่วิสคอนซินเมื่อวันเสาร์ ทรัมป์ย้ำจุดยืนเดิมว่า “ผมรับได้ ถ้าจะยุบนาโต”
“ทรัมป์” เชียร์โสมแดงรบกับญี่ปุ่น ชี้อเมริกาควรเลิกเป็นตำรวจโลก
เอเจนซีส์ - โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นขวางโลกอีกครั้ง ประกาศกับฝูงชนนับพันว่ารู้สึก “ยินดีและมีความหวัง” สำหรับแนวโน้มการสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น ชี้ควรปล่อยให้รัฐบาลแดนปลาดิบป้องกันตัวเอง เนื่องจากอเมริกาไม่สามารถเป็น “ตำรวจโลก” คอยส่งทหารไปประจำการเพื่อพิทักษ์ประเทศอื่นๆ ตลอดไปโดยไม่ได้อะไรตอบแทน
ทรัมป์ ตัวเก็งผู้แทนพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้ กล่าวกับผู้สนับสนุนระหว่างการหาเสียงที่รอธไชด์ รัฐวิสคอนซิน เมื่อวันเสาร์ (2) ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีที่รัฐนี้ในวันอังคาร (5) ว่าหากความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองมาถึงจุดแตกหัก “คงแย่มาก แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์กยังบอกว่า “โชคดี ขอให้สนุกนะเพื่อน”
ทรัมป์ยังพาดพิงถึงคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยบ่นว่า อเมริกามีทหาร 28,000 นายประจำการอยู่ในเขตพักรบระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเพียงเพื่อ “หยุดยั้งคนบ้า”
อดีตพิธีกรเรียลตีโชว์บ่นต่อว่า อเมริกาไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการนำทหารไปประจำการทั่วโลกเพื่อช่วยประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้จ่ายคืนให้แก่อเมริกันชนผู้เสียภาษี
“เราไม่สามารถเป็นตำรวจโลกได้ เราได้อะไรจากสิ่งที่ทำอยู่ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศอื่นๆ จะเลิกมองเราเป็นคนโง่เสียที” ทรัมป์ร่ายต่อด้วยว่า หากชนะเลือกตั้งเขาจะทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องจ่ายหนี้ที่ติดค้างมานานหลายปี รวมถึงหนี้จากการที่อเมริกาต้องเข้าไปแบกรับภาระดูแลประเทศเหล่านั้นนับจากอดีตถึงปัจจุบัน
อเมริกาส่งทหารไปประจำการในเกาหลีใต้เพื่อให้การสนับสนุนสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่บังคับใช้ข้อตกลงสงบศึกที่ทำให้สงครามเกาหลียุติลงในปี 1953 กระนั้นสองประเทศยังคงเป็นคู่สงครามกันในทางเทคนิค และเกาหลีเหนือแสดงความก้าวร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอด เช่น จมเรือและยิงปืนใหญ่ใส่เกาหลีใต้
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เป็นประธานการประชุมสุดยอดด้านนิวเคลียร์ในวอชิงตัน เกาหลีเหนือก็ได้ท้าทายมาตรการลงโทษของนานาชาติด้วยการทดสอบขีปนาวุธ หลังจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เพิ่งเผยแพร่ภาพยนตร์ปลุกระดมว่าด้วยการโจมตีวอชิงตันด้วยอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์สำทับว่า ควรปล่อยให้ญี่ปุ่นป้องกันตัวเอง บางทีญี่ปุ่นอาจถล่มเกาหลีเหนือราบเป็นหน้ากลองอย่างรวดเร็วเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งกองทัพของประเทศตน มีได้เพียงกองกำลังป้องกันตนเอง
นับจากผงาดขึ้นมาเป็นตัวเก็งของพรรครีพับลิกัน นโยบายการต่างประเทศของทรัมป์ถูกจับตาด้วยความเคลือบแคลง แม้เปิดตัวทีมที่ปรึกษาเมื่อไม่นานนี้ แต่ทรัมป์กลับทำลายความน่าเชื่อถือนั้นด้วยการให้สัมภาษณ์กับเอ็มเอสเอ็นบีซีว่า ในประเด็นต่างประเทศ “ผมคุยกับตัวเอง เหตุผลข้อแรกก็คือ ผมมีสมองดีมากและผมพูดกับตัวเองหลายเรื่อง”
สองสัปดาห์ก่อน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า แคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและประเด็นร้อนด้านนโยบายการต่างประเทศของพรรครีพับลิกันทำให้อเมริกา “อิหลักอิเหลื่อ” เมื่อต้องเสวนากับต่างชาติ
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีทางซีเอ็นเอ็นว่า เกาหลีใต้และญี่ปุ่นควรมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายต่างประเทศตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาของสหรัฐฯ โดยทรัมป์มองว่า “อาจถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนนโยบายดังกล่าว”
แม้แต่คู่แข่งในพรรคเดียวกันอย่างจอห์น เคสิก ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ยังชำแหละนโยบายต่างประเทศของทรัมป์โดยบอกว่า “ทรัมป์ยังไม่พร้อมเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เขาพูดถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์และการยุบนาโตแบบผิวเผิน อเมริกากำลังเผชิญความท้าทายสำคัญทั้งในและนอกประเทศ ไม่อาจเลือกประธานาธิบดีที่ไม่เคารพความสำคัญจริงจังของตำแหน่งนี้”
ขณะที่คู่แข่งสำคัญร่วมพรรคอีกคน คือ เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเทกซัส วิจารณ์ทรัมป์ว่า “อ่อนแอและสนับสนุนลัทธิการแยกอยู่โดดเดี่ยวที่อันตราย”
กระนั้น ระหว่างหาเสียงที่วิสคอนซินเมื่อวันเสาร์ ทรัมป์ย้ำจุดยืนเดิมว่า “ผมรับได้ ถ้าจะยุบนาโต”