ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ ขอเกริ่นก่อนว่า เราไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัวล่อแหลม แต่แต่งตัวแมนๆ ตลอด และเราไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นผู้ญิ๊ง ผู้หญิง ออกจะห้าวและแมนๆ ด้วยซ้ำ
เหตุการณ์ถูกโรคจิตตามนี้ เกิดหลายครั้งแล้ว เป็นคนเดิมที่เคยตาม หายไปเป็นพักๆ และกลับมาหนักในช่วงนี้
เดิมทีคนที่ตามเรา อาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ เรา ขอเรียกนามสมมติว่า นายบอย สมัยเราอยู่ประมาณ ม.ต้น คือประมาณ 20 ปีที่แล้ว นายบอยเคยรอเราออกจากบ้านไปขึ้นรถสองแถว แล้วเดินตามไปหน้าปากซอยกับเราด้วย ซึ่งช่วงแรกๆ ที่เดินตามมา พยายามมาพูดคุย ตอนนั้นเรายังเฉยๆ คิดว่า คนอยู่บ้านข้างๆ กัน คงไม่มีไรแปลก แต่มันเริ่มไม่ปกติตรงที่รอตามเราทุกวัน และเริ่มเข้าใกล้เรามากขึ้น บอกเลยว่า ตอนนั้นกลัวมาก เพราะยังอยู่แค่ม.2 เจอผู้ชายมาเดินตามทุกวัน ลักษณะจีบ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้คิดจะเล่นด้วย ก็กลัวดิ กลัวมากด้วย จนมีวันหนึ่งมันมาจับมือเรา รู้สึกกลัวมาก กลับบ้านไปฟ้องแม่ว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แม่ก็เลยเดินไปข้างบ้านแล้วบอกผู้ปกครองมันให้ตักเตือน หลังจากนั้นเราก็ได้ออกจากบ้านอย่างสงบสุข
เวลาผ่านไป นายบอย มันไม่อยู่ข้างบ้านแล้ว ย้ายไปอยู่ไหนไม่รู้ นานๆ กลับมาเยี่ยมคนที่บ้านข้างๆ ซักที ซึ่งพอมันทักเรา เราก็สวัสดีปกติ เพราะคิดว่า คงไม่มีอะไรแล้วแหละ โตๆ กันแล้ว กระทั่งแม่เราซึ่งไม่คิดอะไรเลยยยย ก็ดันไปจ้างมันมาทำไฟ หรือทำอะไรสักอย่างในบ้านให้นี่แหละ ณ ตอนนั้นยอมรับเลยว่า ไม่อยากให้แม่จ้าง แต่ทำไงได้ รู้อีกทีตอนมันเข้ามาในบ้านแล้ว ช่างมัน ปล่อยผ่านแล้วกัน
เรื่องผ่านไปจริงๆ ผ่านไปหลายปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการติดต่อ ไม่โดนอะไร จนกระทั่ง เดือน พ.ค. 2558 นายบอย มันย้ายกลับมาอยู่ข้างบ้าน เพราะข้าง
บ้านกำลังจะมีงานบวชลูกชาย ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันกลับมา เพราะเราไปต่างจังหวัด จนกระทั่งอยู่ดีๆ ค่ำวันหนึ่งขับรถกลับบ้านเห็นผู้ชายมายืนอยู่ตรงหน้า
บ้าน ไม่ไปไหน ไฟรถส่องหน้าก็เห็นชัดเลยว่าเป็น นายบอย กระทั่งพี่สาวเราเปิดประตูให้เราเอารถเข้าบ้าน เราก็เอารถเข้า แล้วพี่สาวก็ปิดประตูให้ นายบอย
ก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตู ส่วนเราพอลงจากรถก็เนียนๆ ทำเป็นเดินไปหลังรถหยิบของ แล้วจะเข้าบ้าน ทำเป็นไม่เห็น นายบอยก็ตะโกนเรียกเรา
ด้วยเพราะคิดว่า คุยๆ ให้จบเรื่องไปตัดรำคาญ เลยเดินไปหน้าประตู ถามว่า มีอะไร นายบอย มันก็เริ่มร่ายยาวเรื่องตัวเอง ว่า ตอนนี้กำลังเรียนม.ราม มีเงินเก็บ 3 หมื่น กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ จากนั้นก็เริ่มมาถามเราว่า เราแต่งงานหรือยัง อะไรยังไง เราก็คิดตอนแรกว่า เออคงถามทั่วๆ ไป ก็ตอบไปส่งๆ ว่า ยัง แล้วไง เท่านั้นแหละนายบอยบอกว่า เดี๋ยวจะมาเจอใหม่วันพรุ่งนี้แล้วเดินจากไป ส่วนเราหรอ ยืนอึ้งกิมกี่อยู่ริมประตู คิดในใจ ไม่น่าเล้ยยย รู้งี้โกหกไปก็ดีว่า ไม่โสด มีผัวแล้ว แต่เอาจริงๆ ก็เชื่อยาก เพราะก็อยู่บ้านกับ แม่ กับ พี่ มาตลอด ไม่เคยย้ายไปไหน และไม่มีใครหน้าแปลกมาอยู่ด้วย ที่สำคัญ ทีเด็ดคือก่อนเราจะรู้ว่านายบอยย้ายมา เพราะไปต่างจังหวัด ช่วงนั้น แม่เจอนายบอยมาทัก แล้วมาถามไถ่ถึงเราว่าแต่งงานรึยัง อะไรยังไง แม่ก็ตอบว่า ไม่ แบบไม่คิดไร
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความทุกข์จากการถูกตาม เพราะหลังจากวันนั้น นายบอยมายืนรอหน้าบ้านเราทุกค่ำ ซึ่งเราก็อาศัยการหลบหนี ปีนออกกำแพงหลังบ้าน
ไปทางหลังคลองบ้าง หรือไม่ก็ให้คนในบ้านดูลาดเลาว่ามีคนอยู่หน้าบ้านไหม พอไม่มีแล้วถึงจะเข้าบ้าน โดยให้คนในบ้านเปิดประตูให้ และระหว่างนี้นายบอย ถามแม่ พี่สาว พี่ชาย ตลอดเวลา ว่าเราไปไหน ไปนอนกับแฟนหรออะไรแบบนี้ ซึ่งแม่ฟังแล้วของขึ้นสุดๆ
ทีนี้ แม่เราก็เลยไปคุยกับข้างบ้าน ซึ่งเป็นญาตินายบอย ว่าเนี่ยคนของคุณมาดักรอแบบนี้นะ ให้ช่วยเตือน ข้างบ้านก็บอกกลับมาว่า นายบอยไม่ปกติ แต่ข้างบ้านก็ช่วยพยายามไล่นายบอยให้รีบเข้าบ้าน และพยายามรีบล็อคบ้านตอนดึกไม่ให้ออกมา แต่นายบอยก็ไม่หยุด
ในช่วงนั้นกำแพงบ้านเราและข้างบ้านที่นายบอยอาศัยยังเตี้ยมาก ขนาดมองเห็นกันได้ครึ่งตัว ระหว่างที่เราอยู่ในบ้านเดินไปเดินมา ก็เจอนายบอย มันยืนในรั้วบ้านตัวเอง แต่หันหน้ามาหาบ้านเรา มองอยู่นั่นแหละ จนเรารู้สึกกลัว ขยะแขยงกับสายตาที่มันมองมา เราก็คิดว่า ถ้าแกล้งทำเป็นไม่เห็นน่าจะดีกว่า แล้วก็รีบๆ เดินเข้าบ้านไป จากนั้นไม่นานแม่ก็เรียกช่างมาทำกำแพงข้างบ้านให้สูงขึ้นจนมองไม่เห็น
ผ่านไปไม่นาน นายบอย ถูกญาติข้างบ้านไล่ออกจากบ้าน เพราะนอกจากมีประเด็นมาตามดักเรา ยังมีประเด็นเรื่องอู้งาน หรืออื่นๆ ที่ทำให้ข้างบ้านไม่ให้อาศัย เราก็นึกว่าชีวิตจะสงบสุขแล้ว เปล่าเลย คืนวันหลังมันโดนไล่ออกจากบ้านไม่กี่วัน มีเพื่อนของมันขี่มอเตอร์ไซด์มาโวยวาย ขย่มประตูข้างบ้านอย่างหนัก จนข้างบ้านไปแจ้งตำรวจ จากนั้นก็เหมือนจะจบ เพราะทุกอย่างเงียบลง นายบอยไม่ได้กลับมาอยู่บ้านหลังนี้ ไม่มีใครมาแถวนี้
แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม พอเห็นเราก็เดินมาหา บอกว่าวันก่อนมีรถแท็กซี่แปลกๆ มาจอดหน้าบ้านเรา ไม่ได้มาครั้งเดียว มา 2-3 ครั้งแล้ว เค้าก็แปลกใจ พยายามเดินไปถามว่ามาหาใคร คนที่ขับแท็กซี่คันนั้นบอกว่าเป็นเพื่อนเรา มาหาเรา ยิ่งทำให้พี่บ้านฝั่งตรงข้ามรู้สึกแปลกๆ เลยมาบอกเรา ว่าอาจจะเป็นคนที่เคยดักเราหน้าบ้าน หรือเพื่อนมันหรือเปล่า เราก็เลยฝากเขาให้ช่วยจด กท. รถ แล้วก็ช่วยสังเกตให้
จากนั้นก็ได้ยินนานๆ ทีว่ามีรถแท็กซี่คันเดิมมาจอด ซึ่ง ณ ตอนนั้น สารภาพว่า ยังชิลกับชีวิต เพราะคิดว่า กลางวันเราไม่อยู่บ้านอยู่แล้ว ช่างเหอะ ยังไงก็ปลอดภัย แต่ก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ ถึงได้รู้ว่า ชิลไม่ได้แล้ว เพราะแม่เพิ่งยอมบอกว่า เคยเจอมันตามไปที่ทำงาน แล้วไปตะโกนบอกว่าขอเราแต่งงาน แต่ไม่ยอมบอกเรา เพราะกลัวว่าเราจะรับไม่ได้! ซึ่งไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว แต่ 2-3 ครั้งที่เจอแม่เราระหว่างปั่นจักรยานบนถนน แล้วมันขับแท็กซี่ มันก็จอดวิ่งมาหาแม่เรามาสวัสดี
ในที่สุดเราก็คิดไม่ผิดว่าชีวิตไม่ชิล เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2559 ประมาณ 9.30 น. เรากำลังเดินออกจากบ้านจะไปเรียกวินมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน อยู่ดีๆ ก็เห็นแท็กซี่สีส้ม ทะเบียน ทร 846 กรุงเทพมหานคร เปิดไฟว่าง ขับชะลอเข้ามาในซอย ในตอนนั้นบอกเลยว่าเริ่มคิดว่า มันรึเปล่า เพราะสีของรถเหมือนๆ กับที่บ้านตรงข้ามเคยบอก และสุดท้ายเป็นมันจริงๆ มันขับรถแล้วก็มาจอดกลางซอย ตรงที่เรากำลังเดินไปถึง จังหวะนั้นในสมองตั้งตัวไว้แล้ว พอมันเปิดประตูรถแล้วเรียกชื่อเรา สิ่งแรกคือ พูดกับมันอย่างที่เพื่อนเคยบอกว่าให้บอกไปว่าไม่คิดอะไร ก็บอกไปว่า ไม่เคยคิดอะไรเลยยยยย ไม่เคยชอบ ไม่เคยรัก ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรด้วย อย่ามารังควาน ตามเราและคนบ้านเรา ไม่งั้นเราจะไม่ยอมจริงๆ ด้วย ระหว่างพูดก็ใช้มือข้างหนึ่งถ่ายรูปมันเก็บไว้เป็นหลักฐาน
หลังพูดจบ มันพูดกลับมาว่า "แต่เราขอเธอแต่งงานแล้วนะ"
อึ้งสิ จังหวะนั้นคือปรี๊ดมาก คราวนี้เลยพูดด้วยเสียงดุดันกว่าเดิม ว่าอย่ามายุ่งพร้อมขู่ว่า ไม่งั้นไม่ปล่อยมันไว้แน่ ระหว่างพูดเราก็รีบๆ เดินๆ อย่างรวดเร็ว แอบหันหลังไปดูมันเล็กน้อย มันไม่ได้ขับรถตามมา ยังยืนอึ้งเปิดประตูรถค้างไว้อยู่ตรงนั้น ทีนี้เราก็วิ่งสิ วิ่งไปที่ที่คนเยอะๆ หันหลังไปอีกที เห็นมันเริ่มจะกลับรถขับออกมาจากซอยแล้ว คราวนี้ใส่ตีนผีเลย วิ่งจนไปเจอวินมอเตอร์ไซด์ ก็ให้วินไปส่ง สน.โชคชัย พร้อมกับไปแจ้งเหตุที่เกิด ซึ่งตำรวจก็ให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ทำได้แค่นั้นจริงๆ เพราะมันไม่ได้ทำอะไรเรา
ผ่านไปหลังวันนั้น เราเปลี่ยนจากเดินออกหน้าบ้านอย่างเดียว เป็นการออกหน้าบ้าน สลับหลังบ้าน และออกในเวลาที่เช้าขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์ให้วินมอเตอร์ไซด์มารับถึงบ้าน คิดว่าน่าจะปลอดภัยขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งมันดันขี่จักรยานผ่านไปตรงทางออกริมคลองหลังบ้านเรา แล้วเห็นพี่สาวเราเดินออกมาทางนั้น นายบอยก็ถอยจักรยานไปหาพี่สาวแล้วบอกว่า พี่ผมขอน้องพี่แต่งงานนะ (ประโยคเดิม) หลังจากนั้นนายบอยก็หัวเราะสะใจแล้วขี่จักรยานจากไป ส่วนพี่เราก็ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานเหมือนที่เราทำ ซึ่งเช่นเดิม ทำไรมันไม่ได้ นอกจากเจอซึ่งหน้า แจ้งสายตรวจให้ล๊อคตัวไว้
แม่เราก็ไปบอกข้างบ้านอีกครั้งว่า เนี่ยมาทำพฤติกรรมนี้อีกแล้ว ข้างบ้านก็เลยบอกว่า แม่มันกำลังจะมาหาที่บ้าน ให้คุยกับแม่มันเลย พอแม่ได้คุยกับแม่มัน บอกแม่มันไป แม่มันบอกว่าจะพาไปรักษา มันไม่ปกติ น้องมันก็ไม่ปกติ ตอนนี้แม่มันก็ดูแลน้องมันอยู่ที่ระยอง หลังวันนั้นคิดว่าบอกแม่มันแล้วคงดีขึ้นบ้างนะ คนเป็นแม่คงจะตักเตือนบ้าง
เปล่าเลยรุ่งเช้า 15 ก.พ. หลังจากวันที่บอกแม่มันไปไม่นาน แม่เราตื่นมาเจอดอกไม้ที่ถูกโยนเข้ามาในบ้านพร้อมกับข้อความ ตอนเช้าที่เจอแม่ไม่บอก กลัวว่าเราจะกลัวไม่กล้าออกจากบ้านไปทำงาน รอจนเย็นถึงจะบอกว่า นายบอยมันโยนดอกไม้เข้ามาในบ้าน พร้อมข้อความว่าขอแต่งงานกับเรา และเขียนเบอร์โทรของมันไว้ ด้วยความโมโหแบบไม่ยั้งคิด แม่โยนดอกไม้ทิ้งให้พ้นๆ บ้าน เพราะแม่รังเกียจพฤติกรรม แถมฉีกประโยคขอแต่งงานนั่งไป แต่ยังดีที่ยังเก็บเบอร์โทรที่มันทิ้งไว้
แล้วหลังวันนั้นเป็นต้นมานายบอยก็ขี่จักรยานมาแถวริมคลองบ้านเรา 4-5 วันติดกัน มีทั้งที่พี่สาวเห็นผ่านๆ มองไม่ชัดว่าใคร ริมคลองฝั่งบ้านเรา และที่เห็นชัดๆ เลยคือ นายบอยขี่จักรยานมายืนอยู่ทางริมคลองแต่เป็นฝั่งตรงข้ามของบ้านเราซึ่งมีคลองกั้น มายืนอยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ดูดบุหรี่ กินน้ำ เดินไปเดินมา แล้วก็มองมาทางบ้านเรา เรารู้สึกว่า มันไม่ปลอดภัย แม้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามคลอง แต่มาอยู่จุดตรงข้ามบ้านเราพอดีเนี่ยนะ นี่มันมาดูลาดเลาการเดินทางคนในบ้าน หรือสังเกตการอะไรหรือเปล่า ซึ่งเราก็บอกทุกคนในบ้านให้สังเกตช่วงเวลา สักวันจะได้หาตำรวจมาล๊อคตัว จนวันเสาร์ทุกคนอยู่ครบ คราวนี้แม่เดินมาบอกว่า มันมาอีกแล้ว คราวนี้เราเลยแอบถ่ายคลิปเอาไว้จากหน้าต่างชั้นบนบ้านพร้อมโทรเรียกสายตรวจ ปรากฎผ่านไปสักพักสายตรวจก็ยังไม่มา จนมันขี่จักรยานกำลังจะออกจากทางริมคลอง โทรไปหาสายตรวจอีกรอบ สายตรวจอยู่แถวๆ ห้างด้านกลางซอย เห็นรูปพรรณมันตามที่เราแจ้ง ถึงล๊อคตัวได้
จากนั้นสายตรวจก็นำตัวมันมาคุยกับเราที่ตรงทางเข้าริมคลองที่มันขี่เข้ามา ตอนนั้นออกไปกับพี่ชาย เห็นมีตำรวจอยู่ เลยพูดไปเต็มๆ เลยว่ามันมาตามยังไง หลายครั้งยังไง น่ากลัวยังไง แล้วก็พูดเสียงดังและดุมากๆ ให้มันเลิกตาม อย่ามายุ่ง ขู่ไปต่างๆ นาๆ พร้อมบอกตำรวจว่าจะเอาเรื่อง แต่ตำรวจก็มากระซิบว่า ถึงเราเอาเรื่องมันก็ได้แค่ปรับ 100 เดียว แค่สร้างความรำคาญ มันยังไม่ได้ทำไรเราเลย แล้วจุดที่อยู่ก็คลองฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่หน้าบ้านเรา เค้าก็มีสิทธิใช้ทางของเค้า อีกอย่างดูแล้วเค้าก็ดูล้นๆ เราก็เลยโอเคไม่เอาเรื่องก็ได้ครั้งนี้ ถือว่าตำรวจขอไว้ แต่ก็บอกไปแล้วว่าถ้ายังไม่เลิก เราเอาเรื่องแน่ คราวนี้จะแจ้งกรมขนส่งด้วย เพราะมันขับแท็กซี่ แล้วเคยเอาแท็กซี่มาดักตามเรา จากนั้นก็ไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานเหมือนเดิม
จากนั้นทุกอย่างเงียบสงบ จนคิดว่าจบแล้ว รอดแล้ว หมดกรรมแล้วจริงๆ แต่ผ่านไปครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่อมา ก็เกิดขึ้นเมื่อศุกร์ 1 เม.ย. พี่สาวเราเดินออกจากบ้านเช้าตรู่ เจอมันยืนนิ่งๆ อยู่ตรงกลางสะพานข้ามคลอง ใกล้ๆ รพ.เปาโล โชคชัย 4 ซึ่งเป็นจุดที่ถ้าใครเดินออกจากทางริมคลองก็ต้องไปถึงตรงนั้นอยู่แล้ว และตามที่พี่เราคาด แม้พี่เราจะแกล้งทำไม่สนใจ พอเดินไปถึงตรงจุดที่มันอยู่ มันตะโกนมาบอกพี่สาวเราว่าขอเราแต่งงาน พี่เรากลัวมากโทรแจ้งสายตรวจให้วนมาดู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวนมาไหม ยังไง เพราะไม่มีการตามเรื่องต่อ
ช่วยด้วยฉันถูกคนที่(น่าจะ) โรคจิตตามมาเป็นปี
เหตุการณ์ถูกโรคจิตตามนี้ เกิดหลายครั้งแล้ว เป็นคนเดิมที่เคยตาม หายไปเป็นพักๆ และกลับมาหนักในช่วงนี้
เดิมทีคนที่ตามเรา อาศัยอยู่บ้านหลังข้างๆ เรา ขอเรียกนามสมมติว่า นายบอย สมัยเราอยู่ประมาณ ม.ต้น คือประมาณ 20 ปีที่แล้ว นายบอยเคยรอเราออกจากบ้านไปขึ้นรถสองแถว แล้วเดินตามไปหน้าปากซอยกับเราด้วย ซึ่งช่วงแรกๆ ที่เดินตามมา พยายามมาพูดคุย ตอนนั้นเรายังเฉยๆ คิดว่า คนอยู่บ้านข้างๆ กัน คงไม่มีไรแปลก แต่มันเริ่มไม่ปกติตรงที่รอตามเราทุกวัน และเริ่มเข้าใกล้เรามากขึ้น บอกเลยว่า ตอนนั้นกลัวมาก เพราะยังอยู่แค่ม.2 เจอผู้ชายมาเดินตามทุกวัน ลักษณะจีบ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้คิดจะเล่นด้วย ก็กลัวดิ กลัวมากด้วย จนมีวันหนึ่งมันมาจับมือเรา รู้สึกกลัวมาก กลับบ้านไปฟ้องแม่ว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แม่ก็เลยเดินไปข้างบ้านแล้วบอกผู้ปกครองมันให้ตักเตือน หลังจากนั้นเราก็ได้ออกจากบ้านอย่างสงบสุข
เวลาผ่านไป นายบอย มันไม่อยู่ข้างบ้านแล้ว ย้ายไปอยู่ไหนไม่รู้ นานๆ กลับมาเยี่ยมคนที่บ้านข้างๆ ซักที ซึ่งพอมันทักเรา เราก็สวัสดีปกติ เพราะคิดว่า คงไม่มีอะไรแล้วแหละ โตๆ กันแล้ว กระทั่งแม่เราซึ่งไม่คิดอะไรเลยยยย ก็ดันไปจ้างมันมาทำไฟ หรือทำอะไรสักอย่างในบ้านให้นี่แหละ ณ ตอนนั้นยอมรับเลยว่า ไม่อยากให้แม่จ้าง แต่ทำไงได้ รู้อีกทีตอนมันเข้ามาในบ้านแล้ว ช่างมัน ปล่อยผ่านแล้วกัน
เรื่องผ่านไปจริงๆ ผ่านไปหลายปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการติดต่อ ไม่โดนอะไร จนกระทั่ง เดือน พ.ค. 2558 นายบอย มันย้ายกลับมาอยู่ข้างบ้าน เพราะข้าง
บ้านกำลังจะมีงานบวชลูกชาย ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันกลับมา เพราะเราไปต่างจังหวัด จนกระทั่งอยู่ดีๆ ค่ำวันหนึ่งขับรถกลับบ้านเห็นผู้ชายมายืนอยู่ตรงหน้า
บ้าน ไม่ไปไหน ไฟรถส่องหน้าก็เห็นชัดเลยว่าเป็น นายบอย กระทั่งพี่สาวเราเปิดประตูให้เราเอารถเข้าบ้าน เราก็เอารถเข้า แล้วพี่สาวก็ปิดประตูให้ นายบอย
ก็ยังคงยืนอยู่หน้าประตู ส่วนเราพอลงจากรถก็เนียนๆ ทำเป็นเดินไปหลังรถหยิบของ แล้วจะเข้าบ้าน ทำเป็นไม่เห็น นายบอยก็ตะโกนเรียกเรา
ด้วยเพราะคิดว่า คุยๆ ให้จบเรื่องไปตัดรำคาญ เลยเดินไปหน้าประตู ถามว่า มีอะไร นายบอย มันก็เริ่มร่ายยาวเรื่องตัวเอง ว่า ตอนนี้กำลังเรียนม.ราม มีเงินเก็บ 3 หมื่น กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ จากนั้นก็เริ่มมาถามเราว่า เราแต่งงานหรือยัง อะไรยังไง เราก็คิดตอนแรกว่า เออคงถามทั่วๆ ไป ก็ตอบไปส่งๆ ว่า ยัง แล้วไง เท่านั้นแหละนายบอยบอกว่า เดี๋ยวจะมาเจอใหม่วันพรุ่งนี้แล้วเดินจากไป ส่วนเราหรอ ยืนอึ้งกิมกี่อยู่ริมประตู คิดในใจ ไม่น่าเล้ยยย รู้งี้โกหกไปก็ดีว่า ไม่โสด มีผัวแล้ว แต่เอาจริงๆ ก็เชื่อยาก เพราะก็อยู่บ้านกับ แม่ กับ พี่ มาตลอด ไม่เคยย้ายไปไหน และไม่มีใครหน้าแปลกมาอยู่ด้วย ที่สำคัญ ทีเด็ดคือก่อนเราจะรู้ว่านายบอยย้ายมา เพราะไปต่างจังหวัด ช่วงนั้น แม่เจอนายบอยมาทัก แล้วมาถามไถ่ถึงเราว่าแต่งงานรึยัง อะไรยังไง แม่ก็ตอบว่า ไม่ แบบไม่คิดไร
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความทุกข์จากการถูกตาม เพราะหลังจากวันนั้น นายบอยมายืนรอหน้าบ้านเราทุกค่ำ ซึ่งเราก็อาศัยการหลบหนี ปีนออกกำแพงหลังบ้าน
ไปทางหลังคลองบ้าง หรือไม่ก็ให้คนในบ้านดูลาดเลาว่ามีคนอยู่หน้าบ้านไหม พอไม่มีแล้วถึงจะเข้าบ้าน โดยให้คนในบ้านเปิดประตูให้ และระหว่างนี้นายบอย ถามแม่ พี่สาว พี่ชาย ตลอดเวลา ว่าเราไปไหน ไปนอนกับแฟนหรออะไรแบบนี้ ซึ่งแม่ฟังแล้วของขึ้นสุดๆ
ทีนี้ แม่เราก็เลยไปคุยกับข้างบ้าน ซึ่งเป็นญาตินายบอย ว่าเนี่ยคนของคุณมาดักรอแบบนี้นะ ให้ช่วยเตือน ข้างบ้านก็บอกกลับมาว่า นายบอยไม่ปกติ แต่ข้างบ้านก็ช่วยพยายามไล่นายบอยให้รีบเข้าบ้าน และพยายามรีบล็อคบ้านตอนดึกไม่ให้ออกมา แต่นายบอยก็ไม่หยุด
ในช่วงนั้นกำแพงบ้านเราและข้างบ้านที่นายบอยอาศัยยังเตี้ยมาก ขนาดมองเห็นกันได้ครึ่งตัว ระหว่างที่เราอยู่ในบ้านเดินไปเดินมา ก็เจอนายบอย มันยืนในรั้วบ้านตัวเอง แต่หันหน้ามาหาบ้านเรา มองอยู่นั่นแหละ จนเรารู้สึกกลัว ขยะแขยงกับสายตาที่มันมองมา เราก็คิดว่า ถ้าแกล้งทำเป็นไม่เห็นน่าจะดีกว่า แล้วก็รีบๆ เดินเข้าบ้านไป จากนั้นไม่นานแม่ก็เรียกช่างมาทำกำแพงข้างบ้านให้สูงขึ้นจนมองไม่เห็น
ผ่านไปไม่นาน นายบอย ถูกญาติข้างบ้านไล่ออกจากบ้าน เพราะนอกจากมีประเด็นมาตามดักเรา ยังมีประเด็นเรื่องอู้งาน หรืออื่นๆ ที่ทำให้ข้างบ้านไม่ให้อาศัย เราก็นึกว่าชีวิตจะสงบสุขแล้ว เปล่าเลย คืนวันหลังมันโดนไล่ออกจากบ้านไม่กี่วัน มีเพื่อนของมันขี่มอเตอร์ไซด์มาโวยวาย ขย่มประตูข้างบ้านอย่างหนัก จนข้างบ้านไปแจ้งตำรวจ จากนั้นก็เหมือนจะจบ เพราะทุกอย่างเงียบลง นายบอยไม่ได้กลับมาอยู่บ้านหลังนี้ ไม่มีใครมาแถวนี้
แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม พอเห็นเราก็เดินมาหา บอกว่าวันก่อนมีรถแท็กซี่แปลกๆ มาจอดหน้าบ้านเรา ไม่ได้มาครั้งเดียว มา 2-3 ครั้งแล้ว เค้าก็แปลกใจ พยายามเดินไปถามว่ามาหาใคร คนที่ขับแท็กซี่คันนั้นบอกว่าเป็นเพื่อนเรา มาหาเรา ยิ่งทำให้พี่บ้านฝั่งตรงข้ามรู้สึกแปลกๆ เลยมาบอกเรา ว่าอาจจะเป็นคนที่เคยดักเราหน้าบ้าน หรือเพื่อนมันหรือเปล่า เราก็เลยฝากเขาให้ช่วยจด กท. รถ แล้วก็ช่วยสังเกตให้
จากนั้นก็ได้ยินนานๆ ทีว่ามีรถแท็กซี่คันเดิมมาจอด ซึ่ง ณ ตอนนั้น สารภาพว่า ยังชิลกับชีวิต เพราะคิดว่า กลางวันเราไม่อยู่บ้านอยู่แล้ว ช่างเหอะ ยังไงก็ปลอดภัย แต่ก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ ถึงได้รู้ว่า ชิลไม่ได้แล้ว เพราะแม่เพิ่งยอมบอกว่า เคยเจอมันตามไปที่ทำงาน แล้วไปตะโกนบอกว่าขอเราแต่งงาน แต่ไม่ยอมบอกเรา เพราะกลัวว่าเราจะรับไม่ได้! ซึ่งไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว แต่ 2-3 ครั้งที่เจอแม่เราระหว่างปั่นจักรยานบนถนน แล้วมันขับแท็กซี่ มันก็จอดวิ่งมาหาแม่เรามาสวัสดี
ในที่สุดเราก็คิดไม่ผิดว่าชีวิตไม่ชิล เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2559 ประมาณ 9.30 น. เรากำลังเดินออกจากบ้านจะไปเรียกวินมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน อยู่ดีๆ ก็เห็นแท็กซี่สีส้ม ทะเบียน ทร 846 กรุงเทพมหานคร เปิดไฟว่าง ขับชะลอเข้ามาในซอย ในตอนนั้นบอกเลยว่าเริ่มคิดว่า มันรึเปล่า เพราะสีของรถเหมือนๆ กับที่บ้านตรงข้ามเคยบอก และสุดท้ายเป็นมันจริงๆ มันขับรถแล้วก็มาจอดกลางซอย ตรงที่เรากำลังเดินไปถึง จังหวะนั้นในสมองตั้งตัวไว้แล้ว พอมันเปิดประตูรถแล้วเรียกชื่อเรา สิ่งแรกคือ พูดกับมันอย่างที่เพื่อนเคยบอกว่าให้บอกไปว่าไม่คิดอะไร ก็บอกไปว่า ไม่เคยคิดอะไรเลยยยยย ไม่เคยชอบ ไม่เคยรัก ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรด้วย อย่ามารังควาน ตามเราและคนบ้านเรา ไม่งั้นเราจะไม่ยอมจริงๆ ด้วย ระหว่างพูดก็ใช้มือข้างหนึ่งถ่ายรูปมันเก็บไว้เป็นหลักฐาน
หลังพูดจบ มันพูดกลับมาว่า "แต่เราขอเธอแต่งงานแล้วนะ"
อึ้งสิ จังหวะนั้นคือปรี๊ดมาก คราวนี้เลยพูดด้วยเสียงดุดันกว่าเดิม ว่าอย่ามายุ่งพร้อมขู่ว่า ไม่งั้นไม่ปล่อยมันไว้แน่ ระหว่างพูดเราก็รีบๆ เดินๆ อย่างรวดเร็ว แอบหันหลังไปดูมันเล็กน้อย มันไม่ได้ขับรถตามมา ยังยืนอึ้งเปิดประตูรถค้างไว้อยู่ตรงนั้น ทีนี้เราก็วิ่งสิ วิ่งไปที่ที่คนเยอะๆ หันหลังไปอีกที เห็นมันเริ่มจะกลับรถขับออกมาจากซอยแล้ว คราวนี้ใส่ตีนผีเลย วิ่งจนไปเจอวินมอเตอร์ไซด์ ก็ให้วินไปส่ง สน.โชคชัย พร้อมกับไปแจ้งเหตุที่เกิด ซึ่งตำรวจก็ให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ทำได้แค่นั้นจริงๆ เพราะมันไม่ได้ทำอะไรเรา
ผ่านไปหลังวันนั้น เราเปลี่ยนจากเดินออกหน้าบ้านอย่างเดียว เป็นการออกหน้าบ้าน สลับหลังบ้าน และออกในเวลาที่เช้าขึ้น รวมทั้งใช้กลยุทธ์ให้วินมอเตอร์ไซด์มารับถึงบ้าน คิดว่าน่าจะปลอดภัยขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งมันดันขี่จักรยานผ่านไปตรงทางออกริมคลองหลังบ้านเรา แล้วเห็นพี่สาวเราเดินออกมาทางนั้น นายบอยก็ถอยจักรยานไปหาพี่สาวแล้วบอกว่า พี่ผมขอน้องพี่แต่งงานนะ (ประโยคเดิม) หลังจากนั้นนายบอยก็หัวเราะสะใจแล้วขี่จักรยานจากไป ส่วนพี่เราก็ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานเหมือนที่เราทำ ซึ่งเช่นเดิม ทำไรมันไม่ได้ นอกจากเจอซึ่งหน้า แจ้งสายตรวจให้ล๊อคตัวไว้
แม่เราก็ไปบอกข้างบ้านอีกครั้งว่า เนี่ยมาทำพฤติกรรมนี้อีกแล้ว ข้างบ้านก็เลยบอกว่า แม่มันกำลังจะมาหาที่บ้าน ให้คุยกับแม่มันเลย พอแม่ได้คุยกับแม่มัน บอกแม่มันไป แม่มันบอกว่าจะพาไปรักษา มันไม่ปกติ น้องมันก็ไม่ปกติ ตอนนี้แม่มันก็ดูแลน้องมันอยู่ที่ระยอง หลังวันนั้นคิดว่าบอกแม่มันแล้วคงดีขึ้นบ้างนะ คนเป็นแม่คงจะตักเตือนบ้าง
เปล่าเลยรุ่งเช้า 15 ก.พ. หลังจากวันที่บอกแม่มันไปไม่นาน แม่เราตื่นมาเจอดอกไม้ที่ถูกโยนเข้ามาในบ้านพร้อมกับข้อความ ตอนเช้าที่เจอแม่ไม่บอก กลัวว่าเราจะกลัวไม่กล้าออกจากบ้านไปทำงาน รอจนเย็นถึงจะบอกว่า นายบอยมันโยนดอกไม้เข้ามาในบ้าน พร้อมข้อความว่าขอแต่งงานกับเรา และเขียนเบอร์โทรของมันไว้ ด้วยความโมโหแบบไม่ยั้งคิด แม่โยนดอกไม้ทิ้งให้พ้นๆ บ้าน เพราะแม่รังเกียจพฤติกรรม แถมฉีกประโยคขอแต่งงานนั่งไป แต่ยังดีที่ยังเก็บเบอร์โทรที่มันทิ้งไว้
แล้วหลังวันนั้นเป็นต้นมานายบอยก็ขี่จักรยานมาแถวริมคลองบ้านเรา 4-5 วันติดกัน มีทั้งที่พี่สาวเห็นผ่านๆ มองไม่ชัดว่าใคร ริมคลองฝั่งบ้านเรา และที่เห็นชัดๆ เลยคือ นายบอยขี่จักรยานมายืนอยู่ทางริมคลองแต่เป็นฝั่งตรงข้ามของบ้านเราซึ่งมีคลองกั้น มายืนอยู่แบบนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ดูดบุหรี่ กินน้ำ เดินไปเดินมา แล้วก็มองมาทางบ้านเรา เรารู้สึกว่า มันไม่ปลอดภัย แม้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามคลอง แต่มาอยู่จุดตรงข้ามบ้านเราพอดีเนี่ยนะ นี่มันมาดูลาดเลาการเดินทางคนในบ้าน หรือสังเกตการอะไรหรือเปล่า ซึ่งเราก็บอกทุกคนในบ้านให้สังเกตช่วงเวลา สักวันจะได้หาตำรวจมาล๊อคตัว จนวันเสาร์ทุกคนอยู่ครบ คราวนี้แม่เดินมาบอกว่า มันมาอีกแล้ว คราวนี้เราเลยแอบถ่ายคลิปเอาไว้จากหน้าต่างชั้นบนบ้านพร้อมโทรเรียกสายตรวจ ปรากฎผ่านไปสักพักสายตรวจก็ยังไม่มา จนมันขี่จักรยานกำลังจะออกจากทางริมคลอง โทรไปหาสายตรวจอีกรอบ สายตรวจอยู่แถวๆ ห้างด้านกลางซอย เห็นรูปพรรณมันตามที่เราแจ้ง ถึงล๊อคตัวได้
จากนั้นสายตรวจก็นำตัวมันมาคุยกับเราที่ตรงทางเข้าริมคลองที่มันขี่เข้ามา ตอนนั้นออกไปกับพี่ชาย เห็นมีตำรวจอยู่ เลยพูดไปเต็มๆ เลยว่ามันมาตามยังไง หลายครั้งยังไง น่ากลัวยังไง แล้วก็พูดเสียงดังและดุมากๆ ให้มันเลิกตาม อย่ามายุ่ง ขู่ไปต่างๆ นาๆ พร้อมบอกตำรวจว่าจะเอาเรื่อง แต่ตำรวจก็มากระซิบว่า ถึงเราเอาเรื่องมันก็ได้แค่ปรับ 100 เดียว แค่สร้างความรำคาญ มันยังไม่ได้ทำไรเราเลย แล้วจุดที่อยู่ก็คลองฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่หน้าบ้านเรา เค้าก็มีสิทธิใช้ทางของเค้า อีกอย่างดูแล้วเค้าก็ดูล้นๆ เราก็เลยโอเคไม่เอาเรื่องก็ได้ครั้งนี้ ถือว่าตำรวจขอไว้ แต่ก็บอกไปแล้วว่าถ้ายังไม่เลิก เราเอาเรื่องแน่ คราวนี้จะแจ้งกรมขนส่งด้วย เพราะมันขับแท็กซี่ แล้วเคยเอาแท็กซี่มาดักตามเรา จากนั้นก็ไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานเหมือนเดิม
จากนั้นทุกอย่างเงียบสงบ จนคิดว่าจบแล้ว รอดแล้ว หมดกรรมแล้วจริงๆ แต่ผ่านไปครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่อมา ก็เกิดขึ้นเมื่อศุกร์ 1 เม.ย. พี่สาวเราเดินออกจากบ้านเช้าตรู่ เจอมันยืนนิ่งๆ อยู่ตรงกลางสะพานข้ามคลอง ใกล้ๆ รพ.เปาโล โชคชัย 4 ซึ่งเป็นจุดที่ถ้าใครเดินออกจากทางริมคลองก็ต้องไปถึงตรงนั้นอยู่แล้ว และตามที่พี่เราคาด แม้พี่เราจะแกล้งทำไม่สนใจ พอเดินไปถึงตรงจุดที่มันอยู่ มันตะโกนมาบอกพี่สาวเราว่าขอเราแต่งงาน พี่เรากลัวมากโทรแจ้งสายตรวจให้วนมาดู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวนมาไหม ยังไง เพราะไม่มีการตามเรื่องต่อ